ตุลาร่ำไห้

 

ช่วงกันยายนของทุกปี เป็นช่วงบรรยากาศของการร่ำลา ผู้ที่เกษียณอายุราชการ

ถือเป็นช่วงของการก้าวสู่วัยของการพักผ่อน ดูแลตัวเอง และรักษาสุขภาพ ใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างมีความสุข

แต่จะมีใครสักคน ที่พอจะจำได้ว่า ในหลวงของเรา ทำงานให้คนไทยทั้งประเทศอย่างหนักมากว่า 70 ปี โดยไม่เคยมีวันเกษียน!!

และคนไทยหลายคนอาจลืมไปแล้วว่า พระองค์ท่านทรงทำงานหนักเพื่อประชาชนของพระองค์อย่างไร !!

คำว่า ” พระราชา” สำหรับหลายคน อาจดูยิ่งใหญ่ หรูหรา ทรงอำนาจ และสุขสบายในปราสาทราชวัง อย่างที่คุ้นเคยกันในนิทานก่อนนอน

แต่พระราชาของประเทศไทย ที่เราเรียกกันอย่างคุ้นปากว่า “ในหลวง“นั้น  คุ้นชินที่จะใช้ถิ่นทุรกันดาร ห่างไกล เป็นห้องทรงงาน แทนปราสาทราชวัง

พระราชาของคนไทย ใช้ล้อรถจี๊ปเป็นแท่นพนักพิง มีผืนดินแห้งผาก พื้นสะพาน บ้านชาวนา เป็นท้องพระโรง

พระราชาทรงดินสอและปากการาคาถูก แทนปากกาหมึกซึมหรูหราราคาแพง

ขบวนเสด็จเต็มไปด้วยคณะทรงงาน แพทย์อาสา ไม่ใช่รถม้าทองคำแบบในนิทาน

พระราชาของเรา สะพายกล้อง แบกแผนที่ ทรงนั่งศึกษาเก็บข้อมูลงานราชการกับชาวนา ถอดเสื้อ กลางแดดร้อน ๆ .. เราจึงคุ้นชินกับภาพพระราชาของเราชุ่มหยดไปด้วยเหงื่อไหลโทรม ..

ที่สำคัญคือ เราคุ้นชินกับภาพนั้นกันเสียจนลืมรู้สึกไปเลยว่า ” ทำไมพระราชาอย่างพระองค์ท่าน ต้องทำอะไรเพื่อคนไทยเราขนาดนี้  ทั้งๆที่ ถ้าพระองค์ท่านไม่ทำ ก็ไม่มีใครว่าได้ .. “

คนไทยเราคุ้นชินกับทุกความเหน็ดเหนื่อย เราชินกับการที่ท่านลงมาแก้ปัญหาให้เราทุกปัญหา…

เวลาน้ำท่วมรุนแรง ไม่ว่า กี่ครั้ง กี่หน .. ท่านก็ลงมาช่วยหาทางแก้จนลุล่วง

เวลาแห้งแล้ง กี่ที่ กี่แห่ง … ท่านก็ทรงสร้างฝน สร้างเขื่อน มาช่วยเหลือ

เวลาน้ำป่าไหลหลากจากป่าไม้ถูกคนไทยเราบางพวกตัดโค่น .. ท่านก็สร้างฝาย วิจัยหญ้าแฝก มาช่วยแก้

เวลาเมืองหลวงเติบโต รถราจราจรติดขัด .. ท่านก็ทรงวางแผนด้วยหลักวิศวกรรมและการบริหารระบบจราจร จนทันรองรับสถานการณ์ไม่ให้เข้าสู่ระดับที่วิกฤติ ตราบจนทุกวันนี้

เมื่อครั้งคนไทยเกิดโรคระบาดรุนแรง ในพื้นที่ห่างไกล… ก็ทรงดั้นด้นไปช่วยเหลือทางระบบการแพทย์และสุขอนามัย  จนทรงติดเชื้อกลับมาเป็นการตอบแทน

เวลาคนไทยใช้ประชาธิปไตยผิดรูปผิดรอย แย่งชิงอำนาจกันจนเกิดเรื่องเกิดราว ฆ่าฟันกันเอง .. ก็ต้องลำบากถึงพระองค์ท่าน ลงมาตักเตือนและหยุดความวิกฤติที่เกิดขึ้น

ยังไม่นับอีกหลายร้อย หลายพันโครงการ ที่พระองค์ท่านทรงศึกษา ทุ่มเท เพื่อนำผลที่ได้ มาพระราชทานช่วยเหลือ คนไทย ทั้งด้านการเกษตร อุตสาหกรรม วิศวกรรม การแพทย์ ฯลฯ จนเป็นที่ยอมรับยกย่องของชาวโลกด้วยความทึ่งในอัจฉริยภาพของพระราชาอย่างพระองค์ท่าน… ในวันที่ในหลวงของเรารับการยกย่องจากต่างชาติ เชื่อได้ว่า คนไทยจำนวนมาก ได้ดูข่าวแค่ผ่านตา และไม่เคยเข้าใจ หรือสนใจในสิ่งที่คนชาติอื่นยกย่องพ่อของเรา

เพราะสำหรับคนไทยจำนวนมาก เรารู้เห็นสิ่งที่พระองค์ท่านทำให้แก่พวกเรา ด้วยความคุ้นชิน และอยู่ใกล้เรา จนกลายเป็นกิจวัตร กลายเป็นเรื่องธรรมดา เกินกว่าคนไทยหลายคนจะสนใจ

กิจวัตรที่พระองค์ท่านทำจนชินตานี้ ทำให้คนไทยจำนวนมาก อุ่นใจ!!ในการมีอยู่!!ของพระองค์

เราจำนวนมาก มองข้าม และไม่ทันสังเกตว่าพระองค์ เริ่มมีอายุมากขึ้นเรื่อยๆ กับการกำเริบของโรคมากมายที่รุมเร้า และเริ่มออกฤทธิ์อย่างรวดเร็ว

เราจำนวนมาก ไม่เคยสังเกต ในวันที่เริ่มงดพิธีสวนสนามราชวัลลภ เริ่มงดการออกพระราชทานกระแสพระราชดำรัส ในวันก่อนวันเฉลิมฯ 4 ธันวาฯ

เราชะล่าใจ และคิดว่าพระองค์ท่านคงจะอยู่ช่วยแก้ปัญหาให้คนไทย ไปถึงพระชนม์มายุ 120 ปี ดังที่ทรงพระราชทานพระกระแสไว้ แม้พระองค์จะก้าวเดินอย่างเหนื่อยอ่อน และทรงพลัดบันไดในวันหนึ่งของงานฉลองครองราชย์ 60 พรรษา..

เราเชื่อเอาเองว่า  พระองค์ท่านจะต้องแข็งแรง  เพราะพระองค์ท่าน ไม่เคยแสดงความอ่อนแอให้คนไทยเห็น จนคนไทยจำนวนมากมายลืม หรือแทบไม่รู้เลยว่า พระราชาของเราต้องผ่านความบอบช้ำอะไรมาบ้าง

ทรงกำพร้าพ่อตั้งแต่อายุได้ขวบเศษๆ

ทรงสูญเสียพี่ชายที่เล่นกันมาในเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน และต้องฝืนความเศร้าโศกรับภาระแผ่นดินครองราชย์ในวัยเพียง 18

ทรงประสบอุบัติเหตุและสูญเสียดวงตา

ทรงสูญเสียพระราชมารดา และพระพี่นาง

ทรงติดเชื้อ และเป็นโรคหัวใจจากการทรงงานในพื้นที่

เราชินกับการให้ของพระองค์ท่าน จนแทบมองไม่เห็นคุณค่า และรักษาสิ่งที่พระองค์ทรงทำ ทรงสั่งสอนไว้

ในช่วงนับสิบๆปีที่ผ่านมา พวกเราจำนวนมาก จึงสนใจสิ่งที่พระองค์ท่านสร้าง และสั่งสอนไว้ อย่างทิ้งๆขว้างๆ และใช้อ้างแบบพอเป็นพิธี แต่ไม่เคยเอามาขับเคลื่อนอย่างจริงจัง  …. โดยเฉพาะยุทธศาสตร์การยืนได้ด้วยตัวเองโดยไม่จำเป็นต้องไขว่คว้าเข้าไปเสี่ยงในฐานะเสือตัวที่ห้า ภายใต้หลักยุทธศาสตร์เศรษฐกิจพอเพียง .. หรือแม้กระทั่ง การสร้างชาติง่ายๆด้วยการสรรหาคนดีมาปกครองบ้านเมือง เพื่อให้คนดีนั้น ส่งเสริมคนดีดี ขึ้นเป็นฐานในการสร้างชาติอย่างมั่นคงยั่งยืน…

เคยมีคำกล่าวว่า..

หากเรามีพ่อที่แก่เฒ่าในวัยเกือบ 90

เป็นโรคหัวใจ

ทำงานหนักด้วยตาข้างเดียวมากว่าค่อนชีวิต

เป็นโรคหัวใจ ..และทรงตัวได้ยาก

เราจะยังให้พ่อเรา ทำงานหนักอยู่อีกหรือไม่ ?

 

แต่พระราชาของเรา ยังทรงงานหนักต่อเนื่องเพื่อลูกๆคนไทยของพระองค์อย่างไม่เคยหยุดพัก หรือเกษียณอายุ.. แม้ยังทรงรักษาตัว ประทับอยู่ที่ศิริราช ยังทรงเสด็จลงที่ท่าน้ำ เพื่อศึกษาระดับน้ำ ด้วยทรงห่วงใยเรื่องน้ำท่วม ในขณะที่คนไทยหลายคนนึกสบายใจว่า พระองค์ท่าน ลงมาพักพระอริยาบท

นอกจากจะปล่อยให้ท่านทรงงานหนักอย่างต่อเนื่องแล้ว  ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา เรายังอุตส่าห์ ตอบแทนพระองค์ท่านด้วยการทะเลาะเบาะแว้ง เผาบ้าน เผาเมือง ปั่นปวน ทำลายเข่นฆ่ากันเอง โดยไม่เคยสนใจว่าพระองค์ท่านจะทุกข์ตรอมใจเพียงใด !!

เราบอกรักในหลวงกันติดปาก ทั้งๆที่การกระทำของเราย่ำยีหัวใจที่เหน็ดเหนื่อยของท่านตลอดมา

ข้าราชการทุกหมู่เหล่า ยังคงยึดโยงกับหลักการคดโกง เส้นสาย ผลประโยชน์ หัวคิว ตัวรวย แต่ชาติล้มเหลว .. ไม่เคยเป็นแขนขาที่แข็งแรงให้ในหลวง ดังที่เคยถวายสัตย์กันไว้!

เราปล่อยให้ พระราชา พ่อวัยเกือบ 90 ที่ป่วยหนัก ทำงานให้เรา ด้วยหัวใจที่เจ็บปวด เพียงลำพัง มาตลอด !!

จนวันที่คนไทยลืมไปว่าวันหนึ่งจะต้องมี ต้องเกิด ก็เกิดขึ้นจริง ตามกฎแห่งวัตรสาร

13 ตุลาตม 2559 เป็นวันที่คนไทยไม่เคยเชื่อว่าจะมีวันนี้ได้จริง!!

…. ในที่สุด เดือน ตุลาคม 2560 ก็เวียนมาถึงอย่างรวดเร็ว..

มันคือช่วงเวลาที่คนไทย จะไม่มีโอกาสได้ใกล้ชิดพระองค์ท่าน  แม้ในพระบรมโกศ อีกต่อไป ..

วันนี้ เราไม่มีพระองค์ท่านแล้วจริงๆ!!

จะมีก็เพียงคำสอน และการสานต่อโครงการของพระองค์ท่าน เป็นสิ่งเดียว ที่พอจะทำให้คนไทย สามารถได้อยู่ใกล้พระองค์ท่าน ด้วยการลงมือทำตามทุกคำที่พ่อสอน..

ถ้าเราทำได้ ทำจริง… เมื่อนั้น พระองค์ท่านจะสถิตอยู่กันเรา ชั่วนิรันดร!!

เว้นเสียแต่ ความลืมง่ายของคนไทย

จะพรากพระองค์ท่านไปจากชีวิต อย่างแท้จริง !!

———————————————

 

ถ้ามาได้ก็จะมาให้หมดเมือง

นำน้ำตานองเนืองมาร่ำถวาย

รำลึกวารท่านย่ำพระบาทกราย

ตั้งแต่เหนือจรดใต้หลายสิบปี

ท่านไปถึงบ้านเราที่เนาถิ่น

ชุบชีวินชื่นหัวใจไปทุกที่

วันนี้เห็นเพียงพระโกศนฤบดี

ครึ่งนาทีที่วังหลวงอยู่ห้วงใจ

ประพันธ์ :TONGTHONG CHANDRANSU

RELATED ARTICLES