“อยู่กองสืบต้องเหมือนพี่ เหมือนน้อง มีอะไรก็กินด้วยกัน”

คลุกคลีอยู่โรงพักพญาไทมานานนับตั้งแต่เป็นพลตำรวจ ทำให้เขากลายเป็นนักสืบรุ่นเก๋ามากประสบการณ์ในพื้นที่ เป็นมือดีประจำกองกำกับการสืบสวนสอบสวนนครบาลพระนครเหนือ แถมยังมีความสนิทสนมส่วนตัวกับนายไพจิตร ธรรมโรจน์พินิจ หรือ “ปอ ประตูน้ำ” เจ้าพ่อบ่อนพนันอมตะกลางกรุง จนมีผู้บังคับบัญชาบางคนมองเขาไปมีผลประโยชน์ร่วมอยู่กับบ่อนดังประตูน้ำด้วย

ร.ต.ท.บุญช่วย ฮงคะนาค อดีตรองสารวัตรประจำกำกับการสืบสวนสอบสวนนครบาล 1 พื้นเพเดิมเป็นชาวปทุมธานี เรียนระดับประถมที่โรงเรียนวัดเทียนถวาย ก่อนต่อมัธยมต้นที่โรงเรียนธัญบุรีไปจบชั้นมัธยมปลายโรงเรียนสันติราษฎร์วิทยาลัย

ชีวิตวัยเด็กชอบต่อยมวยมาก ทำให้มีโอกาสไปซ้อมมวยสากลอยู่ที่ค่ายคะนองศึกของครูฉลาด วงษ์ชีพ และได้ครูเฮง เป็นเทรนเนอร์ฝึกสอน บังเอญไปเจอดาบตำรวจกมล เจ้าของค่ายมวยโล่เงินเห็นหน่วยก้านดีจึงชักชวนให้ไปต่อยมวยสากลในกีฬาภายในของกรมตำรวจ

จุดประกายเส้นทางให้เขาเดินเข้าสู่อาชีพผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ด้วยวัยไม่ถึง20 ปี

หมวดบุญช่วยเล่าว่า ครูเฮงได้ฝากดาบตำรวจกมลให้เข้าตำรวจ เพราะเห็นใกล้จบชั้นมัธยมปลายแล้วยังไม่มีงานทำ ปรากฏว่าไปสอบโรงเรียนตำรวจนครบาลได้และมาบรรจุลงตำแหน่งลูกแถว ทำหน้าที่สายตรวจเดินเท้า สถานีตำรวจนครบาลพญาไท

เป็นสายตรวจอยู่ปีเศษ เปลี่ยนไปทำหน้าที่จราจร ด้วยความที่เป็นคนขี้สงสัย ทำให้เขาเห็นรถผ่านไปผ่านมาแล้วมีพิรุธจึงเรียกจอดดูเป็นประจำ สามารถจับกุมคนร้ายลักทรัพย์ วิ่งราวทรัพย์ตามท้องถนนหลายครั้ง กระทั่งวันหนึ่งถึงมีผลงานเข้าตาผู้บังคับบัญชา

“ผมจะยืนจราจรประจำหน้าตลาดสนามเป้า ใกล้กับกองพันทหารม้า ถนนพหลโยธิน ไม่เคยรู้มาก่อนว่า เขตทหารห้ามเข้า บังเอิญวันนั้นมีคนร้ายวิ่งราวทรัพย์หนีเข้าไป ผมก็วิ่งตามโดยไม่ได้ขออนุญาตจนจับตัวได้ ทหารชั้นผู้ใหญ่ไม่พอใจมากจะเอาเรื่องให้ได้ นายตำรวจระดับผู้กำกับการนครบาล 3 ต้องเป็นคนเคลียร์ตั้งนานกว่าเขาจะไม่เอาเรื่อง” ร.ต.ท.บุญช่วยย้อนเรื่องราวในอดีต

“ท่านธนู หอมหวล ตอนนั้นเป็นสารวัตรสืบสวนสอบสวนอยู่โรงพักพญาไท เห็นผมมีแวว ขยันดี ได้เอ่ยปากชวนว่า เฮ้ยไอ้ช่วยมาอยู่สายสืบด้วยกันดีกว่า ผมไม่ลังเล เพราะดี ได้แต่งตัวนอกเครื่องแบบ ไปไหนมาไหนได้ เริ่มต้นทำงานนักสืบเต็มตัว ออกสืบสวนจับกุมคดีสำคัญ ๆ หลายคดีในโรงพัก”

ได้มีโอกาสเห็นการทำงานของต้นแบบนักสืบตัวจริงอย่าง พล.ต.อ.มนต์ชัย พันธุ์คงชื่น ที่ช่วงเวลานั้นดำรงตำแหน่งผู้บังคับการตำรวจนครบาลพระนครเหนือ เมื่อปี 2508 หลังจากเกิดคดีฆาตกรรมนายดาเรล เบอริแกน เจ้าของและบรรณาธิการหนังสือพิมพ์บางกอกเวิล์ด วัย 49 ปี มือปืนได้จ่อยิงเหยื่อตายเปลือยคารถเก๋งในซอยลือชา ถนนพหลโยธิน ไม่ห่างจากบ้าน พล.ต.อ.มนต์ชัย กลายเป็นข่าวดังคึกโครมมากในสมัยนั้น

เพราะเป็นคดีอุกอาจสะเทือนขวัญท้าทายการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ประกอบกับผู้ตายมีพฤติกรรมไปทางชอบไม้ป่าเดียวกัน มั่วสุมกับกลุ่มวัยรุ่นหนุ่มและกะเทย ที่ยุคก่อนคนไทยยังยอมรับไม่ได้

พล.ต.อ.มนต์ชัยลงมาจี้คดีด้วยตัวเอง ใช้บ้านพักเป็นกองอำนวยการสืบสวนวางแนวการแกะรอยให้ลูกน้องช่วยกันทำ เริ่มต้นจากดูสถานที่เกิดเหตุ ออกหาข่าวว่าพรรคพวกของคนตายมีใครบ้าง ใครเป็นคู่ขาประจำ วันเกิดเหตุมีใครมาหาบ้าง กระทั่งรู้กลุ่มวัยรุ่นต้องสงสัยและสามารถจับกุมคนร้ายได้ในเวลาต่อมา

หลังจากนั้น ร.ต.ท.บุญช่วย เริ่มสะสมประสบการณ์นักสืบ ติดตามจับกุมคนร้ายอีกหลายคดี เช่น คดีคนร้ายปล้นรถแท็กซี่ ปล้นโรงรับจำนำหลายแห่งทั่วกรุง เป็นฝีมือของแก๊งไอ้ปุ๊ และบังมาน ขี้ยานักเลงดังยุคนั้น ทุกครั้งที่ปล้นรถแท็กซี่มันจะลงไปในสลัมหลังวัดพระยายัง สมัยก่อนเปลี่ยวมาก ตำรวจช่วยกันสืบสวนหาข่าวจนพอจะรู้ว่าเป็นพวกมัน พล.ต.ท.ธนู หอมหวล เวลานั้นเลื่อนเป็นสารวัตรใหญ่โรงพักพญาไทได้เรียกประชุมสายสืบแบ่งหน้าที่กันไปเฝ้าจุด

 “ผมรับเฝ้าที่วัดพระยายัง แต่ก็คลาดกันประจำ จนวันนึงเห็นไอ้ปุ๊ เดินอยู่ริมถนนพกปืนเอวตุงพอดี ช่วงนั้นผมช่วยขับรถรับส่งลูกสาวสารวัตรปรีชา ประเสริฐ สารวัตรสอบสวนพญาไทอยู่ด้วย กำลังรับกลับจากโรงเรียน ผมก็จอดรถบอกน้องอย่าไปไหนนะ เสร็จแล้วก็ลงจากรถล็อกประตู แง้มกระจกให้พอมีอากาศหายใจ ขังลูกสารวัตรไว้ในรถ เดินตามคนร้ายขึ้นรถเมล์ไปคว้าบนรถเมล์ ปล้ำมันตั้งนาน เรียกให้คนช่วยก็ไม่มี ผมพยายามกดปืนบอกให้ใครก็ได้ช่วยหยิบกุญแจมือหน่อยก็เฉย กว่าจะมีนักเรียนคนหนึ่งรำคาญช่วยจัดการให้ก็แทบแย่ พอส่งผู้ต้องหาเสร็จ เจอสารวัตรปรีชาต่อว่าเละ แกด่า เฮ้ยทิ้งลูกกูอย่างนี้ได้ยังไง ผมบอกนายครับ งานต้องมาก่อน” อดีตนักสืบรุ่นเดอะบอกจุดยืนการทำงานตั้งแต่ยังเป็นตำรวจใหม่ ๆ

ร้อยตำรวจโทวัยเกษียณถ่ายทอดการทำงานในยุคก่อนอีกว่า สมัยนั้นนักสืบไม่ได้เป็นกันง่าย ๆ ทุกโรงพักต้องจัดเวรเอารายงานประจำวันที่รับแจ้งความแจกให้นักสืบไปอ่านให้ผู้กำกับแต่ละเขตนครบาลฟัง เพื่อผู้บังคับบัญชาจะได้รู้ว่า เกิดคดีอะไรขึ้นบ้างก่อนนำมาแลกเปลี่ยนข้อมูลร่วมกัน วางแนวสั่งงานให้ติดตามคดีที่เกิดขึ้น เหมือนสอนแนะนักสืบรุ่นน้องไปในตัว นายตำรวจระดับผู้กำกับสมัยนั้นมีความรู้เก่งมาก มี พล.ต.อ.มนต์ชัย เป็นต้นแบบของนักสืบ ทำงานไม่มีทิ้งลูกน้อง คลุกคลีให้ใจตลอดเวลา

การแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารระหว่างโรงพักนี้เอง ทำให้เขาได้ดวลปืนจับตายคนร้ายเป็นครั้งแรกในชีวิต หมวดบุญช่วยเล่าว่า มีแก๊งคนร้ายรายใหญ่ตระเวนลักทรัพย์ตามบ้าน ทำงานเหมือนราชการคือออกลักทรัพย์ทุกวันจันทร์ถึงศุกร์ อาศัยช่วงที่ไม่มีคนอยู่บ้านตอนกลางวันเข้าขโมยเอาของมีค่าจำพวก แหวน นาฬิกา ปืน ไปจำนำ ตำรวจรู้เพราะรายงานเหตุการณ์ประจำวันตามโรงพัก มีการคุยว่า คดีเกิดที่นั่น ที่นี่ ลักษณะพฤติกรรมของคนร้ายคล้าย ๆ กัน พล.ต.ท.ธนู หอมหวลจึงเริ่มแบ่งงานกันสืบ แนะให้ไปที่กองทะเบียน ตรวจสอบรูปพรรณทรัพย์หาย ซึ่งโรงรับจำนำแต่ละแห่งจะส่งรูปพรรณที่รับจำนำมาให้กองทะเบียนเลยรู้กลุ่มคนร้ายว่าใครเป็นคนเอามาจำนำ เพราะมีบัตรประชาชนเป็นหลักฐาน

หมวดบุญช่วยรับหน้าที่ไปเฝ้าโรงรับจำนำจิ๊บเซ้ง ในซอยกิ่งเพชร ถนนเพชรบุรีร่วมกับ “พินิจ สุคนธชื่น” เพื่อนตำรวจคู่หู สังเกตเห็นผู้ต้องสงสัย 2 คนคล้ายคนในรูปสำเนาบัตรประชาชนถือกล่องมองซ้ายมองขวา ทำท่าพิรุธอยู่หน้าโรงรับจำนำ แต่กลับไม่เข้า ทั้งคู่เดินไปนั่งสั่งกาแฟกินราวกับรู้ว่าตำรวจนอกเครื่องแบบเฝ้าดักดูพวกมันอยู่ “พอมันนั่ง ผมตัดสินใจกับเพื่อนเข้าชาร์จคนละคน ความเป็นผู้ร้ายมันออกมาเลย ดันผมกระเด็น ต่างคนจึงต่างล็อก ไอ้นิดตะโกนบอกว่า พี่ช่วย ถ้าของพี่ไม่มีปืน ทิ้งแม่งเถอะของผมมันมีปืนมาเอาของผมดีกว่า เพราะสมัยนั้นถ้าใครจับปืนได้มีเงินรางวัลให้”

“ผมบอกของกูก็มี มึงดูแลตัวเองล่ะกัน ปรากฏว่าพินิจเขาอยู่หน้าร้านมีแท็กซี่ป้ายดำช่วยจับไว้ได้ ส่วนผมอยู่หลังร้านกอดปล้ำมันอยู่ หม้อกาแฟก็กำลังจะหกใส่จึงผลักมันกระเด็น มันดันลุกตั้งหลักได้ก่อนแล้วชักปืนจ่อมาที่หัวผม ผมกำลังลุกไม่รู้ทำยังไงเลยใช้มือซ้ายปัดปืนเสียงลั่นเปรี้ยง มันวิ่งหนี ผมวิ่งไล่ มันวิ่งขวามือ ผมวิ่งซ้ายมือ พอดีช่วงนั้นเพิ่งไปฝึก อบรมการยิงแบบพีพีซีจบมาหมาด ๆ แต่ก็ไม่รู้จะยิงยังไง เพราะเที่ยงกว่า ๆ คนพลุกพล่านมาก ถ้ายิงสูงไปถูกชาวบ้านก็ซวย วิ่งไปนึกไป เอาละว่ะ ถ้าเท้าซ้ายมึงตก เท้าซ้ายกูตก กูยิงแน่ ถูกไม่ถูกก็ช่างแม่ง พอได้จังหวะเท้าซ้ายผมตก ผมก็ยิงเปรี้ยง”

อดีตตำรวจนักสืบโรงพักพญาไทบอกว่า คนร้ายมันยังกระเสือกกระสนหนีเข้าไปในซอยเล็ก ๆ ที่ตรงกลางเป็นลานว่างสำหรับตีไก่ หันมาตั้งท่าจะยิงใส่เขา “ผมวิ่งไปถึงหลักดีกว่าก็ย่อตัวใส่ไป 2 นัด เชื่อมั้ย แม่นมาก เข้าอกซ้าย อกขวาเลย มันก็ร่วง เราเก็บปืนวิ่งไปดูมัน มันยังคลานหนี ผมขึ้นคร่อมล็อกเอาไว้ เห็นว่ามันอ่อนแรง ก่อนเอามือซ้ายคลำหัวตัวเองว่ามีแผลมั้ย โดนไม่โดน พอคลำ อุ้ย ! มีเลือดนี่หว่า ส่วนมันขอน้ำกินแล้ว ใกล้ตายไฟธาตุจะแตก อยากน้ำ คนมุงดูเต็มไปหมด ผมบอกไม่ต้องกิน กูก็ตายเหมือนกัน มึงก็ตาย พักใหญ่มันก็กระตุก หายใจเฮือกสุดท้ายตายอยู่ตรงนั้น ผมรีบเช็ดมือ เช็ดปืนแล้วสำรวจตัวเองใหม่ เฮ้ยกูไม่ได้โดนยิงนี่หว่า ใจมาเป็นกองเลย ที่แท้เลือดของมันเอง ไม่ใช่เลือดเรา”

เหตุวิสามัญฆาตกรรมคนร้ายครั้งแรกในชีวิต หมวดบุญช่วยประทับใจไม่ลืมมาจวบจนทุกวันนี้ ไม่ใช่เพราะฆ่าคนร้ายแล้วสนุก แต่เนื่องจากได้รับน้ำใจที่มีคุณธรรมของพ่อแม่โจรที่ให้อภัยเขาต่างหาก “วันรุ่งขึ้นพ่อแม่ญาติพี่น้องมันมาเต็มโรงพัก เป็นคนนครศรีธรรมราช พ่อถามว่า ใครยิงลูกเขา เราเห็นเป็นคนแก่ เลยเข้าไปบอกสวัสดีครับ ลุง ผมเองแหละ ลูกลุงยิงผมก่อน เชื่อมั้ยว่า ตัวพ่อเขาตาแดงกร่ำ แม่น้ำตาซึมไม่พูดสักคำ ผมลงไปก้มกราบบอก ผมขอโทษ พ่อเขาตอบว่า พ่อรู้ ลูกมันเพิ่งออกจากคุกมาได้ 2 เดือนแล้ว หนีเข้ามาอยู่กรุงเทพฯ ไม่รู้มาทำอะไร ช่วงนั้นผมก็สบายใจ เขาเป็นผู้ใหญ่ที่ดี มีคุณธรรม ทำลูกเขาตาย แล้วไม่โกรธเคืองเรา เป็นคนอื่นคงมึงพาโวยไปแล้ว”

แต่มีบางคดีที่เกือบทำให้นักสืบมากประสบการณ์อย่างหมวดบุญช่วยพลาดท่าเสียตัวตอนสมัยหนุ่ม ๆ เช่นกัน เขาเล่าว่า มีโอกาสไปตามแก๊งกะเทยที่หลอกพาชาวต่างชาติเข้าโรงแรมวางยาสลบแล้วปลดทรัพย์สินที่เกิดขึ้นบ่อยมากในหลายท้องที่ ผู้บังคับบัญชาจึงสั่งให้ปลอมตัวไปคลุกคลีกินเที่ยวอยู่กับกะเทยพวกนั้น เพราะเห็นว่าเขาหุ่นดี น่าจะมีเสน่ห์ดึงดูดสาวประเภทสองเหล่านั้น

“พอได้ข้อมูลแน่ชัด รุ่งขึ้นจะตรวจค้นจับกุม ดันถูกมันมอมเหล้า เมาฟิวส์ขาด มันพาผมเข้าโรงแรม ตอนแรกคิดในใจ ดีเหมือนกันลองเล่นกะเทยดู ที่นี้ระหว่างที่นอนใส่ผ้าเช็ดตัว จังหวะกำลังเคล้ม ๆ ยังไม่ทำอะไร รู้สึกมีอะไรมาดุ้น ๆ ที่ตูดกูว่ะ ผมตกใจตื่นหันมา เฮ้ย นี่มันของผู้ชายนี่หว่า ผมก็โวยวาย จนมันตกใจวิ่งหนีหายไปเลย กว่าจะตามจับได้อีกหลายวัน มันยอมรับว่า บางทีแขกก็เคี่ยวไม่ยอมหลงกล ไม่กินอะไรเลย สั่งเบียร์ เหล้า กาแฟก็ไม่กิน สุดท้ายต้องเข้าห้องน้ำเอายาสลบทาหัวนม แขกดูดปุ๊บร่วงเลย แต่ผมซิ เกือบเสียตัวแล้ว” นายตำรวจนักสืบเล่าติดตลก

ถึงกระนั้นก็ตาม หมวดบุญช่วยยังไม่วายโดนมรสุม ตอนสมัยไปช่วยราชการอยู่กองกำกับการนครบาล 3 ถูก พล.ต.ท.ชัยสิทธิ์ กาญจนกิจ ที่ตอนนั้นเป็นผู้กำกับสั่งเด้งกลับไปอยู่โรงพักพญาไทภายใน 24 ชั่วโมง ด้วยข้อครหาที่ว่าคุมบ่อนการพนัน

 “เขาหาว่าผมคุมบ่อนประตูน้ำ เพราะท่านชัยสิทธิ์ กับเฮียปอ กำลังงัดกันแรง หาว่าผมอยู่ฝ่ายเฮียปอ ทำไมจับบ่อนทีไร คนในบ่อนรู้ตลอด ผมจะรู้ได้ยังไง ไม่ใช่ผมเป็นตำรวจคนเดียวที่รู้จักปอ ประตูน้ำ พูดกันตรง ๆ ผมก็ยอมรับว่า รู้จักเขา รู้จักตั้งแต่สมัยเขาโดนจับข้อหาอันธพาลนานหลายปี และผมยังเคยจับเขาตอนที่ขายตั๋วผีหน้าโรงหนัง ไม่ใช่รู้จักเพราะเขาทำบ่อน ผมก็บอกเขาถ้าระวังตัวได้ ก็ระวังไป หากจะเอางานของตำรวจไปพูดกับคนอื่น ผมไม่พูด สนิทกันอย่างไรก็ไม่ได้ จับก็คือจับ เมื่อถึงเวลาเขาให้จับ ก็ว่ากันไป แต่ต้องยอมรับว่า บ่อนประตูน้ำ กับบ่อนกิ่งเพชร เป็นเหมือนน้ำหล่อเลี้ยงตำรวจโรงพักพญาไทมานาน ไม่ใช่ผมคนเดียว”

เมื่อพ้นมรสุมเขาใช้ประสบการณ์นักสืบโรงพักนานกว่า 8 ปีสร้างผลงานกู้ศรัทธาผู้บังคับบัญชา ในที่สุด พล.ต.ท.พิชิต มีปรีชา ผู้บัญชาการตำรวจนครบาลจึงย้ายให้ไปสังกัดกองกำกับการสืบสวนสอบสวนนครบาลพระนครเหนือ มี พ.ต.อ.ทวี ทิพย์รัตน์ นั่งเก้าอี้ผู้กำกับ อยู่กองสืบเหนือได้ 6 เดือน ได้เลื่อน 2 ขั้นติดยศนายดาบตำรวจ หลังเข้าไปอยู่ในชุดโครงการมอเตอร์ไซค์ไล่ล่าของ พล.ต.ต.สฤษฎ์ชัย เอนกเวียง ที่ตอนนั้นยศเพียง ร.ต.ท.ตำแหน่งรองสารวัตรกองสืบ

  “โจรตระเวนใช้มอเตอร์ไซค์ชิงทรัพย์เหยื่อตามถนนตอนเช้าและเย็นเกิดขึ้นบ่อยมาก  ผมถูกส่งให้ปลอมไปเป็นช่างซ่อมมอเตอร์ไซค์ที่ร้านแห่งหนึ่ง  เพราะเวลาพวกมันเอารถมาซ่อมแล้วจะคุยกันว่าไปทำงานที่ไหน ได้อะไรกันมาบ้างเลยมีโอกาสเจอมัน เห็นหน้าพวกมัน  กระทั่งวันนึง ออกไล่ล่ากับหมวดสฤษฎ์ชัย ผมคนขี่ เขาคนซ้อน แต่ผมมีภาษีเหนอว่า เพราะรู้จักตัวคนร้าย พอเห็นมันขี่มอเตอร์ไซค์มา ก็จำได้ บอกหมวด มันมาแล้วนะ หมวดสฤษฎ์ชัยเป็นนายตำรวจหนุ่มไฟแรงกำลังบู๊ตอบรับทันทีว่า เออ เอาแม่งเลย ผมขี่ไล่กันจนจับได้ ขยายผลได้หลายคดี ส่งผลให้เสนอขั้น ส่วนคดีชิงทรัพย์โดยใช้มอเตอร์ไซค์หายไปเลย” 

นับจากนั้นเป็นต้นมา หมวดบุญช่วยได้มีโอกาสร่วมทำงานคลี่คลายคดีสำคัญในเขตกองบังคับการตำรวจนครบาลพระนครเหนือเป็นจำนวนมาก เป็นลูกน้องฝีมือเยี่ยมที่ไว้เนื้อเชื่อใจได้ให้กับนายตำรวจนักสืบที่ก้าวสู่ตำแหน่งใหญ่โตไปแล้วหลายคน อาทิ พล.ต.ต.คำนึง ธรรมเกษม พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา พล.ต.ต.วินัย เปาอินทร์ พล.ต.ท.กฤษฎา พันธุ์คงชื่น พล.ต.ต.สฤษฎ์ชัย เอนกเวียง เปิดโอกาสมีโอกาสเก็บเกี่ยวสไตล์การทำงานสืบสวนของนายตำรวจแต่ละคน ซึ่ง หมวดบุญช่วยมองว่า นักสืบรุ่นใหม่สมัยนี้เทียบชั้นกันไม่ติด

 “ผมเกษียณมาแล้วยังวนเวียนอยู่ในวงการ แต่ไม่รู้เพราะอะไรทำไมนักสืบรุ่นใหม่ค่อนข้างกร้าวร้าว ไม่ค่อยฟังตำรวจผู้ใหญ่ หลายคนเอาแต่วิ่งเต้นมากไป ผลงานไม่มี มาเพื่อเป็นสะพานไปโน่นไปนี่ ไม่คิดทำงานจริงจัง ทำลายระบบนักสืบหมด ยุคก่อนกองสืบจะอยู่กันแบบพี่น้อง มีความผูกพัน ไม่เคยแบ่งสัญญาบัตร ประทวน หิวข้าวไม่เคยหนีไปกินคนเดียว มีส่วนแบ่ง ถ้ามัวคิดของกู ของกู ก็เจ๊ง ทำให้เด็กไม่มีใจ”

 “อธิบดีมนต์ชัย พันธุ์คงชื่น เป็นตัวอย่างที่ดี เป็นต้นฉบับนักสืบ ท่านสนใจและเกาะติด ไม่เลือกเวลาไหน เหมือนท่านกฤษฎา พันธุ์คงชื่น ติดเชื้อคุณพ่อมาพอสมควร คดีวิสามัญฆากรรมไม่เคยห่างจากลูกน้อง นั่งดูสถานที่เกิดเหตุใกล้ชิด ได้ใจลูกน้องเยอะ หากนายสั่งงานแล้วปล่อย ไม่สนใจ การให้ใจก็ไม่มี อย่าถือ กูร้อยเอก ร้อยโท พันตรี พันโท มันไม่ใช่ อยู่กองสืบต้องเหมือนพี่ เหมือนน้อง มีอะไรก็กินด้วยกัน ไม่ใช่นายวงนึง ลูกน้องวงนึง ที่กองสืบสมัยก่อนใครซื้อของมา ทุกคนกินได้หมด ไม่ต้องถามว่าของใคร มันต้องแบบนั้น”

อดีตนักสืบมือดีย้ำสีหน้าจริงจังว่าไว้ “มันน่าเสียดายนะ ที่วันนี้ตำรวจนักสืบกำลังสูญพันธุ์”

บุญช่วย ฮงคะนาค !!! 

 

RELATED ARTICLES