ก้าวที่ 46 คิดถึงเธอคนเดิม

ยายามประคองเนื้อ ประคองตัวในบทคนข่าวตระเวนประจำหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ แต่การทำงานแบบรายวัน ความผิดพลาดย่อมเกิดขึ้นได้กับทุกคน

ตลอดเดือนเศษนับจากวันที่ 1 กันยายน 2538 เข้าเวรทุกวัน ฟัง ว.ทุกคืน กลายเป็นนิสัยประจำ แม้จะออกเวรไปแล้ว ยังอาศัยเสียงวิทยุตำรวจเป็นเพื่อนคอยเตือนว่า รุ่งอรุณวันต่อไปเราต้องเตรียมพร้อมเผชิญอะไรอีกบ้าง

เช้าตรู่วันที่ 27 ตุลาคม 2538 ผมจำเป็นต้องยืมกล้องของสมคะเน ศิริวัฒน์ นักข่าวรุ่นพี่มหาวิทยาลัยกรุงเทพ สำนักเดียวกัน ติดกระเป๋าขึ้นรถตระเวนข่าว ไม่นานต้องตาลีตาเหลือกเมื่อวิทยุแจ้งเหตุปล้นร้านทองห้างทองสวนหลวง เลขที่ 99/26 ซอยอุดมสุข แยกวัดตะกล่ำ สุขุมวิท 103 แขวงหนองบอน เขตประเวศ กรุงเทพมหานคร

มีเจ้าของร้านถูกยิงได้รับบาดเจ็บสาหัส

“น้าอ๊อด รีบไปเร็ว”

โชเฟอร์มือขวารวบช้อนส้อมพยักหน้ารับคำ

ถึงที่เกิดเหตุเหลือเพียงรอยเลือดกองอยู่หน้าร้าน พลตำรวจตรีสุธรรม เศวตนันทน์ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล พลตำรวจตรีบรรเจิด จุฑามาศ ผู้บังคับการตำรวจนครบาลพระนครใต้ พันตำรวจเอกสมพงษ์ พลทะมัย ผู้กำกับการสถานีตำรวจนครบาลบางนา พันตำรวจโทสุรพล วีณิน รองผู้กำกับการสืบสวนสอบสวน สถานีตำรวจนครบาลบางนา และพันตำรวจโทสาโรจน์ ซุ่นทรัพย์ สารวัตรสืบสวน สถานีตำรวจนครบาลบางนา ยืนกันอยู่เต็มไปหมด

ลั่นชัตเตอร์เก็บภาพรายละเอียดพอสมควร ปลอกกระสุน 11 มิลลิเมตร และขนาด 9 มิลลิเมตร ตกเกลื่อนพื้น กลิ่นคาวเลือดคลุ้ง จัดแจงหยิบสมุดจดข่าวร้อยเรียงเหตุการณ์ระทึกขวัญ

ผู้บาดเจ็บชื่อนายบุญหลง พงษ์พยัคเลิศ อายุ 37 ปี เจ้าของร้านถูกกระสุนเข้าคอ และที่เอวอีก 2 นัด ส่งโรงพยาบาลศรีนครินทร์ แต่เสียชีวิตระหว่างทาง ในร้านพบตู้กระจกใส่ทองรูปพรรณแตกกระจาย

สุจินดา จิราคะพาณิชย์ อายุ 30 ปี ภรรยาผู้ตายที่ยังไม่หายจากความหวาดผวาเล่าด้วยน้ำตา

ก่อนเกิดเหตุมีคนร้าย 2 คน อายุประมาณ 30 ปี คนแรกรูปร่างผอมสูง  สวมเสื้อยืดลายขวาง กางเกงยีนส์สีน้ำเงิน เสื้อคลุมสีดำทับ อีกคนรูปร่างท้วมสูงราว 170 เซ็นติเมตร สวมชุดฟอร์มสีน้ำเงิน ทั้งคู่เดินเข้ามาในร้านทำทีขอซื้อสร้อยคอทองคำหนัก 5 บาท

เธอกับสามียื่นให้ คนร้ายทั้งสองหันซ้ายหันขวาท่าทางหลุกหลิก ฝ่ายหญิงเลยตะโกนเรียกให้คนในร้านออกมา คนร้ายเห็นท่าไม่ได้การจึงชักปืนขึ้นมาขู่ให้อยู่ในความสงบ ก่อนใช้ด้ามปืนทุบตู้กระจกกวาดทองรูปพรรณจำพวกสร้อยคอ สร้อยข้อมือ กรอบพระ รวม 21 รายการ หนักประมาณ 249 บาท ราคา 1,245,000 บาท ใส่ถุงผ้าสีฟ้าที่เตรียมไว้แล้ววิ่งไปขึ้นรถจักรยานยนต์ยามาฮ่า สีน้ำเงินคาดแดง ทะเบียน  ผ-2859 กรุงเทพมหานครที่จอดอยู่หน้าร้านเตรียมหลบหนี

“รถมันดันสตาร์ตไม่ติด” เธอเล่าเสียงสั่น “เฮียเลยวิ่งไปแย่งถุง โจรมันถึงผลักล้มแล้วชักปืนกระหน่ำยิงใส่จมกองเลือด ก่อนพากันเข็นรถมอเตอร์ไซค์จนติดแล้วขี่หลบหนีไป”

ผมเก็บรายละเอียดแทบทุกชอต มั่นใจว่า วันรุ่งขึ้นต้องเป็นข่าวใหญ่พาดหัวยักษ์ในหน้าหนังสือพิมพ์แน่นอน

มุ่งหน้ากลับโรงพิมพ์ เพราะเวลาล่วงมาบ่ายกว่าแล้ว คว้ากล้องเตรียมกรอม้วนฟิล์มถอดออกเพื่อส่งห้องมืดล้าง “ชิบหายแล้ว ตั้งรูรับแสงผิด” ผมนึกในใจ ความเผลอเรอที่ยืมกล้องคนอื่นมาใช้ทำให้ผมไม่มีโอกาสได้สำรวจรายละเอียดปลีกย่อย

ใจเต้นระรัวยิ่งใกล้ถึงสำนักงานริมถนนวิภาวดีรังสิต

ส่งฟิล์มเสร็จขึ้นบันไดนั่งโต๊ะพิมพ์ข่าวที่แผนก แว่วเสียงดังมาจากคอกหน้า 1 “ไปเรียกมันมา” ผมรู้ชะตาทันที

“มึงถ่ายรูปภาษาอะไรวะ เสียหมดเลย” สุชิน ติยะวัฒน์ หัวหน้าข่าวหน้า 1 ตบะแตก “ไอ้ห่า..แล้วกูจะทำยังไง ไม่มีรูป ข่าวหัวยักษ์นะมึง” โทนอารมณ์ของแกยิ่งพลุ่งพล่าน

“ผมตั้งรูรับแสงผิดครับ” ผมเสียงอ่อยยอมรับสารภาพ

“มึงยังไม่ได้บรรจุเลยนะ”

“ครับ”

“แล้วจะให้กูทำยังไง” สุชินยังแข็งกร้าว “ไอ้ดำโว้ย” ตอนนั้นทั้งกองบรรณาธิการหันมามองเป็นทางเดียว “ไอ้เด็กห่าเนี่ย มันถ่ายรูป ล้างฟิล์มออกมา ใช้ไม่ได้เลย มึงประสานพรรคพวกที่สยามโพสต์ บางกอกโพสต์หน่อยว่า พอจะมีรูปให้บ้างไหม”

ดำฤทธิ์ วิริยะกุล รองหัวหน้าข่าวภูมิภาค สามีกรรณิการ์ วิริยะกุล หัวหน้าข่าวบันเทิง หนังสือพิมพ์สยามโพสต์ ชายคาเก่าของผม มองหน้าแบบไม่เข้าใจในความผิดพลาดของนักข่าวตระเวนหน้าใหม่อย่างผม

“เอาให้ได้นะโว้ย เดี๋ยวนายเล่นกูตาย” หัวหน้าสุชินกำชับ “ส่วนมึง ไปช่วยหามาด้วย อย่าให้พลาดอีก ถ้าวันนี้กูไม่มีรูป กูเอามึงตาย” เขาโยนคำประกาศิตเชือดเฉือนเลือดเย็น ทำผมหมดอาลัยตายอยาก น้ำลายแห้งฝืดคอ

ไม่รู้จะโทษใคร นอกจากตัวเอง

ออกเวรกลับบ้านยอมรับสภาพนักรบข่าวที่เหมือนไม่เอาอ่าวในสมรภูมิ ผมกับครอบครัวเดินทางไปบ้านริมคลองบางกอกใหญ่ ซอยจรัญสนิทวงศ์ 3 ถิ่นกำเนิดสมัยตากับยายยังมีชีวิตอยู่ เหลือน้าสาวไม่กี่คนอาศัย จิตใจผมกระวนกระวายเลื่อนลอย นั่งมองสายน้ำและเสียงคลื่นจากเรือหางยาวซัดกระแทกตลิ่ง

ผมอยากกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง ไม่ต้องรับผิดชอบอะไร มีตายายและน้าสาวคอยประคบประหงมเอาใจ

บ้านหลังนี้ปัจจุบันเหลือเพียงความทรงจำที่ลางเลือน

ประวัติเก่าแก่เป็นชุมชนริมคลองบางหลวง มีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา  คลองบางหลวง หรือ คลองบางกอกใหญ่ เดิมเคยเป็นแม่น้ำเจ้าพระยา สมเด็จพระชัยราชาธิราชพระมหากษัตริย์ ในแผ่นดิน กรุงศรีอยุธยาจึงโปรดเกล้าฯให้มีการขุดคลองลัดขึ้น เพื่อร่นระยะทางสำหรับบรรดาพ่อค้าต่างชาติที่จะมาค้าขายเจริญสัมพันธไมตรีกับอาณาจักรอยุธยา

ภายหลังจากขุดคลองกลับมีขนาดใหญ่โตขึ้น เพราะกระแสน้ำไหลมากัดเซาะชายฝั่ง ปากคลองทางฝั่งโรงพยาบาลศิริราชเรียกกันว่า คลองบางกอกน้อย ส่วนปากคลองอีกด้านหนึ่งทางป้อมวิไชยประสิทธิ์เรียกกันว่าคลองบางกอกใหญ่

ผมนั่งเรือหางยาวจากท่าน้ำปากคลองตลาดบ่อยครั้งในวัยเด็กเพื่อมาขึ้นหน้าบ้านตา

กลิ่นอายในอดีตวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมของชาวบ้านแถบนี้เลือนหายไปเกือบหมด  บ้านที่ตายายอยู่มาตั้งแต่โบร่ำโบราณของ “ตระกูลรักสำรวจ” ตระกูลช่างทองเก่าแก่ ทายาทรุ่นสุดท้ายได้ขายบ้านหลังให้กับคุณชุมพล อักพันธานนท์ ปรับปรุงให้เป็นสถานที่แสดงงานศิลป์

ภาพเก่าของเจดีย์หลังบ้านกำหนดเขตพื้นที่วัดกำแพงยังติดตา บ้านของยายกับตา ถือเป็นบ้านไม้แห่งแรกที่ปลุกชีวิตให้ชุมชนคลองบางหลวงให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง

เสียดายที่ทุกวันนี้มันกลายร่างเป็นบ้านศิลปินหุ่นละครเล็ก คลองบางหลวง

“โต้ง เป็นอะไรหรือเปล่า นั่งเหม่อ” น้าสาวถามด้วยความกังวลกระตุกภาพชวนปวดหัวเมื่อบ่ายตอนถูกหัวหน้าข่าวแผดไอเดือดก้องหู

“ถ้าวันนี้กูไม่มีรูป กูเอามึงตาย” ประโยคทิ้งท้ายของเขามันยังกังวานในความคิด ผมไม่อยากให้ถึงวันพรุ่งนี้ ไม่อยากจรลีเข้าเวรตอนเช้า ไม่อยากเห็นข่าวหนังสือพิมพ์บนแผง

“ไป ลุกไปกินข้าวเร็ว น้าเขาทำเสร็จแล้ว กำลังร้อน ๆ”

ละเมียดได้ไม่ทันหมดจาน ข่าวโทรทัศน์ตอนเย็นแจ้งรายงานด่วน นางเอกสาวเก๋-บุญพิทักษ์ จิตต์กระจ่าง ประสบอุบัติเหตุรถชนเสียชีวิต

ผมแทบใจหาย เธอเป็นนางเอกยอดขวัญใจคนหนึ่งที่ผมชอบติดตามผลงาน

“ที่ไหนหรือ” ทุกคนในสำรับเกือบพูดขึ้นพร้อมกัน

บุญพิทักษ์ จิตต์กระจ่าง เป็นชาวจังหวัดชลบุรี สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนดาราสมุทร อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ศึกษาต่อที่โรงเรียนพณิชยการตะวันออก และมหาวิทยาลัยรามคำแหง เธอเริ่มเป็นที่สนใจจากประชาชนชาวชลบุรี จากการเป็นผู้เข้าประกวดมิสเอ ซี เอส จัดโดยสมาคมศิษย์เก่าอัสสัมชัญศรีราชา ที่โรงแรมแอมบาสซาเดอร์

การประกวดครั้งนั้น เธอได้ตำแหน่งขวัญใจช่างภาพสื่อมวลชน และเริ่มเข้าสู่วงการบันเทิง ด้วยการประกวดหนุ่มสาวผิวสุขภาพดีจากแพนคอสเมติกส์ โดยการชักชวนของเพื่อนที่ว่า ถ้าสมัครประกวดจะเสียค่าสมัคร 50 บาท และได้เป็นสมาชิกแพน 1 ปี

สมัยนั้นค่าสมัครสมาชิกแพนจะอยู่ที่ 200 บาท เก๋ตกลงสมัครเข้าร่วมการประกวด เริ่มจากระดับศูนย์ มาระดับจังหวัด สู่ระดับภูมิภาค กระทั่งผ่านระดับประเทศที่โรงแรมดุสิตธานี เธอสามารถครองตำแหน่งชนะเลิศฝ่ายหญิงได้สำเร็จ

มยุรฉัตร เหมือนประสิทธิเวช เห็นแววได้ชวนไปเทสต์หน้ากล้อง สวมบทบาทนักเรียนที่ทุจริตในการสอบ นำประสบการณ์ตัวเองในชีวิตจริงมาใช้ผ่านการเทสต์ได้รับโอกาสให้แสดงละครทางช่อง 3เรื่องแรกคือ “สี่แยกนี้อายุน้อย” คู่กับหนุ่ม-ศรราม เทพพิทักษ์

หลังจากนั้น มีผลงานต่อมา คือ ตุ๊กตามนุษย์ ขอให้รักเรานั้นนิรันดร แม่พลอยหุง ครึ่งของหัวใจและได้แสดงภาพยนตร์ไทยเรื่อง รักแท้บทที่ 1 ประกบแท่ง-ศักดิ์สิทธิ์ แท่งทอง ที่ผมได้มีโอกาสไปดูถึงในโรง

เก๋-บุญพิทักษ์ จิตต์กระจ่าง เสียชีวิตอย่างกะทันหัน เมื่อวันศุกร์ที่ 27 ตุลาคม 2538 ขณะเดินทางกลับบ้านเกิดจังหวัดชลบุรีพร้อมกับประภาส แสงสว่าง เพื่อนชาย เกรียงไกร จิตต์กระจ่าง น้องชาย และจารุรัตน์ สามารถ เพื่อนสาวของน้องชาย

รถเกิดอุบัติเหตุคว่ำที่โค้งโรงโป๊ะ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี นางเอกสาวดาวรุ่งเสียชีวิต หลังส่งไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลบางละมุง เนื่องจากอาการเลือดคั่งในสมอง  ส่วนผู้บาดเจ็บอีก 3 ราย ได้ส่งไปรักษาตัวโรงพยาบาลกรุงเทพพัทยา ส่วน เกรียงไกร จิตต์กระจ่าง น้องชายถูกส่งรักษาต่อที่โรงพยาบาลพญาไท 1 แต่เสียชีวิตลงถัดจากเกิดเหตุ 10วัน

ศพของบุญพิทักษ์จัดพิธีที่ศาลา 8/2 วัดพระศรีมหาธาตุวรมหาวิหาร เขตบางเขน เป็นเวลา 3 วัน ท่ามกลางความอาลัยของเหล่าคนในวงการบันเทิง ก่อนที่จะนำศพไปประกอบพิธีทางศาสนาคริสต์ และฝังไว้ที่สุสานของโบสถ์พระหฤทัยแห่งพระเยซูเจ้า ศรีราชา อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ตามหลักศาสนาคริสต์ศาสนิกชนนิกายโรมันคาทอลิกที่เธอนับถืออยู่

การตายของนางเอกเก๋-บุญพิทักษ์ จิตต์กระจ่าง เป็นข่าวใหญ่คึกโครมระดับประเทศ หนังสือพิมพ์พาดหัวกันทุกฉบับ

ผมเสียใจ แต่ต้องขอบคุณเธอที่ช่วยกลบข่าวปล้นร้านทองในเช้าวันเดียวกันนั้น

หัวหน้าสุชิน ติยะวัฒน์ อัดรูปบุญพิทักษ์ จิตต์กระจ่าง กับเหตุการณ์สยอง นำเสนอหน้า 1 เต็มไปหมด แกไม่สนว่า ข่าวโจรกรุงบุกยิงเจ้าของร้านทองตายในกรุงก็เป็นข่าวหน้า 1 แต่ไม่มีพื้นที่ให้ลงรูปอีกแล้ว

“บอก มาเลย ถ้า หมด ใจ บอกความจริงเธอหมด รัก ฉันไม่ต้องการ จะฝืนและดึงเธอ เอาไว้” ผมชอบเพลงเธอไม่ใช่คนเดิม ของอนันต์ บุนนาค

ถ้ามีโอกาสร้องคาราโอเกะผมมักจะขอเพลงนี้เป็นประจำ เพียงแค่อยากดูมิวสิคประกอบ “เปลี่ยนแปลงไปเพราะคน นั้น วันเวลาได้บอก แล้ว ฉันต้องเข้าใจ เมื่อเธอนั้นทำไปอย่างนั้น”

ท่อนฮุกมันโดนใจ “เพราะเธอ ไม่ใช่ คนเดิม ที่เคย รักเรา มาก มาย และเธอ คนเดิม หายไป กับความ จริงใจ อะไรทำให้เธอเปลี่ยนไป เพราะเธอ ไม่ใช่ คนเดิม ฉันเลย ต้องให้ เธอไป และฉัน ไม่เคย เสียใจ แต่ข้าง ในใจ ยังคิดถึงเธอ คน เดิม ตลอด ไป”

ไม่รู้ว่า จะร้องเพราะหรือเปล่า แต่ผมชอบร้องเพลงนี้

“..จาก วันวาน ที่เคย หวาน และคืนนั้น เธอ บอก รัก ฉัน จะไม่ลืม จะจำเรื่องที่ดี เอาไว้ แต่เวลา นี้ ปวด ร้าว อยากจะ ลืม ให้ หมด ใจ ภาพ เธอวันนี้ ใจดำไม่ควรจำ เอาไว้” ผมเลือกเพราะนางเอกมิวสิค ไม่ใช่เลือก เพราะชื่นชอบนักร้องมาดทะเล้น อนันต์ บุญนาค

“เพราะเธอ ไม่ใช่ คนเดิม ที่เคย รักเรา มาก มาย และเธอ คนเดิม หายไป กับความ จริงใจ อะไรทำให้เธอเปลี่ยนไป เพราะเธอ ไม่ใช่ คนเดิม ฉันเลย ต้องให้ เธอไป และฉัน ไม่เคย เสียใจ แต่ข้าง ในใจ ยังคิดถึงเธอ คน เดิม เพราะเธอ ไม่ใช่ คนเดิม ที่เคย รักเรา มาก มาย และเธอ คนเดิม หายไป กับความ จริงใจ อะไรทำให้เธอเปลี่ยนไป”

ท่อนสุดท้ายอาจเรียกน้ำตาผู้ชาย “เพราะเธอ ไม่ใช่ คนเดิม ฉันเลย ต้องให้ เธอไป และฉัน ไม่เคย เสียใจ แต่ข้างในใจ ยังคิดถึงเธอ คน เดิม ตลอด ไป…”

ผมชอบรอยยิ้มของเก๋-บุญพิทักษ์ จิตต์กระจ่าง นางเอกมิวสิคที่ทำให้ผมต้องระลึกถึง คิดถึงวันนั้น เธอช่วยให้ผมรอดพ้นหายนะจากอารมณ์ขุ่นเคืองของหัวหน้าข่าวหน้า 1 จนผมกลับเข้าสู่เส้นทางเดินในชีวิตนักข่าวตระเวนต่อ

“แต่ข้างในใจ ยังคิดถึงเธอ คน เดิม ตลอด ไป…”

RELATED ARTICLES