“ผมทำบาป เพราะว่ามันเป็นโจร ไม่มีเรื่องส่วนตัว”

 

ชีวิตราชการไม่ได้โดยด้วยกลีบกุหลาบ ถูกมรสุมหนามคมทิ่มตำเส้นขุระ แต่สามารถรอดผ่านพ้นมลทินมาได้จบวันสุดท้ายในเครื่องแบบตำรวจ

“เรื่องราวที่เกิดขึ้นต้องอดทน แล้วสู้ตามแนวทางของกฎหมาย” พล...ประภาส ปิยะมงคล ผู้ทรงคุณวุฒิ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตำนานนักสืบรุ่นลายครามยุคหนึ่งของกองกำกับการสืบสวนสอบสวนนครบาลพระนครใต้ระบายความรู้สึกในอดีต

เขาเป็นลูกพ่อค้าเกิดที่จังหวัดนครสวรรค์ ก่อนเข้ามากรุงเทพมหานครจบมัธยมโรงเรียนบางกะปิ ไปเรียนต่อคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง  เพราะชอบเรื่องกฎหมาย แต่ไม่ได้คิดอยากเป็นตำรวจ แม้ชอบเล่นบทบู๊ตามประสาเด็ก

ถึงกระนั้น เจ้าตัวทนคำรบเร้าของพ่อไม่ไหว เอาวุฒินิติศาสตรบัณฑิตจากรั้วพ่อขุนไปสอบเข้าเป็นรองสารวัตรสอบสวน ประจำโรงพักพระโขนง เข้าตาสารวัตรโสภณ ชินพงสานนท์ ดึงมาเป็นหัวหน้าสายสืบ ประเดิมเกมดุเมื่อปี 2526 เกิดคดีปล้นทรัพย์ในซอยอ่อนนุช รีบซ้อนมอเตอร์ไซค์ลูกน้องมุ่งไปที่เกิดเหตุ พบสิบตำรวจลูกน้องในสังกัดถูกยิงลากลงมาจากที่ร้านของชำผู้เสียหาย

“ผมวิทยุขอ ว.7 ครั้งแรกในชีวิต” ผู้หมวดประภาสในวัย 25-26 ปีย้อนนาทีตื่นเต้นเรียกกำลังสนับสนุน ศูนย์วิทยุนารายณ์แม่ข่ายใหญ่กระจายข่าวไม่นาน นายตำรวจชั้นผู้ใหญ่มากันเต็ม เขาจำแม่นว่า “วิศิษฐ์ นิมิตรกุล” กับ “รังสรรค์ กาญจนรัตน์” เป็นมือดีของสืบสวนใต้ตามมาสมทบพากันขึ้นตึกไปตามล่าแก๊งคนร้ายใจเหี้ยมปล้นแล้วกล้ายิงใส่ตำรวจ

ไล่กันทันถึงชั้นดาดฟ้า “วิศิษฐ์ นิมิตรกุล” เป็นหัวหน้าทีมเปิดฉากปะทะจับตายคนร้ายรวดเดียว 3 ศพ  “ครั้งแรกในชีวิต ผมแทบไม่รู้เรื่องเลย ยังเด็กมาก คนร้ายมีปืนทุกคน ยิงใส่กันเดือด ยอมรับว่า กลับบ้านไปนอนไม่หลับเลย ตกใจมาก รุ่นขึ้นต้องโทรไปบอกพ่อให้ถวายสังฆทานพระ 3 รูปให้หน่อย ถึงผมจะชอบทางบู๊แบบนี้ ไม่คิดว่าจะประสบเหตุเร็วขนาดนั้น”  อดีตหัวหน้าสายสืบพระโขนงบรรยายภาพ

อยู่ปีเดียวเผชิญมรสุมระลอกแรกจากพิษบ่อนเจ้าพ่อเมืองหลวง เด้งไปไกลอยู่แผนกนโยบายและแผน กองบังคับการอำนวยการ กองบัญชาการตำรวจภูธร 4 พื้นที่ภาคใต้ แต่นายยังไว้ใจในฝีมือให้เป็นหน้าหน้าชุดเฉพาะกิจปราบปรามแร่เถื่อนแถวเขาหลัก จังหวัดพังงา กระทั่งได้ย้ายกลับมาอยู่สถานีตำรวจนครบาลทุ่งมหาเมฆนาน 2 ปี พล.ต.ต.อมร ยุกตะนันทน์ ดึงเข้าไปอยู่ในทีมสืบสวนใต้ ตามคำแนะนำของสารวัตรโสภณ ชินพงสานนท์

มีโอกาสสัมผัสนักสืบรุ่นพี่มากประสบการณ์ไม่แพ้สืบสวนเหนือ อาทิ พีรพล สุนทรเกตุ อาทิจ ชูตินันทน์ ชาลี เภกะนันท์ เอื้อพงศ์ โกมารกุล ณ นคร ทรงพร สารพานิช  สมคิด บุญถนอม ชัชวาลย์ วชิรปราณีกุล เจ้าตัวเล่าว่า เป็นยุคที่นักสืบเริ่มเรียนรู้การใช้เทคโนโลยีช่วยติดตามคนร้าย เราจากรองสารวัตรบ้านนอกย้ายมาอยู่โรงพักแทบไม่รู้อะไรเท่าไหร่ รู้แค่ว่า ไปตามหาคนร้ายตามหมายจับ สืบสวนแบบลูกทุ่ง เพิ่งรู้ว่า มีการดักฟังโทรศัพท์ ได้วิชาจากตรงนั้นเยอะ เรียนรู้นักสืบรุ่นพี่มีแนวความคิดยังไง ทำไมถึงทำคดีแบบนี้ ทำไมไม่เอาตัว ทั้งที่เห็นอยู่ และมีหมายจับ แต่เพื่อให้ได้รู้พฤติการณ์ ได้ต่องาน ได้รู้ว่ามีอะไรจะได้ซักถามมันได้

  “พวกพี่เขาจะสอนทุกอย่างในงานสืบสวน บอกเสมอยังไม่จำเป็นต้องรีบเอาตัว ตามสะกดรอยรอจนจะได้รู้ว่ามันไปติดต่อใครอีก รู้พฤติกรรมมัน บางรายตามมาเดือนกว่า เราก็ยังตามต่อ ต้องใช้ความอดทนมาก เพื่อแลกกับงานอื่นที่อาจมีพรรคพวกเครือข่ายแก๊งมันอีก ผมว่า ผมโชคดีที่ได้อยู่ในยุคที่เห็นการทำงานแบบนักสืบรุ่นเก่าก้าวสู่แนวคิดนักสืบสมัยใหม่ เฝ้าคดีกันเป็นเดือนกว่าจะประสบความสำเร็จ” พล.ต.ต.ประภาสรำลึกความหลัง

ร่วมปิดแฟ้มคดีโบแดงประดับหน่วยเป็นว่าเล่น จับเป็นจับตายคนร้ายประวัติยาวเหยียดนับไม่ถ้วนจนหายอาการตื่นเต้นเหมือนครั้งแรกตอนอยู่พระโขนง แถวเข้าไปเป็นทีมเฉพาะกิจศูนย์ป้องกันปราบปรามการโจรกรรมรถนครบาลภายใต้การคุมหน่วยของ “ธนู หอมหวล” เล่นบทมาตรการขั้นเด็ดขาดเข้าจัดการหัวโจกขโมยรถตามตัวเลขสถิติรถหายลดลงอย่างเห็นทันตา

“ชีวิตในการอยู่กองสืบสวนใต้ ผมมีความสุขนะ มันได้ทำงาน” ถึงกระนั้นดันไม่มีที่ว่างสำหรับเก้าอี้สารวัตร จำต้องลาถิ่นไปขึ้นเป็นสารวัตรแผนกสืบสวนพิเศษ กองกำกับการสายตรวจ กองบังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดจับยานรกลอตใหญ่เป็นจำนวนมาก ก่อนโยกนั่งสารวัตรสืบสวนคนแรกของสถานีตำรวจนครบาลโชคชัยที่เต็มไปด้วยคดีอาชญากรรมหลังจากขยายโครงสร้างแบ่งพื้นที่แยกออกมาจากโรงพักลาดพร้าว

เขาโชว์ฝีมือปราบโจรวิ่งราวกระชากกระเป๋าเหี้ยนเตียน มีแถลงข่าวจับคดีสำคัญแทบทุกสัปดาห์ โดยเฉพาะคดีฆ่าชิงรถเก๋งบีเอ็มดับเบิลยูของ อ๋อง-วัชรฤกษ์ โพธิสุนทร นักศึกษามหาวิทยาลัยรังสิต ลูกชายธวัช โพธิสุนทร อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี นำศพยัดกระสอบหมกบ่อหลังบ้านเลขที่ 290 หมู่ 1 ตำบลน้ำริม อำเภอเมืองตาก

พล.ต.ต.ประภาสเล่าว่า ญาติผู้เสียหายมาแจ้งความคนหายไปพร้อมรถ เราเริ่มสืบจากว่า หายตรงไหน มีที่มาที่ไปอย่างไร ให้สายสืบเดินไปหน้ากระดานหาข้อมูล หลังพบเบาะแสเบื้องต้นเกี่ยวกับผู้ตายนำรถมาให้ผู้ต้องสงสัยดูย่านวังหิน จนพบว่า ผู้ต้องสงสัยเป็นผัวเมียคนภาคเหนือย้ายออกไปแล้ว  ค้นบ้านไม่เจออะไร เพราะขนของออกไปหมด แต่พอคุ้ยถังขยะเจอเศษสำเนาทะเบียนบ้านที่มันฉีกทิ้งไว้ รีบไปคัดรูปเอาให้พยานดูยืนยันว่าใช่

เจ้าตัวเสียดายไม่น้อยเมื่อไม่สามารถตามไปลากคอผู้ต้องหา หลังจากรายงานความคืบหน้าไปถึง พล.ต.ต.กฤษฎา พันธุ์คงชื่น ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 4 ขณะนั้น ส่ง พ.ต.ท.รณศิลป์ ภู่สาระ สารวัตรกองกำกับการสืบสวนสอบสวนนครบาล 4 เดินทางขึ้นเหนือไปพร้อม ร.ต.อ.อุทัย วงศ์คำแสน รองสารวัตรสืบสวน สถานีตำรวจนครบาลโชคชัย กับพวก

“เมียผมจะคลอดลูกอยู่วันสองวันเลยไม่ได้ไป วันรุ่งขึ้นลูกคลอดก็จับคนร้ายได้พอดี เจอรถ เจอตัวผู้ต้องหา แต่สมัยก่อนไม่ได้เอาข้อมูลมาง่าย ต้องไปคัดทะเบียนราษฎร์ที่วังไชยา ต่างจากปัจจุบันนั่งบนโต๊ะคีย์เอาอย่างเดียว เป็นการสืบบนโต๊ะ แต่ก็มีส่วนดีอยู่ตรงที่ว่า ตำรวจมีวิวัฒนาการดีขึ้น อยู่ที่ว่าบริษัทเอกชนที่เกี่ยวข้องด้วยจะให้ความร่วมมือมากน้อยแค่ไหน”

อยู่โรงพักโชคชัย  3 ปี ขยับเป็นสารวัตรสืบสวน สถานีตำรวจนครบาลมักกะสัน ร่วมไขคดียิงกันตายบริเวณถนนเพชรบุรีตัดใหม่ นำไปการขยายผลทลายเครือข่ายยาเสพติดรายใหญ่ของแก๊งมังกรจีนสวมบัตรประชาชนย่านพระราม 9 กระทั่ง พล.ต.ท.อนันต์ ภิรมย์แก้ว ขึ้นผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 จึงเลือกขอตามไปขึ้นรองผู้กำกับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 1 ทำโครงการเพิ่มประสิทธิภาพให้แก่ฝ่ายสืบสวนทั่วพื้นที่รับผิดชอบตำรวจภูธรภาค 1 เชิญวิทยากรผู้เชี่ยวชาญอย่าง หมอพรทิพย์ โรจนสุนันท์ หมอเลี้ยง หุยประเสริฐ และพ.ต.อ.ปรีชา ธิมามนตรี ยศขณะนั้นไปฝึกอบรม

ต่อมาย้ายเป็นรองผู้กำกับการ 6 กองบังคับการตำรวจทางหลวง สมัยที่ พล.ต.ต.สมคิด บุญถนอม นักสืบรุ่นพี่นั่งเก้าอี้ผู้นำหน่วย หวังจะเข้าไปช่วยคลายปมฆ่าตำรวจทางหลวงที่อ่างทอง กลับถูกตำรวจหน่วยอื่นปฏิเสธกีดกันไม่ให้เข้าไปเอาข้อมูล “มันคิดว่า ผมมาจากโรงพักอยู่ภูธร มันคิดว่ามันทำได้คนเดียวหรืออย่างไน มารู้ตอนหลังจากปากคำเพื่อนตำรวจที่รอดชีวิตว่า ได้จดเบอร์โทรศัพท์ผู้ต้องสงสัยไว้ ผมรู้ที่หลัง ข้อมูลกลายเป็นขยะ กู้ไม่ได้แล้ว เสียดายจริง ๆ เพราะทุกวันนี้ก็ยังจับไม่ได้”

อย่างไรก็ตาม เขานำเอาประสบการณ์สมัยอยู่ศูนย์ป้องกันปราบปรามการโจรรถนครบาลไปใช้กำราบขบวนการลักรถตามแนวชายแดน เปิดฉากวิสามัญฆาตกรรมให้เห็นถึงศักยภาพตำรวจทางหลวงที่ไม่เคยทำมาก่อน ทั้งที่ใจไม่ได้อยากเป็นตำรวจทางหลวง เพราะไม่ถนัดเรื่องตั้งด่านโบกจับรถฝ่าฝืนกฎหมายจราจร ตั้งใจจะกลับนครบาลด้วยซ้ำ

ทำไปทำมาเจอมรสุมคดีนักธุรกิจซาอุดีอาระเบียหายตัวไป เป็นเกมอำนาจการเมืองรื้อฟื้นคดีขึ้นมาใหม่ ส่งให้ “สมคิด บุญถนอม” ถูกคำสั่งย้ายออกจากทางหลวง ส่วนเขาเป็นลูกน้องคนสนิทโดนหางเลขไปด้วย เด้งเป็นรองผู้กำกับโรงพักชะอวด จังหวัดนครศรีธรรมราช ทว่าไม่ได้ลงไปจริง เมื่อมีชื่อช่วยราชการศูนย์ป้องกันปราบปรามการโจรกรรมรถของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่มี พล.ต.อ.ชาญชิต เพียรเลิศ เป็นผู้อำนวยการคุมศูนย์

“ไม่ได้ถอดใจหรอก คิดว่าเดี๋ยวก็กลับมาได้ ผมมั่นใจ  เดี๋ยวมันก็โอเคแป๊บเดียว ถึงเวลาก็ต้องกลับมา  แค่แรงช่วงนั้น ไม่ได้ยาว เดี๋ยวจังหวะต้องเป็นของเราบ้าง ต้องมีวันฟ้าเปิด มันคงไม่เป็นอย่างนี้ตลอดชีวิตหรอก ผมคิดอย่างนั้น ถึงอยู่ที่ไหนก็ได้” พล.ต.ต.ประภาสระบายความรู้สึก

เจ้าตัวปัดฝุ่นวิชาจับโจรขโมยรถสารพัดรูปแบบอีกระลอก กวาดผลงานเชิดหน้าชูตาหน่วยไม่น้อย  ก่อนขึ้นผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรพรหมคีรี จังหวัดนครศรีธรรมราช ปรับปรุงพัฒนาโรงพักใหม่ ได้รับคำชื่นชมจากผู้บังคับบัญชา และมีคนมาช่วยบริจาคเงินสร้างอาคารโรงพัก จากนั้นย้ายเป็นผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรลาดหลุมแก้ว จังหวัดปทุมธานี เป็นผู้กำกับการสืบสวนสอบสวนตำรวจนครบาล

ปีเดียวลมมรสุมหอบเรื่องเก่ามาอีกครั้งทันทีที่อำนาจการเมืองเปลี่ยนข้าง เที่ยวนี้กระเด็นไกลไปเป็นผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรน้ำขุ่น จังหวัดอุบลราชธานี กันดารชนิดที่ไม่มีน้ำประปาใช้ ได้ พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม พี่ชาย พล.ต.ต.สมคิด บุญถนอม ประสานกำลังจากกองพันทหารพัฒนาไปขุดบ่อน้ำบาดาล แค่ 7 วันน้ำใสทันตาเห็น

พ้นนครบาลออกภาคอีสานเที่ยวนั้น เส้นทางชีวิตราชการระหกระเหินยาว ขึ้นรองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดชัยภูมิ เป็นรองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดอุบลราชธานี รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสุรินทร์ ปีสุดท้ายถึงเข้ากรุงนั่งเก้าอี้รองผู้บังคับการกองทะเบียนประวัติอาชญากร และติดยศ “นายพล” ตำแหน่งผู้ทรงคุณวุฒิ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นโบนัสก่อนเกษียณอายุราชการ

“ถือว่าสูงสุดในชีวิตแล้ว ไม่ได้คาดหวังอะไรมากมาย มาจากบ้านนอกได้เป็นนายพล ไม่เคยคาดคิดแค่เป็น พ.ต.อ.ก็ดีแล้ว เทียบนายตำรวจที่จบโรงเรียนนายร้อยตำรวจรุ่นราวคราวเดียวกันยังเป็น พ.ต.อ.ก็เยอะ ผมถือว่า ผมดำรงดำรงอยู่ในความถูกต้อง ผมทำบาป เพราะว่ามันเป็นโจร ไม่มีเรื่องส่วนตัว ใครจะมีอะไร ผมเฉยๆ ไอ้โดน คือ โดนเขากระทำ ไม่ได้ทำเอง และไม่ได้เป็นผลจากการกระทำของเรา การถูกโยกย้ายอะไร ผมไม่เคยไปบ่น”

พล.ต.ต.ประภาสมองว่า  เมื่อถึงเวลา กระบวนการยุติธรรมจะตัดสินเอง สุดท้ายเราก็ไม่ได้ผิดตามที่ถูกกล่าวหา แม้จะมีมลทินนานสิบปี เราในฐานะนักกฎหมายรู้อยู่แล้วว่าเป็นเกมการเมือง เล่นกันนอกเกมของอดีตตำรวจบางกลุ่ม  เจอหน้าไม่เคยถามเหมือนกันว่า ทำไปทำไม เรารู้คำตอบอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องฟื้นฝอยหาตะเข็บ เมื่อบางคนหวังเจริญก้าวหน้า อาศัยคดีนี้เป็นสะพาน แต่สำนวนหลวม และเละเทะมาก พวกนั้นไม่รู้ว่า เรามีข้อมูลอะไรบ้าง เราเก็บข้อมูลไว้หมดแล้ว รอวันสึนามิวกกลับมาขนาดไหน

ประสบการณ์การทำงานทั้งหมดที่ผ่านมา อดีตนักสืบคนดังฝากย้ำเตือนสตินักสืบรุ่นน้องว่า จะทำวันนี้แก้ไขไม่ได้ พรุ่งนี้มันแก้ไขวันนี้ไม่ได้ ดังนั้นต้องทำวันนี้ให้ดี พรุ่งนี้จะได้ไม่ต้องมาแก้ไข นี่แหละ สิ่งสำคัญที่สุด เพราะฉะนั้น  ทำในสิ่งที่ถูกต้อง ทำตามกฎหมาย ใครจะไปเอากระแส ไปเอาผู้บังคับบัญชามาเป็นตัวเร่ง กระตุ้นให้เราทำในสิ่งที่ผิดกฎหมาย ถึงเวลาจริง ๆ แล้ว ถ้าเจอผู้บังคับบัญชาไม่ดีจะไม่ช่วยเราเลย หนีไปเลย แล้วคุณจะเดือดร้อน

นายพลวัยเกษียณบอกด้วยว่า นักสืบรุ่นใหม่ อย่านั่งบนโต๊ะอย่างเดียว ต้องลงดินบ้าง ไม่ใช่เดี๋ยวเช็กเบส เดี๋ยวไล่โทรศัพท์ ต้องเริ่มจากพื้นฐานเบสิก คือ ต้องติดดิน ไปดูหน้างานที่เกิดเหตุว่า เป็นยังไงแล้วจะเกิดไอเดีย น่าเป็นห่วงนะ เพราะถ้าเช็กแต่โทรศัพท์ บางทีอาจจะเป็นข้อมูลที่คาดเคลื่อนได้เหมือนกัน แม้จะสะดวกรวดเร็ว

เขาทิ้งท้ายว่า สมัยก่อนปราบปรามแบบเด็ดขาดจริงเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง แต่ปัจจุบันทำไม่ได้แล้ว ต้องให้กระบวนการอื่นเล่นบ้าน ให้ศาลเป็นคนตัดสิน ตำรวจจะเป็นผู้พิพากษาเองทีเดียวไม่ได้ เราเคยอยู่ในยุคหนึ่ง เราทำต่อเมื่อเป็นคนไม่ดี คนดีเราไม่ทำ รุ่นพี่ก็สอนมาอย่างนี้ ทว่ายุคนี้เลิกคิด อากให้ทำอะไรไปตามกฎหมายดีที่สุด  ยกเว้นการเผชิญเหตุการณ์เฉพาะหน้าที่มีการต่อสู้กันจริง ๆ ถือเป็นการยิงต่อสู้กัน เพราะตำรวจอาจจะตายได้ อย่างไรก็ตาม ให้คำนึงถึงครอบครัวเราก่อน ให้มันหนีไปแล้วค่อยตามจับทีหลัง ยังดีกว่าเราต้องไปบาดเจ็บล้มตาย ไม่มีใครมาทดแทนเราได้ นอกจากตัวเราเองกับครอบครัวเรา เราเป็นอะไรไปคนหนึ่งแล้ว ลูกจะอยู่ยังไง เมียจะอยู่ยังไง เซฟที่สุด

“ฝากถึงผู้ปฏิบัติงานทุกคนเลย ให้คำนึงถึงความปลอดภัยของตัวเอง จะเข้าจุด จะเข้าอะไร เสื้อเกราะ โล่กันกระสุน อะไรต่าง ๆ ต้องพร้อม ต้องพร้อมกว่าคนร้าย อย่าคิดว่าตัวเองใจถึงอย่างเดียว เป็นอะไรไป อย่างมากคนเขาก็เชิดชูแป๊บเดียว แล้วลูกเมียจะอยู่ยังไง”

ประภาส ปิยะมงคล !!!

RELATED ARTICLES