สาวคนข่าว “อัมรินทร์ทีวี” อดีตพิธีกรรายการดัง
“เจี๊ยบ” จิตดี ศรีดี ชาวสามพราน เมืองนครปฐม จากชีวิตในวัยเด็กที่พ่อกับแม่เป็นคนอีสาน เข้ากรุงมาทำงานที่สวนสามพราน เริ่มต้นสร้างครอบครัวเล็กๆ มีเธอเป็นลูกคนเดียว เติบโตอยู่ในบ้านเจ้านายพ่อ พ่อจะทำงานทุกอย่างในสวนสามพราน ส่วนแม่เป็นแม่บ้าน ทำให้เธอทำงานมาตั้งแต่เด็ก ไปแสดงศิลปะนาฏศิลป์ ดนตรีไทยต่างๆ กระทั่งเสียพ่อไปตอนอายุเพียง 10 ขวบ แม่ก็ต้องเป็นเสาหลักหน้าที่หนักในการเลี้ยงดูลูกสาวคนเดียว
“หลายคนจะชอบถามที่มาของชื่อ จิตดี จริง ๆตอนที่เกิดยังไม่ได้ชื่อนี้ค่ะ แม่ตั้งให้ว่าเด็กหญิงหน่อย เพราะคลอดมาตัวเล็ก หลังจากนั้นถึงจะเอาวันเดือนปีเกิดกับเวลาตกฟากไปให้พระตั้งชื่อ ถึงได้เปลี่ยนมาเป็นจิตดี แปลกจนโดนเพื่อนล้อตลอด เป็นจิตไม่ดีบ้าง อะไรบ้าง แต่ก็ไม่ได้โกรธนะ รู้ว่าเพื่อนแกล้ง” เจ้าตัวย้อนความหลัง
ความฝันวัยเด็กเปลี่ยนไปตามช่วงวัย เคยฝันอยากเป็นแบบ ปุ๋ย–พรทิพย์ นาคหิรัญกนก เพราะเคยเห็นนางงามมาเก็บตัวที่สวนสามพราน พอโตขึ้นอยากเป็นครู สู่วัยประถมและมัธยม นอกจากทำกิจกรรมการแสดง รำนาฎศิลป์แล้ว ยังทำกิจกรรมด้านการใช้ภาษาไทย ทั้งการพูดหน้าเสาธง นำทำกิจกรรมต่าง ๆ
หลังเรียนจบโรงเรียนกาญจนาภิเษกวิทยาลัย จังหวัดนครปฐม จิตดีเอ็นทรานซ์เข้าคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ เอกภาษาไทย มหาวิทยาลัยทักษิณ จังหวัดสงขลา เป็นครั้งแรกที่ลูกสาวคนเดียวต้องห่างจากแม่ เธอเล่าว่า ที่มหาวิทยาลัยจะมีรับน้องรถไฟ วันที่ต้องเดินทางไป จำได้แม่นว่า แม่ไปส่ง แม่ไม่อยากห่างเรา เพราะเราเป็นลูกคนเดียว แต่ก็มองเห็นอนาคตของลูก ถึงกับต่อมน้ำตาแตกกันทั้งคู่
ระหว่างเรียนมหาวิทยาลัย เธอยังคงเป็นเด็กกิจกรรมเหมือนเคย และเริ่มจัดรายการวิทยุเสียงตามสายในมหาวิทยาลัย อ่านข่าวในมหาวิทยาลัย วันแรกยอมรับว่า ตื่นเต้นมาก สั่งอยู่เป็นอาทิตย์กว่าจะปรับตัวได้“เจี๊ยบว่าตรงนี้เป็นจุดเริ่มแบบไม่รู้ตัว ที่ใกล้เคียงกับงานข่าว เพราะว่า บางทีเราต้องมาเรียบเรียงข่าวประชาสัมพันธ์อะไรต่าง ๆของมหาวิทยาลัย หรือข่าวที่เอามาให้อ่าน ให้มันสั้นและได้ใจความ อาจจะเป็นการซึมซับมาโดยที่ไม่รู้ตัว แต่รู้สึกสนุก มีความสุขทุกครั้งที่ได้ทำ ได้อยู่ในบรรยากาศห้องจัดรายการ”
ก่อนเรียนจบ เธอเลือกไปฝึกงานกับสถานีวิทยุชุมชนตั้งอยู่ในวัดอำเภอสามพราน เป็นเหตุผลที่จะได้กลับไปอยู่บ้านกับแม่ พระอาจารย์ที่ดูแลสถานีมอบหมายให้ทำรายการวิทยุเพื่อให้คนในชุมชนรู้ข่าวสาร ตั้งชื่อรายการว่า “สาระน่ารู้ คู่การศึกษา” หาข่าวจากหนังสือพิมพ์วันละข่าว 2 ข่าวมานั่งอ่าน เน้นเป็นเรื่องสาระความรู้ใกล้ตัว จัดอยู่ 3 เดือนได้ฝึกทักษะฟัง พูด อ่าน เขียน แตกต่างกันกับการจัดรายการในมหาวิทยาลัยอย่างสิ้นเชิง เพราะรายการที่จัดเป็นคลื่นลูกทุ่ง สาวโรงงานจะฟังเป็นส่วนใหญ่ มีพูดคุยโต้ตอบกับแฟนเพลง มีคนโทรเข้ามาขอเพลง
จิตดีบอกว่า พระอาจารย์มองเห็นแวว แนะนำให้ไปสอบผู้ประกาศ เพราะพระที่จะเทศน์ผ่านวิทยุชุมชนได้ ต้องสอบเหมือนกัน ท่านให้เอกสารแบบฝึกหัดมาให้กลับไปฝึกการอ่าน การออกเสียงทุกวัน เราเอามาฝึกเองตามที่ท่านแนะนำ พอเรียนจบ ก็ไปสอบใบผู้ประกาศ สอบครั้งเดียวผ่านเลย จำไม่ได้ว่า ได้คะแนนเท่าไหร่ แต่น่าจะ 80 กว่า กรรมการที่ให้คะแนนบอกว่าน้ำเสียงดี การหายใจจังหวะดี คำควบกล้ำดี แต่ติงเรื่องวรรณยุกต์ เพี้ยนไปบ้าง
กระนั้นก็ตาม พอเรียนจบ เธอกลับไปทำงานโรงแรมนาน 2 ปี รู้สึกไม่ใช่เส้นทางตัวเองจนมีเพื่อนชักชวนไปเทสต์ผู้ประกาศข่าวสถานีวิทยุแห่งหนึ่ง อ่านข่าวต้นชั่วโมง กลายเป็นจุดเริ่มเข้าสู่เส้นทางงานข่าวในปี 2550 ก่อนจะขยับขึ้นมาทำงานหน้าจอ เป็นผู้ประกาศข่าว ทำอยู่ที่นั่น 7 ปี ลาออกมาทำฟรีแลนซ์ จัดรายการวิทยุและรายการทางเคเบิลทีวี แล้ววันหนึ่ง “พุทธ อภิวรรณ” ที่รู้จักจากการจัดรายการคู่กันชักชวนไปร่วมทีมทำงานที่ “อมรินทร์ทีวี” เจ้าตัวยอมรับว่า ลังเลตอนแรก เพราะยังรู้สึกสนุกกับฟรีแลนซ์อยู่ ได้ทำหลายๆอย่าง จุดพลิกตรงช่วงที่ต้องหยุดพัก ทำให้ขาดรายได้ แม่ก็เป็นห่วง ถ้าวันไหนไม่มีงาน จะทำยังไง จะวิ่งอย่างนี้ไปตลอดไหวหรือ เก็บคำของแม่มาคิด ก่อนตัดสินใจตอบตกลง
เริ่มงานที่ อมรินทร์ทีวี ปี 2557 ตำแหน่งผู้ประกาศ กระทั่งมีรายการ “ทุบโต๊ะข่าว” ช่วงแรก พุทธ อภิวรรณ อ่านคู่กับคนอื่น ตอนหลังมีการปรับเปลี่ยนให้เธอได้มานั่งอ่านคู่กันแค่เสาร์อาทิตย์ ก่อนขยายมาเป็นอ่านคู่กันทั้ง 7 วัน “ถามว่าการได้มาจัดคู่กับพี่พุทธเป็นยังไง เราเคยทำงานร่วมกันมาก่อน เลยรู้ทางกันว่าจะเป็นยังไง พอนั่งคู่กันมันก็เหมือนบรรยากาศเก่าๆมันกลับมา จูนกันแป๊บเดียว ไม่ต้องคิดอะไรกันเยอะ ถ้าคนที่รู้จักเจี๊ยบจะรู้ว่าเจี๊ยบเป็นคนคุยเก่งมาก ร่าเริง แต่ในรายการจะเป็นผู้ใหญ่พูดน้อย บางคนจะแซวว่า พูดแต่ค่ะ ๆ ๆ ถามว่า อึดอัดไหม ก็มีค่ะ แต่บางอย่างชินแล้ว เพราะเจี๊ยบรู้สึกว่าฟังเขาเล่า เพลินดีนะ แต่ต้องมีสติตลอดนะ เวลาเขาส่งมุกมา”
เธอย้ำว่า ทำอย่างไรให้เสริมรับกันเป็นเนื้อเดียวให้คนดูเข้าใจข่าว เพราะธรรมชาติของทุบโต๊ะข่าวจะไม่มีการมาแบ่งบทฉัน บทเธอ ธรรมชาติของทุบโต๊ะข่าว พุทธจะเป็นคนเล่านำ เราจะเป็นคนคอยเสริม ต้องยอมรับว่า พุทธเป็นคนที่ขยี้ข่าวเก่ง ย่อยข่าวให้เข้าใจด้วยภาษาชาวบ้านอย่างง่ายๆ ใครเล่าก็ไม่เหมือนแกเล่า ส่วนเราเป็นคนคอยเสริม อาจดูแตกต่าง แต่ลงตัวกลายเป็นเสน่ห์ของรายการ เบื้องหลังเราก็ทำงานกันหนักพอสมควร ทีมงานทุกคนเป็นส่วนหนึ่งของรายการ เห็นประเด็นอะไรน่าสนใจจะช่วยกันเสนอ แต่ทุกอย่างจะผ่านการตัดสินใจของพุทธ บางครั้งคนดูก็มองว่า ถูกข่ม ถูกดุ เราไม่ได้มองแบบนั้น เพราะเห็นถึงความทุ่มเทการทำงานของเขา ทั้งการดูประเด็น การเลือกข่าวที่จะเล่น การวางลำดับข่าว การสั่งงานต่าง ๆ
ต่อมามีกระแสข่าวพุทธจะลาออก เนื่องจากมีเหตุการณ์ที่ทำให้รู้สึกว่าเริ่มถอดใจ พิธีกรสาวคู่รายการเล่าว่า พุทธเรียกประชุมกับทีมงานถึงตี 5 แล้วพูดถึงความในใจว่า ขอบคุณมากที่อยู่มาด้วยกัน รู้ไหมว่า เขาทุ่มเทมากแค่ไหนกับรายการนี้ ทุกคืนจะสะดุ้งมากลางดึก เพื่อที่จะมาดูงานช่องอื่น เอามาปรับปรุงงานของตัวเอง สั่งงานกลางดึก แม้เป็นเวลาพักผ่อน เพราะทุกวินาทีของเขาคืองาน
“ในมุมความโหลด เราจะมีความเหนื่อย แต่อีกมุมหนึ่ง มันก็มองอย่างเข้าใจได้ว่า พี่พุทธสร้างรายการนี้มา เขาทุ่มเทกับรายการนี้มากแค่ไหน หลายๆอย่างที่ได้เรียนรู้จากเขามันทำให้เจี๊ยบได้พัฒนาตัวเองด้วยเหมือนกัน เหตุการณ์นั้นมันทำให้เจี๊ยบรู้สึกว่า ทุบโต๊ะข่าวจะไม่มีพี่เขาไม่ได้ และเราต้องทุ่มเทให้มากกว่าเดิม ”
ตัวเธอเองแม้จะเป็นผู้ประกาศข่าวแต่กว่าที่จะได้ออกมานั่งอ่านข่าวต้องมอนิเตอร์ข่าว อ่านข้อมูลอัพเดตตลอดเวลา เพื่อให้ข่าวมีความสด ใหม่ และลึกกว่าที่อื่น ต้องกระตือรือร้น เรียนรู้ตลอดเวลา เธอจะใช้เทคนิคการอ่านบทวิเคราะห์จากข่าวหนังสือพิมพ์เพิ่มเติม อีกส่วนหนึ่งตามข่าวจากโซเชียลมีเดีย นอกจากอ่านแล้วยังมีส่วนร่วมในการเสนอประเด็นให้นักข่าวลงพื้นที่ไปเจาะประเด็นเพิ่ม ทว่าน้อยคนที่จะรู้เบื้องหลังการทำงานอย่างเข้มข้นแล้วมีหลายครั้งที่เธอเสียน้ำตาถึงขั้นร้องไห้กลางรายการและขอลาออก
“ต้องยอมรับว่ามันก็กดดันและเครียดเวลาที่ถูกดุมาก ๆ คิดว่างานนี้เจี๊ยบคงทำไม่ได้จริง ๆ รอบแรกจะขอย้ายทีม พี่เขาไม่ให้ พอรอบที่ 2 ช่วงที่โดนบี้เรื่องงานมากขึ้นแล้วก็ไม่ไหว มันเหมือนเครียดสะสม วันนั้นจำได้ว่าเล่าข่าวเกี่ยวกับแท็กซี่ พอช่วงปล่อยเสียง เขาหันมาตะคอก เจี๊ยบมีภาวะในใจรู้สึกแย่อยู่แล้ว พอโดนดุ เจี๊ยบก็ไม่ไหว น้ำตาก็ไหล พูดไม่ได้ พี่เขาก็เลยหันมาเห็นว่า เจี๊ยบร้องไห้ เขาเลยเล่าข่าวคนเดียวจนจบรายการ 2 เบรก พอพักเบรกก็หันมาดูว่า เจี๊ยบเป็นอะไร แต่ดุอีกว่า จะไม่อ่านใช่ไหมข่าว คราวนี้เจี๊ยบไม่ไหว ตอบไปว่า หนูจะลาออก เขาตะคอกใส่ต่อ น้ำตาเจี๊ยบยิ่งไหล นึกในใจอีกตั้งหลายเบรกจะทำยังไง พี่เขาส่งอะไรมา เจี๊ยบก็ไม่พูด เพราะนั่งร้องไห้อยู่ พูดไม่ได้จนข่าวสุดท้าย ต้องพูดด้วยเสียงสะอื้นปิดท้ายรายการ” จิตดีเผยเบื้องหลังฉากของรายการดัง
พอจบรายการ ผู้ประกาศสาวคนดังว่า พุทธเดินออกไป มีน้องทีมงานวิ่งมาบอกให้เราใจเย็นๆ พอไปห้องแต่งตัว เขารอเราอยู่ ถามด้วยเสียงอ่อนลงว่า เป็นอะไร คุยเปิดใจกันเกือบ 2 ชั่วโมง ได้เคลียร์ใจกันตรงนั้น เหตุผลที่เขาต้องเขี้ยวกับเราเพราะอะไร เราเข้าใจในจุดประสงค์ของเขา ทำให้เราเปิดใจ สุดท้ายกอดกันเข้าใจกันมากขึ้น และเปลี่ยนใจไม่ลาออก
กระนั้นก็ตาม การเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องธรรมดา เมื่อมีการปรับผังของช่องเพื่อปรับกลยุทธ์ เธอได้รับมอบหมายให้ย้ายมาจัดรายการข่าวเช้า ร่วมกับ โจ อรชุน รินทรวิฑูรย์ และทีมผู้ประกาศข่าว ภายใต้คอนเซปต์ ข่าวเช้าอารมณ์ดี 4 คน 4 สไตล์ ที่เธอยังคงทำงานทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังอย่างเข้มข้นเช่นเดิม
ปัจจุบัน จิตดีมีตำแหน่งหัวหน้าผู้ประกาศข่าวช่องอมรินทร์ทีวี การันตีด้วยรางวัลจากหลายเวที นอกเหนือจากหน้างานที่จะต้องรับผิดชอบดูประเด็นข่าวแล้ว ยังดูแลภาพรวมของผู้ประกาศของช่อง และยังมีรายการทางออนไลน์ “จิตดีมีความชอบ” ของทีมสุดสัปดาห์ อมรินทร์พริ้นติ้ง รายการวาไรตี้สบาย ๆ พาไปดูความชอบ ความสนใจของ จิตดี สไตล์จิตดี
“สำหรับเจี๊ยบมองว่าการเป็นผู้ประกาศข่าว สิ่งสำคัญที่สุด คือ การใช้ภาษาไทยให้ถูกต้องในการสื่อสาร ให้คนฟัง คนดู เข้าใจข่าว หากคำบิดพลิ้วไป ความหมายก็เปลี่ยน ฉะนั้นก่อนที่เราจะพูดออกมา เราต้องเข้าใจภาษาไทยอย่างถ่องแท้ก่อน เจี๊ยบจะใช้วิธีเรียนรู้จากประสบการณ์ ผิดเป็นครู นำมาแก้ไขใหม่ ไม่ให้ผิดพลาดอีก เช่นชื่อเฉพาะ มันผิดพลาดกันได้ แต่เราจะต้องหมั่นฝึกตัวเองให้อ่านเยอะๆ ฟังเยอะๆ เพื่อจะได้มีคลังคำใหม่ๆ นำมาใช้ให้คนเข้าใจง่าย สมัยนี้ถ้าเราพูดอะไรเป็นทางการเกินไปก็น่าเบื่อไม่น่าฟัง ถ้าเราสามารถหาคลังคำมาเล่าง่าย ๆ มันก็จะทำให้การเล่าข่าว มีความน่าสนใจและฟังสนุกมากขึ้น สำคัญคือการ ทำความเข้าใจและเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ” ผู้ประกาศสาวแกร่งทิ้งท้าย