“ไม่มีใครตั้งใจทำงานข่าวเพื่อให้ผิดจรรยาบรรณ หรือละเมิดในสิ่งที่มันไม่ใช่เส้นทางวิชาชีพสื่อมวลชน”

 

ารทำข่าวที่ดีกับเรติ้งที่ดีมันไปด้วยกันได้  น้ำเสียงลุ่มลึกทรงพลัง อธิบายเหตุการณ์ข่าวสารบ้านเมืองได้อย่างมีอรรถรสชวนติดตามเป็นสไตล์การเล่าข่าวของ อุ๋ย”  ภาคภูมิ พันธุ์สถิตย์ ผู้ประกาศข่าวจากไทยรัฐทีวีที่มีผู้ชมเฝ้ารอเวลาข่าวภาคค่ำชนิดเกาะติดจอ และยังเป็นผู้ประกาศข่าวชายยอดเยี่ยมคว้ารางวัลมาแล้วหลายเวที ทั้งรางวัลเมขลา รางวัลเทพทองปี 2561 และรางวัลนาฏราชถึง 2 ปีซ้อน

แต่กว่าจะมาถึงวันนี้ เขาต้องผ่านสมรภูมิข่าวมาอย่างพากเพียรพยายาม น้อยคนที่จะรู้ว่า ความฝันแรกก่อนที่จะมาเป็นผู้ประกาศชื่อดัง ตัวเองมีความใฝ่ฝันอยากเป็น ผู้สื่อข่าวสายกีฬา โดยมีแรงผลักดันมาจากชอบติดตามข่าวสารวงการกีฬา

เจ้าตัวเล่าว่า ตอนเด็กเตะฟุตบอล ชอบอ่านหนังสือสตาร์ซอคเกอร์ นิตยสารฟุตบอลขายดีในยุคนั้น มีการนำเสนอฟุตบอลอังกฤษ ตอนนั้นไม่มีเว็บไซต์เหมือนปัจจุบัน ชอบคอลัมนิสต์ อย่าง ย.โย่ง  บิ๊กจ๊ะ  เตยหอม บอบู๋  แจ๊คกี้ กับมาเฟียรี่ ใฝ่ฝันอยากไปติดตามฟุตบอลที่อังกฤษเหมือนพี่เขา  อยากเป็นนักข่าวติดตามพร้อมเชียร์ฟุตบอล อยากเป็นนักข่าวกีฬาอยู่สยามกีฬา สตาร์ซอคเกอร์ เชียร์แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด

จากพื้นเพถิ่นชายฝั่งภาคตะวันออก  มารดาเป็นคนบ้านฉาง จังหวัดระยอง บิดาเป็นชาวอ่างทอง ชีวิตวัยเด็กเรียนที่โรงเรียนวัดบ้านฉาง และศึกษาต่อที่โรงเรียนระยองวิทยาคม  ก่อนเดินทางเข้ากรุง เรียนต่อระดับอุดมศึกษามหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ คณะนิเทศศาสตร์  ถือเป็นแหล่งรวมของนักฟุตบอลดรีมทีม กลุ่มนักฟุตบอลสายเลือดใหม่ ที่ได้รับการปลุกปั้นโดย “บิ๊กหอย” ธวัชชัย สัจจกุล

ภาคภูมิบอกว่า ปีหนึ่งมีการคัดนักฟุตบอลติดทีมมหาวิทยาลัยเข้าไปร่วมเล่นกับ “ซิโก้” เกียรติศักดิ์  เสนาเมือง  “จุ่น” อนุรักษ์ ศรีเกิด ในตำแหน่งเซ็นเตอร์ฮาฟ  แต่ด้วยความเป็นนักฟุตบอลบ้านนอก เริ่มเล่นสู้เขาไม่ไหว ทีมชาติทั้งนั้น  แถมบาดเจ็บด้วยจากการไปแข่งขันฟุตบอลมหาวิทยาลัย จำได้แมตช์นั้นเจอกับ ม.เกษตรศาสตร์ เอ็นเข่าซ้ายฉีก สุดท้ายตัดสินใจพักแข้งชั่วคราว แล้วใช้เวลาไปกับการเรียนต่อกำลังขึ้นปีสาม มีการแยกสาขาสื่อสารมวลชนพอดี

มหาวิทยาลัยส่งนักศึกษาไปฝึกงาน  เขาได้ไปฝึกงานที่ช่อง 7  ติดตามไปทำข่าวที่ทำเนียบรัฐบาลและรัฐสภา ถือเป็นจุดเปลี่ยนจากที่ฝันอยากเป็นนักข่าวกีฬาสู่สายการเมือง  ตอนนั้นผมไม่ได้มุ่งมั่นว่าเป็นนักข่าวสายใด ในใจยังอยากทำข่าวกีฬาอยู่  พอไปฝึกงานทำเนียบ สภายังไม่ได้รู้สึกว่าแปลกอะไร เพราะมีเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ชื่อ จุ้น”  ผศ.ดร.พีรยุทธ โอรพันธ์  ปัจจุบันเป็นอาจารย์อยู่ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ชักพาให้เริ่มเดินบนเส้นทางนักข่าวสายการเมือง ทุกวันผมจะถือนิตยสารสตาร์ซอคเกอร์ แต่จุ้นจะหนีบมติชนสุดสัปดาห์ สยามรัฐสุดสัปดาห์ สลับกัน เราเจอเพื่อนทุกวัน มีโอกาสหยิบของเพื่อนมาอ่าน ทำให้ซึมซับการเมืองไปโดยไม่รู้ตัว ทั้งบทวิเคราะห์ วิจารณ์

ระหว่างฝึกงาน วันหนึ่งอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยบอกว่า ศูนย์ข่าวแปซิฟิกส่งจดหมายต้องการนักข่าววิทยุ ที่อ่านออกเสียงได้ชัดเจน แนะนำให้เขาส่งผลงาน เทปเสียงไปสมัคร  ในที่สุดได้ทำงานศูนย์ข่าวแปซิฟิก สมัยนั้นตั้งอยู่ที่สถานีวิทยุ พล. 1 ติดกับรั้วกองบัญชาการตำรวจนครบาล ได้รับมอบหมายทำข่าวทำเนียบ-สภา จนครั้งหนึ่งได้มีโอกาสไปทำข่าวกีฬาเหมือนที่ฝันไว้ แต่นั่นกลับเป็นจุดที่ทำให้เขาได้รู้จักตัวเองว่า จริงๆแล้ว ไม่ได้อยากเป็นนักข่าวกีฬา

ศูนย์ข่าวแปซิฟิกส่งไปทำข่าวการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ที่อินโดนีเซีย  ทำให้ภาคภูมิได้คิดตอนนั้นเลยว่าโชคดีแล้วที่เราไม่ได้มาเป็นนักข่าวกีฬา เพราะพอไปจริง ๆ ได้เจอพี่นักข่าวกีฬา รู้ว่า การเป็นนักข่าวสายกีฬาไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องติดตามดูเกมการแข่งขัน  จดสกอร์  รายงานก่อนเกม สัมภาษณ์ความพร้อมนักกีฬาทั้งก่อนและหลังเกม ต้องลงไปสัมภาษณ์ เห็นแบบนี้ รู้เลยว่าไม่ใช่แล้ว แสดงว่า ตัวเองดูเพราะความชอบดูอย่างเดียวพอมาเป็นนักข่าวกีฬาไม่ได้สนุกกับการทำข่าวจริง ๆ แต่เสพติดการเมืองต่างหากจากการอ่านหนังสือของเพื่อนมาสี่ปี โดยไม่รู้ตัว

หลังจากนั้น ภาคภูมิมายืนบนถนนข่าวการเมืองอย่างเต็มตัว ทำงานอยู่ที่ศูนย์ข่าวแปซิฟิกหนึ่งปี เป็นจังหวะที่ช่อง 9 อสมท เปิดสอบนักข่าวสายการเมือง 2 ตำแหน่ง  เขาได้รับเลือกทำงานในภาคสนาม รายงานสดจากพื้นที่ เติบโตตามขั้นตอนจากรีไรเตอร์มาเป็น ผู้ช่วยบรรณาธิการ และเป็นบรรณาธิการข่าว  และเป็นจังหวะที่บริษัท เนชั่น ร่วมผลิตรายการข่าวค้นคนข่าวหมดสัญญา ทางช่อง 9 อสมท ตัดสินใจว่า ทำรายการเล่าข่าวเอง ช่วงกลางคืน ในชื่อรายการ “คลุกวงข่าว”  ทำให้เขามาร่วมเล่าข่าว ควบคุมการผลิต

อยู่ อสมท ได้ 17 ปี จนปี 2557  ทีวีดิจิทัลเกิดใหม่ ตัดสินใจย้ายไปช่อง ONE   อ่านข่าวด้วย และเป็น รองบรรณาธิการบริหาร ก่อนขึ้นเป็นบรรณาธิการบริหาร เป็นหัวหน้าผู้ประกาศ แล้วย้ายมาอยู่ไทยรัฐทีวี เมื่อปี 2561 จนถึงปัจจุบัน เป็นผู้ประกาศข่าวควบตำแหน่งรองผู้อำนวยการฝ่ายข่าว

ภาคภูมิในวัย 45 ปีสะสมประสมการณ์บนถนนสายสื่อมวลชนกว่า 23 ปี มีหลายเหตุการณ์ที่จดจำและประทับใจ  เจ้าตัวมั่นใจว่า เป็นคนข่าวรุ่นไม่เก่า ไม่ใหม่ ผ่านยุคสมัยการทำข่าวเลือกตั้ง ผ่านการทำงานช่วงมีการรัฐประหาร ทหารเข้ามาในสถานี ต้องหยุดออกอากาศก็กลับบ้าน  ถามว่าประทับใจข่าวไหนเป็นพิเศษ คงไม่สามารถบอกได้แบบนั้น มันมีความรู้สึกหลากหลายของข่าวมากกว่า และมีความสนุกในการทำงานข่าว  ผมไม่มีถึงขั้นไปมีวิวาทกับแหล่งข่าว กระทบกระทั่ง เพราะโดยธรรมชาติการทำงานจะสัมภาษณ์ จะไม่ใช่สายบู๊ ไม่มีมุมนี้เท่าไหร่   แต่ในแง่ความจดจำ น่าจะเป็นช่วงของช่วงเลือกตั้งที่ผ่านมา ได้ทำดีเบต ได้ทำรายงานผลเลือกตั้ง ใช้เทคโนโลยีต่างๆเข้ามา ได้คิดคะแนนเลือกตั้งแบบไม่เคยเจอมาก่อน ทั้งสนุกและยุ่งยากอีกแบบ

ความเป็นที่นิยมในตัวผู้ประกาศข่าวรายนี้ น่าสะท้อนได้ดีจากเหตุการณ์ล่าสุด  มีสตรีรายหนึ่งเจอปัญหาครอบครัว สามีหนีหายไปเธอต้องอยู่เลี้ยงลูกโดยลำพัง ด้วยความเครียดหาทางออกไม่ได้ ทำให้เธออยากจบชีวิตตัวเองบนสะพานลอยติวานนท์ ใกล้โรงพักปากเกร็ด นนทบุรี เจ้าหน้าที่เกลี้ยกล่อมอยู่นาน มีประโยคหนึ่งที่เธอบอกว่า จะไม่ฆ่าตัวตายก็ได้ ขอให้ได้พบคุณภาคภูมิ ไทยรัฐทีวี

ประโยคนี้มันมาจากเขาคิดว่า ทั้งเขาและสามีดูไทยรัฐ นิวส์โชว์ เขาเชื่อว่าไม่ว่า สามีหนีไปไหน ยังไงก็ดูไทยรัฐทีวี  ผมเลยนัดเจอผู้หญิงคนนี้ แล้วช่วยเหลือให้พูดให้สื่อสารออกไป ให้สามีกลับมา ผ่านไปวันเดียว สามีก็กลับมา เพราะเขาดูข่าวของเราจากไทยรัฐนิวส์โชว์ทุกวัน ไม่เคยขาดจริง ๆ เขาบอกพอเห็นข่าวตกใจ นี่ทำให้เมียเป็นแบบนี้เลยหรือ เขาแค่คิดหนีไปปลีกวิเวกที่เขาค้อ เพชรบูรณ์สักพักนึง ทำให้เรารับรู้ว่า อย่างน้อยก็มีคนนึกถึงเรา เวลาเขามีปัญหา  ภาคภูมิ กล่าว

ด้วยความเป็นสื่อมวลชนมีประสบการณ์สูง ทั้งนักข่าวภาคสนาม นักจัดรายการข่าววิทยุ  ผู้ประกาศข่าวโทรทัศน์ ได้สะท้อนมุมมองช่วงเวลาการเปลี่ยนผ่านวงการวิชาชีพ  ภาคภูมิมองว่า ยุคปัจจุบันมีความยากในการต่อสู้แข่งขันทางธุรกิจสื่อมาก จำนวนช่องทีวีเยอะขึ้น ในแง่ดิสทรัปชั่น มีสิ่งต่างๆเข้ามาเปลี่ยนแปลง เช่นสื่อสิ่งพิมพ์ต้องเจอกับออนไลน์ วิทยุเจอพ็อดคาสท์ ทำให้สื่อมวลชนยุคปัจจุบัน ไม่ใช่แค่คนข่าว ยังมีทั้งรายการวาไรตี้ สารคดี ภาพยนตร์ ต้องตื่นตัวมากขึ้น จะผลิตงานอย่างไรให้ตอบโจทย์ของคนดู เพราะปัจจุบันช่องทางเลือกเสพข้อมูลข่าวสารก็เยอะมากจริง ๆ

ผู้ประกาศข่าวคนดังไทยรัฐทีวีบอกว่า คนข่าวทีวีอย่างเขายังโชคดีอยู่บ้าง เพราะการดูข่าว ต้องมาคู่กับความสดใหม่  เชื่อว่าคนยังต้องการดูข่าวสดๆ อย่างดูละครเขายังดูเลือกตามช่วงผังเวลาได้ว่า จะเลือกดูละคร ซีรีส์ เกมโชว์เวลานั้นเวลานี้ แต่การรับชมข่าวเป็นไฟต์บังคับว่า ต้องดูสด  นอกจากจะไล่ตามข่าวที่อยากจะดูย้อนหลังจริงๆ  แต่ไม่ได้หมายความว่า คนข่าวทีวีจะโชคดีกว่าสื่อสารมวลชนแขนงอื่น ข่าวทีวีก็ต้องสู้กับความรวดเร็วของนักข่าวพลเมือง เพจข่าวออนไลน์ ที่มีเพจสำนักข่าวดี ๆเกิดขึ้นเยอะจริง ๆ ยังไม่นับสำนักข่าวไร้ตัวตน หรือสายดาร์กอีก  ทำให้คนทำข่าวทีวีต้องคิดมากขึ้น เช้าสายบ่ายเย็นประชาชนเห็นหมดแล้ว เพียงแต่ว่า สิ่งที่ผ่านตามาตลอดทั้งวัน เมื่อมาดูทีวีคุณจะได้อะไรมากกว่านั้น อันนั้นเป็นโจทย์ใหญ่ของคนทำข่าวทีวีในยุคปัจจุบัน

ทว่าการทำหน้าที่ของสื่อมวลชนในยุคปัจจุบัน ยังต้องแบกรับเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากผู้ชม โดยเฉพาะเสียงวิจารณ์ ว่าการนำเสนอข่าวต้องการเรียกเรตติ้งมากกว่าคำนึงถึงจรรยาบรรณ  ในมุมหนึ่งต้องยืนอยู่บนโลกความเป็นจริงด้วย เราจะทำอย่างไร ให้ความพอดี บาลานซ์ซึ่งกันและกันได้  ผมว่า ทุกสำนักข่าว ออนไลน์ วิทยุ สื่อสิ่งพิมพ์ที่ยังมีอยู่ ไม่มีใครตั้งใจทำงานข่าวเพื่อให้ผิดจรรยาบรรณ หรือละเมิดในสิ่งที่มันไม่ใช่เส้นทางวิชาชีพสื่อมวลชน แต่จะทำอย่างไรให้บาลานซ์อยู่ได้ ระหว่างให้เจ้าของธุรกิจเขาไปได้ และตัวของคุณภาพของข่าวที่ทำออกไปก็ยังมีอยู่ ตรงนี้จะทำอย่างไร ทางผู้บริหารของสื่อ เจ้าของธุรกิจสื่อกับกองบรรณาธิการข่าว ต้องมาคุยหาความบาลานซ์ซึ่งกันและกันให้ได้ เพราะในแง่ทีวี เรทติ้งนำมาซึ่งมูลค่าของเงินโฆษณาที่จะเข้ามา ซึ่งคือน้ำหล่อเลี้ยงธุรกิจทีวีที่จะทำให้ไปต่อได้ เพราะฉะนั้นจะทำอย่างไรให้บาลานซ์ แล้วก็เดินคู่กันไปได้มากที่สุด”  

ถามว่าจะไปด้วยกันได้อย่างไร ภาคภูมิเชื่อว่า ไปได้ และพิสูจน์มาแล้ว ยกตัวอย่างกรณีทีมหมูป่าติดถ้ำหลวงขุนน้ำนางนอน เชียงราย ข่าวช่องไทยรัฐทีวีเป็นช่องที่คนเปิดดูมากที่สุดในช่วงเวลานั้น แสดงว่า การทำข่าวที่ดีกับเรตติ้งที่ดีมันไปด้วยกันได้ หรือเหตุการณ์พายุปลาบึก เลือกตั้ง ส.ส.ที่ผ่านมา สถานการณ์โควิด-19 ที่ไทยรัฐทีวีเกาะติดนำเสนอทุกแง่มุมตั้งแต่ช่วงแรก ๆ  ฉะนั้นถ้าถามว่า จะต้องเป็นข่าวไม่ดีอย่างเดียว หรือข่าวดราม่าอย่างเดียวหรือเปล่า ถึงทำให้เรตติ้งดี ผมว่าไม่ใช่หรอก แต่ในการรับชมข่าวทางทีวีของผู้คน ก็ยังต้องการชมข่าวเสพข่าวในหลากหลายอรรถรส จึงปฏิเสธไม่ได้ที่ต้องมีข่าวสาร ที่หลากหลายคละเคล้ากันไปในแต่ละช่วงข่าว แต่คุณภาพกับเรตติ้ง มันก็ไปด้วยกันได้ เชื่อผมสิ  ผู้ประกาศข่าวน้ำเสียงมีเสน่ห์ กล่าวทิ้งท้าย

RELATED ARTICLES