“หลบมาทำตรงนี้ ทำกับขี้แล้วยังถูกหาว่าเป็นผู้มีอิทธิพล”

ยุทธจักรนักเลงกว่า 30 ปีที่ผ่านมาไม่มีใครไม่รู้จักคนดังเมืองเพชรเจ้าของฉายา “จ๋อง ตาเดียว” หรือสุจินต์ เกษสุวรรณ์ ที่เคยเนื้อหอมในหมู่ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์มักมีชื่ออยู่ในบัญชีดำผู้มีอิทธิพลพัวพันคดีสำคัญเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายมาไม่ใช่น้อย

เขาเกิดที่เขื่อนเพชร อำเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2490  พ่อรับราชการอยู่กรมชลประทาน วัยเด็กเรียนแถวละแวกบ้านก่อนมาต่อที่โรงเรียนประจำจังหวัดท่ามกลางฝูงนักเลงและควันปืน มีเพื่อนถูกยิงตายไปเยอะ ใครโกรธกันก็จ้องเด็ดชีพด้วยเสียงปืน

ส่วนตัวเขาเพียงเรียนแค่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ก็ไม่รอดจากข้อครหา “เขาหาว่า ผมไปยิงเสรี จีระพันธุ์ นักการเมืองจังหวัดนครปฐม” สุจินต์เริ่มต้นเกล็ดชีวิต “ผมต้องออกจากพื้นที่ จริงๆผมไม่รู้เรื่อง เขาจัดการกันเอง ตอนนั้นระหกระเหินหนีไปอีสาน ไปลาว พอลาวแตก ไปอยู่บนภูพาน ค้าถ่านขาย สมัยนั้นการสื่อสารยังไม่ดี การคมนาคมไม่ดี”

พอมีการเลือกตั้ง ปิยะ อังกินันทน์ ได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคชาติไทย พื้นที่บ้านเกิดจึงพาสุจินต์ไปมอบตัวต่อ พล.ต.อ.มนต์ชัย พันธุ์คงชื่น อธิบดีกรมตำรวจ ก่อนเดินติดตามปิยะมาตั้งแต่ตอนนั้น เขาบอกว่า แค่ช่วยหาเสียง ไม่ได้เป็นถึงขั้นบอดี้การ์ด พื้นที่ไหนเราคุยได้ เช่น เขื่อนเพชร ท่ายาง ก็ไปช่วยหาเสียง ไม่ได้เป็นลูกน้อง แต่กลับมีชื่อในบัญชีผู้กว้างขวาง ไม่รู้ว่าเราไปทำตัวยังไง กว้างขวางยังไง แค่รู้จักคนทั่วไป ดีกับทุกคน คนดีไม่เคยรังแก คนหากินไม่เคยไปแย่งงาน สมัยนั้นไม่เข้าใจตำรวจ พอมีใครถูกยิง ต้องมีเราเกี่ยวข้องแถมจะโดนยิงไปด้วย

ในที่สุดอายุ 20 เศษเขาก็ต้องเสียลูกตา เมื่อถูกลอบยิงในถิ่นตัวเองระหว่างกำลังนั่งเล่นหมากรุก รักษาตัวอยู่โรงพยาบาลรามาธิบดีนานนับเดือน กระสุนเข้าตีนหูออกหางตาซ้ายทำตาบอดสนิทเป็นที่มาของฉายา “จ๋อง ตาเดียว” กลายเป็นเส้นทางหักเหชีวิต สุจินต์เล่าว่า เปลี่ยนแปลงชีวิตเดินหน้าลุยมาตั้งแต่บัดนั้น แต่ไม่เคยเป็นมือปืนรับจ้าง นอกจากพรรคพวกเดือดร้อน มีปัญหามีเรื่อง ก็ไปช่วย ชีวิตไม่ได้สังกัดพรรคการเมือง สังกัดพวกอย่างเดียว พรรคพวกอยู่ที่ไหน ไปช่วยที่นั่น เพราะไม่รู้ว่าจะตายวันตายพรุ่ง อนาคตยังไม่เห็น ไม่เคยกลัวตาย เวลานั้นความรู้ไม่มี ไปสมัครทำงานไม่พอกินเลยต้องหากินแบบซื้อของเร่ส่งของ

ต่อมาตัดสินใจออกจากเมืองเพชรตามคำชวนของพรรคพวกไปทำธุรกิจอยู่เมืองชลบุรีแล้วข้ามไปทำของเถื่อนที่เมืองจันทบุรีจึงทำให้รู้จักกับสนิท เฟื่องประยูร สมาชิกสภาจังหวัดเจ้าถิ่นเข้าสู่ยุทธจักรนักเลงดังภาคตะวันออก อีกทั้งเกี่ยวดองได้พี่สาวอลงกรณ์ พลบุตร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเพชรบุรีเป็นเมีย ขณะที่น้องเมียสานสัมพันธ์ได้คมคาย เฟื่องประยูร ลูกสาวสนิทเป็นคู่เคียง “ผมกับสนิท มันเพื่อนร่วมน้ำสาบาน เหมือนเพื่อนตาย ตอนนั้นความขัดแย้งทางเมืองรุนแรง มีการวางระเบิดจะฆ่าสนิท แต่ภรรยารับเคราะห์ จากนั้นมีคนมาบอกว่า จ่ามี สิทธิพร ขำอาจ พูดว่า ถ้าจะทำต้องทำจ๋องก่อน ผมก็ได้ข่าวว่า มือขวาจ่ามีจ้างมือปืนมาเก็บผม มือปืนคนนั้นรู้จักกันมาบอก แต่ผมไม่เชื่อใจแนะมันให้รับเงิน ก่อนส่งคนตามไปดูว่า มันโกหกหรือไม่”

คนดังเมืองเพชรที่ไปมีชื่อแถบฝั่งภาคตะวันออกตามแกะรอยจนแน่ชัดว่า มีการรับเงินค่าเด็ดหัวขาที่โรงแรมเวล นครปฐม จึงจัดแจงประสาน พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ขณะนั้นเป็นผู้บังคับการกองปราบปราม นำกำลังไปรวบตัวและขยายผลจับประจวบ ศรีกำเนิด ผู้กว้างขวางแม่กลอง สมุนจ่ามี ถัดจากนั้นไม่นานประจวบก็ถูกยิงตาย สุจินต์บอกว่า ตอนนั้นเบื่อวงการนักเลงแล้ว เพราะมีธุรกิจ แต่พอมีปัญหาจะที่จันทบุรี หรือกรุงเทพฯ หรือที่ไหนก็มาพัวพันเราอีกบอกแล้ว เพราะเวลาพรรคพวกเดือดร้อนก็ไปเยี่ยม พอไปเยี่ยมฝ่ายตรงข้ามถูกยิงก็หาว่าเรา เป็นอย่างนี้อยู่ตลอด  ถึงตอนนี้ก็ยังมี ยืนยันว่า ปัจจุบันบริสุทธิ์แบบ 100 เปอร์เซ็นต์แล้ว

นอกจากคบหากลุ่มอิทธิพลวงการนักเลง สุจินต์ยังมีความสนิทสนมกับ พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศ ตำนานมือปราบพระกาฬของกรมตำรวจ เขาบอกว่า ชลอเป็นนายตำรวจที่ให้ความเป็นธรรม ให้โอกาสคนเป็นผู้หักเหเส้นทางชีวิตให้อยู่ได้ถึงวันนี้ ก่อนจะรู้จักกันตอนนั้นเราขึ้น-ล่องเชียงใหม่ ทำเพลงไพรวัลย์ ลูกเพชร ชุด หนาวใจชายแดน และชุดสำรวยลืมคำ เอาแผ่นไปแจกนักจัดรายการวิทยุที่เชียงใหม่ให้ช่วยเปิดเพลง กลับมีคดีเสี่ยเจ้าของโรงแรมเมืองใหม่ฟ้าธานีถูกยิง ด้วยเหตุใดไม่รู้ มีชื่อเราไปพัวพันด้วย

“คดียังไม่กระจ่าง ป๋าลอเป็นรองผู้บังคับการกองปราบปรามเข้ามาทำคดี แกเป็นนักเลงตามไปดักเจอผมที่หน้าบ้านนวลนภา ทิพย์หิรัญ เมียพี่แป๋ง-ปิยะ อังกินันทน์ ถามว่า ผมเกี่ยวข้องไหม ผมบอกไม่เกี่ยวข้อง แต่ป๋าลอขอให้ช่วยทำเรื่องให้กระจ่าง สืบดูว่า ในเชียงใหม่กลุ่มใครเป็นกลุ่มใคร พอจบคดีป๋าลอก็พาผมไปเคลียร์กับอธิบดีณรงค์ มหานนท์ และได้ไปช่วยงานแกตอนเป็นผู้การพิษณุโลก ช่วงนั้นไม่ว่าคดีไหนผมก็ทำให้จนมีตำรวจบางคนหมั่นไส้ เข้ามาจับข้อผิดพลาดบางอย่าง หาว่า ผมกว้างขวางในวงการนักเลง”

จ๋อง ตาเดียว ยกตัวอย่างคดีเสี่ยรายหนึ่งถูกโจรเรียกค่าคุ้มครองที่สุราษฎร์ธานี ปรากฏว่า ตอนเอาเงินไปให้ คนร้ายถูกยิงตายหมด “มีการโทษว่า ผมเอาเงินคืน ถามว่า พวกนี้มันตาย แผ่นดินมันสูงหรือเปล่า  ผมไม่ใช่หัวหน้ากองโจร ผมคบคนพี่ลอ ใช้ให้ไปทำอะไรก็ถือว่า ผู้มีพระคุณใช้  ส่วนคนอื่นไม่เคยไปรับใช้ใคร ผมถือว่า พี่ลอ มีพระคุณกับผม เป็นคนเคลียร์เรื่องให้ผม ถ้าเป็นคนอื่นเขายิงเราทิ้งแล้ว หาว่า ผมเป็นหัวหน้ากองโจร ถูกขึ้นบัญชีดำสมัยบุญชู วังกานนท์ ตอนนั้นก็มีนายตำรวจ 4-5 คน ทำงานแข่งกัน ทั้ง สล้าง บุนนาค ชลอ เกิดเทศ สมเกียรติ พ่วงทรัพย์ โสภณ สะวิคามิน และประชา พรหมนอก ฉายา สิงห์เหนือ เสือใต้ อินทรีอีสาน ยมบาลตะวันตก อะไรประมาณนั้น”

จวบจนวันหนึ่ง จ๋องเล่าว่า ชลอบอกให้หางานสุจริตทำ เพราะห่วงกลัวพลาดเรื่องตำรวจ เสนองานดูดส้วมเทศบาลให้ทำ เพราะเห็นพรรคพวกตำรวจที่นครสวรรค์ทำแล้วมีรายได้ดี  เราก็บอกไม่มีเงิน ชลอก็ยกบริษัทคุ้มพระลอให้ พร้อมรถ 2 คัน แต่เตือนว่า อย่าขาดผ่อนไม่เช่นนั้นจะโดนยึดเลยเอาไปต่อแทงก์ดูดส้วมได้สัมปทานจากเทศบาลพิษณุโลก เริ่มทำกินแล้วเห็นเงินเลยตั้งใจทำเป็นอาชีพ ทำแบบจริงจัง ต่อรถเพิ่มขึ้นๆ พอได้เงินก็ก้มหน้าก้มตา ไม่เที่ยวไหน ได้เงินมาก็ใช้หนี้ เหลือเท่าไหร่เก็บไว้  วันหนึ่งมาเชียงใหม่ บริษัทที่เชียงใหม่ เขาเจ๊ง ก็ขอเทกโอเวอร์ 2 ล้านกว่าบาทเมื่อ 16 ปีมาแล้วทำกิจการดีขึ้น ตั้งเป็นบริษัท เชียงใหม่ กำจัดสิ่งปฏิกูล

ทิ้งอาชีพสกปรกกันมาจับธุรกิจกวาดสิ่งสกปรก อดีตผู้ยิ่งใหญ่วงการนักเลงภูธรบอกว่า กิจการเจริญเติบโตมาเรื่อย ปัจจุบันยังหันไปศึกษาตำราทำบ่อหมักปุ๋ยตามโครงการพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เก็บเอาสิ่งปฏิกูลที่ไปทิ้งไม่เป็นที่เป็นทางมาหมักในบ่อเป็นเวลา 28 วัน ให้เชื้อโรคตายตามธรรมชาติแล้วปล่อยออกมาใส่เครื่องกรอง กากเอาตากให้แห้งแล้วเป็นปุ๋ย เริ่มทำเมื่อ 2 ปีที่แล้วลงทุนซื้อที่ประมาณ 10 ล้านบาท  27 ไร่ ที่หมู่ 2 ตำบลเชิงดอย อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่  ตอนแรกชาวบ้านไม่ค่อยเข้าใจ แอนตี้ไม่ให้ทำ เพราะกลัวมีกลิ่นเหม็นสิ่งแวดล้อมเสีย เมื่อพวกเขาเห็นว่า ไม่ได้เข้ามาทำลายสิ่งแวดล้อม ให้เขามาพิสูจน์ว่าตรงนี้ไม่มีกลิ่น ปุ๋ยใช้ได้ 100 เปอร์เซ็นต์ ดินที่เสื่อมเสียแล้วกลับคืนสู่สภาพเดิม จากปลูกอะไรไม่ขึ้นพอฉีดน้ำปุ๋ยอินทรีย์ใบไม้เขียวเป็นมัน ไม่มีสารเคมีเจือปน

“ผมรอดชีวิตจากป๋าลอ ได้ทุนมาต่อยอดด้วยโครงการในหลวง อยู่ที่ไหนผมจะติดรูปในหลวงทำใหญ่เลย ในฐานะที่พระองค์ทรงชี้แนะให้เราเดินทางในสิ่งที่ดี 2 ปีนี่รู้เรื่องเลย ไม่พอขาย ปุ๋ยอินทรีย์ตราช้างนั่งไขว้ห้างชูจ๋อง ทางเหนือหมายถึงความเที่ยงตรง ชูขึ้นไปอันเดียวเป็นสัญลักษณ์ ที่ใช้สัญลักษณ์นี้ เพราะชื่อคล้ายๆผม และที่ผมอยู่ เมื่อก่อนเรียกช้างคลานเลยนำเอามาทำโลโก้ ตอนนี้ยังมีโครงการซื้อที่ดินอีก 7 ไร่ ทำบ่อหมักปุ๋ยเพิ่ม”ผู้กว้างขวางรุ่นเก่าอธิบาย

  “ ปีนี้อายุ 67 แล้ว ครอบครัวไม่ได้อยู่ด้วยกัน เลิกกับภรรยา ส่วนลูก 4 คนประสบความสำเร็จเรียนจบปริญญาโทหมดแล้ว ชีวิตผมประสบความสำเร็จเพราะในหลวง กับพี่ลอ ผมรู้จักพวกนักเลง พวกเจ้าพ่ออะไรต่างๆเยอะ สมัยพี่ลอ ผมก็ช่วยเหลือพวกนี้ไว้ก็เยอะ ไปขอพี่ลอ พี่ลอก็ให้ มันเป็นบุญคุณ เกิดความรักกันมา ผมคิดว่า ค่าของคนเท่ากันหมดจนรวยเป็นคนเท่ากัน แบ่งคนแค่ดีชั่ว ผมก็ไม่เหนือกว่าใคร ใครก็ไม่เหนือกว่าผม เพราะไม่ได้ขอให้กิน ทำกินแบบบริสุทธิ์ไม่แคร์ใคร คนไหนดีมาก็ดีตอบ ชั่วมาก็ชอบตอบ ไม่เคยทำกินแย่งใคร”

“ เชื่อไหมว่า หลบมาทำตรงนี้ ทำกับขี้แล้วยังถูกหาว่าเป็นผู้มีอิทธิพล เป็นเจ้าพ่อบ้าง แล้วถามว่ามีอิทธิพลได้ยังไง ผมให้เกียรติทุกคน ตอนขึ้นบ้านใหม่ คนทุกสาขาอาชีพ ตำรวจ ทหาร ข้าราชการ พ่อค้ามากันหมด ระดับหัวกะทิทั้งนั้น ถ้าคนชั่ว ใครเขาจะมา อย่างเรื่องผู้กว้างขวางทั่วประเทศ ผมก็รู้จัก แต่เวลาไปไหนผมให้เกียรติเขา ผมไม่ได้ไปใหญ่กว่าเขา ใครคนไหนดี ผมก็ให้เกียรติ ไม่เคยรังแกใคร ทุกคนจึงอยากมาคบ มันหมดยุคผมแล้วอายุ 60 กว่า ใครจะมาโลดแล่นในยุทธจักร ถามว่าภาพลักษณ์เก่า ถ้าชั่ว คงไม่มีใครกลัวหรอก แต่ละคนผมผ่านมาทั้งนั้น จุดจบเขาเป็นยังไง แล้วใกล้จะจุดจบผมแล้ว คงเห็นว่าผมเป็นยังไง” สุจินต์ร่ายยาว

ทุกวันนี้เขาปักหลักอยู่บ้านสไตล์รีสอร์ตบนดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ ทิ้งอดีตที่เต็มไปด้วยคาวเลือดและควันปืน ยืนยิ้มอย่างภูมิใจกลายเป็นมนุษย์รีไซเคิลขยะกลับมาเป็นปุ๋ย “ที่นี่เงียบ เดือนหงาย สว่าง โล่ง ลมเย็น เห็นดาว เห็นเดือน ผมชอบอยู่แบบนี้” จ๋อง ตาเดียวรำพัน

 

 

RELATED ARTICLES