“การเป็นตำรวจต้องมีหิริ โอตัปปะ  ต้องเกรงกลัว ต้องละอายต่อการกระทำที่จะทำบาป”

 

 

ชีวิตผ่านเรื่องราวมากมายหลังจากเลือกย่างกรายตามรอยผู้บังเกิดเกล้า

พล.ต.ท.อภิชาติ ศิริสิทธิ์ อดีตผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6  ลูกชาย พล.ต.ต.ชาญชัย ศิริสิทธิ์ อดีตผู้บังคับการอำนวยการ กองบัญชาการตำรวจนครบาล แต่ตอนแรกไม่ได้อยากเป็นตำรวจเหมือนพ่อ แม้จะพักอยู่บ้านหลวงของกองปราบปรามในซอยอารีย์ พหลโยธิน เรียกได้ว่า โตมากับครอบครัวตำรวจสมัยผู้พ่อเป็นรองผู้กำกับการ 2 กองปราบปราม

เข้าเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย นั่งรถเมล์ไปลงอนุสาวรีย์ชัยต่อสาย 8 ไปสะพานพุทธ ขากลับแวะกองปราบปรามสามยอดเพื่อรอกลับบ้านพร้อมพ่อ เป็นชีวิตลูกตำรวจที่กินนอนเล่นอยู่ที่กองปราบปรามในห้องทำงานของพ่อ แต่ไม่ได้ซึมซับความเป็นตำรวจ ทั้งที่เคยนั่งรถไปกับพ่อตอนล่าจับตายเสือขาว ขุนโจรชื่อดังในอดีต

“ผมชอบดูหนังโคบาลขี่ม้าในไร่ ทำพืช ทำสวน ทำให้ผมอยากไปทางนั้นมากกว่า” พล.ต.ท.อภิชาติลำดับเรื่องราวในอดีต สุดท้ายทนพ่อรบเร้าไม่ไหวให้ไปสอบนักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่น 36 พ่อต้องให้ลูกน้องมาตามไปรายงานตัว สอบได้ที่ 66 จาก 210 คน น่าเสียดายพ่อเขาไม่มีโอกาสเห็นลูกชายประดับดาวบนบ่า เมื่อด่วนจากไปอย่างกะทันหันตอนเขาเรียนอยู่ชั้นปีที่ 4

บรรจุลงโรงพักเมืองชัยนาท เหตุผลเพราะไม่อยากไกลบ้าน เป็นห่วงแม่ รายงานตัววันแรกยังไม่ทันถอดเครื่องแบบคอแบะก็เกิดเรื่อง พล.ต.ท.อภิชาติเล่าว่า คนร้ายเมาเหล้าเข้าไปร้านค้าในตลาดคว้าปืนยิงไปทั่ว กระสุนกว่า 200 นัดยิงไปเรื่อย โดนชาวบ้าน โดนตำรวจ เรากำลังรายงานตัวอยู่กับสารวัตรใหญ่ แกถามว่า มีปืนไหม กลายเป็นผู้หมวดใหม่คนเดียวที่มีปืน .357  นอนั้นเป็นปืนลูกโม่.38 ของหลวงทางนั้น รีบไปที่เกิดเหตุยิงใส่กลอนประตูไม่หลุด ตัดสินใจยิงฝาบ้านเป็นไม้จนเป็นรูโหว่ ให้ลูกน้องสอดปืนเข้าไปยิงระบับเหตุด้วยการจับตายประเดิมวันแรกของการรายงานตัว

เขาบอกว่า ชัยนาทถึงเป็นจังหวัดเล็ก แต่โจรชุกชุม ตำรวจต้องทำงานทุกวัน กลางคืนออกตรวจแล้วต้องมาเข้าเวร เราเป็นตำรวจจบใหม่ค่อนข้างบริสุทธิ์ ยังไม่เจออะไรกับชีวิตจริง ทำให้มีความมุ่งมั่น มีความคิดต้องทำงาน มีโจรต้องจับโจรให้ได้ ไฟแรง เป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจ 2 คนแรกที่ย้ายไปอยู่กับเพื่อนร่วมรุ่นอีกคน คือ สำเริง รอดเจี่ยม

อยู่ชัยนาทนาน 2 ปี ย้ายมาเป็นรองสารวัตรป้องกันปราบปราม สถานีตำรวจภูธรเมืองสมุทรปราการ ยุค “นิสสัย บุญศิริ” เป็นสารวัตรใหญ่ ออกตรวจ ออกจับ ก้มหน้าก้มตาทำงาน อยู่เฉยไม่ได้ ออกตรวจยันเช้าเลยจิ๊กโก๋นั่งราวสะพานเตะตกสะพานหมด เพราะสมุทรปราการตอนนั้นเป็นเมืองที่มีทั้งต่างด้าว ทั้งประมง ทั้งโรงงาน พวกเถื่อนๆ เยอะ เขาทำหน้าที่หน้าสายตรวจจักรยานยนต์ คุมจักรยานยนต์ทั้งหมด 40 กว่าคัน ออกตรวจทุกคืน

หลังจากนั้นย้ายเข้านครบาลเป็นรองสารวัตรสอบสวน สถานีตำรวจนครบาลบางโพงพาง เข้าเวรรับทั้งคดีอาญา และคดีจราจร พล.ต.ท.อภิชาติรับว่า ค่อนข้างหนักและเหนื่อยมาก รอดมาได้ไม่โดนตั้งกรรมการก็บุญแล้ว แต่ด้วยความที่สมัยนั้นเรายังคิดว่า พอมีคดีแล้ว เราไปทำคดี ต้องสืบสวนจับคนร้ายให้ได้ มีหลายๆ คดีที่สอบสวนแล้วสืบจับเอง ทั้งฆ่าคนตาย คดีฆาตกรรมอำพราง คดีระเบิดวัดพม่า สอบกันทั้งวันทั้งคืนต้องเอาให้ได้ พอจับได้ รู้สึกว่า ทำงานสำเร็จแล้ว

ทำงานอยู่ 3 ปี ไม่คิดย้ายไปไหน หากไม่เกิดเรื่องจากคดีการพนันที่เขาเป็นร้อยเวรถึงเวลาคุมตัวไปฟ้อง  อัยการกลับไม่รับฟ้องและไม่ให้เหตุผล มีผู้ต้องหารายหนึ่งเป็นทนายความเริ่มโวยวาย เขาชักโมโห ไปโรงพักวัดพระยาไกรแจ้งความเอาผิดพนักงานอัยการ กลายเป็นเรื่องเป็นราว ท่านวิโรจน์ เปาอินทร์ เป็นผู้บัญชาการตำรวจนครบาลต้องมาหย่าศึก แต่ต้องตั้งกรรมการสอบทั้งสองฝ่าย อัยการคนนั้นถูกย้ายไปประจำ ส่วนเขาได้ย้ายมากองปราบปรามเป็นรองสารวัตรแผนก 4 กองกำกับการ 2 กองปราบปราม

“ผู้ใหญ่รู้แล้วบอกว่า มึงอย่าอยู่นครบาลเลย มากองปราบล่ะกัน” พล.ต.ท.อภิชาติไม่แปลกใจในครั้งนั้น เขาได้มีโอกาสศึกษางานเหมือนสมัยที่พ่อเคยสวมบทนายตำรวจติดอาร์มอยู่ที่สามยอด คิดว่า ไม่มีอะไรมากไปกว่าการรับคดี สารวัตรบอกมีคดีค้างอยู่ 6 คดีเอาไปทำ เจ้าตัวมองว่า เป็นพนักงานสอบสวนนครบาลเก่าไม่น่ายาก แค่ 6 คดี แต่ไปเจอกองเอกสารเต็มตู้ แต่ละคดีใหญ่ ๆ ทั้งนั้น เรื่องที่คิดว่าหมู ไม่หมูเสียแล้ว เป็นคดีเช็ค  3,000-4,000 ฉบับ ต้องไล่สอบธนาคาร ตามเช็ค ส่วนใหญ่เป็นเช็คค้ำประกันอ้อย

กระนั้นก็ตาม เจ้าตัวได้โอกาสร่วมคลี่คลายคดีสำคัญให้กองปราบปราบสมัยก่อนที่รับคดีใหญ่ๆ จริง อาทิ เพชรซาอุดีอาระเบีย ต่อด้วยฆาตกรรมสองแม่ลูกตระกูลศรีธนะขัณฑ์  “กองปราบสมัยนั้นเต็มด้วยปรมาจารย์นักสืบ ผู้กำกับหลายคนล้วนมีชื่อชั้นเป็นมือปราบจริงๆ  มีคดีใหญ่ๆ จะจัดทีม ไปฝังตัวสืบสวนแบบเป็นเรื่องเป็นราว ทำให้ผมได้ความรู้เวลาไปทำงาน จนเสร็จงานจับได้ก็กลับ บางทีไปเป็นเดือน เมียท้อง ผัวไปไหนไม่รู้ สมัยนั้นเริ่มมีโทรศัพท์มือถือ เสวก ปิ่นสินชัย เป็นสารวัตร แกเก็บโทรศัพท์หมดเวลาขึ้นรถ ไปไหน ไม่ให้รู้ล่วงหน้า เพราะกลัวข่าวรั่ว บอกเมียตอนออกจากบ้านว่า ไปกินข้าวบ้านสารวัตรแล้วหายไปเลย ติดต่อใครก็ไม่ได้”

“เมียผมอยู่บ้านจะคลอดอยู่แล้ว หาว่าเราไปมีเด็ก สมัยก่อนทำงานสนุกนะ สมองมันไม่คิดเรื่องเงิน หรือเรื่องผลประโยชน์  เรื่องงานมาก่อน บางวันบางทีไม่รู้ทำอะไร ไม่ได้นอนบ้าน นอนอยู่กองปราบสามยอด ดึกๆ นั่งดูหมายจับก็ไปสืบจับ ได้บ้าง ไม่ด้บ้าง ทำงานไปเรื่อย” เขาอยู่แผนก 4 กองกำกับการ 2 กองปราบปรามประมาณ 4 ปี ก่อนย้ายไปอยู่แผนก 2 กองกำกับการ 1 กองปราบปราม  เป็นช่วงเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535 ทำให้ได้ไปอยู่เป็น “ชุดไล่ล่า” เฉพาะกิจเก็บกวาดแก๊งป่วนเมืองตามท้องถนนใจกลางกรุงเทพมหานคร

หลังเหตุการณ์พฤษภาคม 2535 มีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างกองปราบปราม แยกกองกำกับการ 7 ไปเป็นกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด เขาสมัครใจไปหน่วยงานใหม่เนื่องจากเป็นรองสารวัตรนานเกิน 10 ปีแล้ว ถึงเลื่อนเป็นสารวัตรอยู่กองบังคับการสอบสวน กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด เริ่มยึดทรัพย์ตามมาตรการผู้กระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติดเป็นครั้งแรกในประเทศไทย

อยู่ได้ 3 ปี โยกเป็นสารวัตรกองบังคับการสืบสวนสอบสวนคดีเศรษฐกิจ เจ้าตัวสารภาพว่า อยู่ตรงไหน ทำหน้าที่อะไรยังไม่รู้จักด้วยซ้ำ รับผิดชอบงานเครื่องหมายการค้า ไปไล่จับพ่อค้าแม่ค้า ไม่ใช่สไตล์ของเรา ขอทำตามหน้างาน  หากผู้เสียหายมาร้องก็ไปจับ  ไม่นิยมเลยจับแบบนั้น จับแล้วก็สงสาร บางคนแผงลอยเงินจะกินยังจะไม่มีอยู่แล้ว งานอย่างนี้เราไม่ถนัด ไม่อยากทำด้วย สรุปอยู่ได้ 2-3 ปี ไปขึ้นเป็นรองผู้กำกับการ 2 กองปราบปราม ตำแหน่งเดียวกับพ่อแล้ว

ปรากฏว่าอยู่ได้ปีเดียวโดนเตะไปกองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ ต่อมาเป็นรองผู้กำกับการ 3 กองตำรวจป่าไม้ แล้วคืนถิ่นเก่าเป็นรองผู้กำกับการ 2 กองปราบปราม ก่อนขึ้นผู้กำกับการตำรวจน้ำศรีราชา จังหวัดชลบุรี ดูแลความสงบเรียบร้อยทางทะเล ไม่ค่อยจะเป็นงานของเขาอีกเช่นกัน เพราะไม่ได้จบโรงเรียนนายเรือ แค่คุมงานบริหารงบประมาณ แต่ได้พวกเยอะ อยู่ตำรวจน้ำ 4 ปีไม่ได้ขึ้นรองผู้บังคับการ แต่กลับโดนย้ายมาเป็นผู้กำกับการ 2 กองตำรวจป่าไม้ และเป็นผู้กำกับการตำรวจท่องเที่ยวเชียงใหม่ ยังไม่ทันเอาของออกจากกล่องถูกสลับเป็นผู้กำกับการตำรวจท่องเที่ยวพิษณุโลกแล้วกลับมาเป็นตำรวจท่องเที่ยวเชียงใหม่อีกรอบกว่าจะขึ้นเป็นรองผู้บังคับการปราบปรามคุมหน่วยคอมมานโด

พล.ต.ท.อภิสิทธิ์บอกว่า เจอม็อบทุกม็อบ ทั้งเหลืองทั้งแดง ไปกินนอนกับลูกน้องอยู่ในทำเนียบรัฐบาล ในรัฐสภา ในเขาดิน ผู้ชุมนุมมาล้อมต้องเจรจา ตลอด 4 ปีไม่มีใครมาเตะเก้าอี้ อาจเพราะไม่มีใครอยากคุมม็อบ เพราะไม่ได้ไปไหนเลย นอนอยู่ในม็อบสลับกลับมานอนที่ทำงาน แถมถูกตีตราว่าเป็นเสื้อแดง เพราะคนให้ข้อมูลผิดกับศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน เช็กไปเช็กมาเป็นคนละคนกัน เราไม่ยุ่งกับใครอยู่แล้ว ทำตามหน้างานของเรา ไม่ฝักใฝ่การเมือง รับคำสั่งให้ยืนรักษาที่มั่นให้ได้ ยืนให้ตรง ไม่ต้องให้ใครเข้าออก

ถัดจากนั้นได้ขึ้นเป็นผู้บังคับการกองตรวจราชการ 8 จเรตำรวจรับผิดชอบพื้นที่ 8 จังหวัดทางภาคใต้ตรวจครบ 198 สถานี ช่วยฝึกยุทธวิธีตำรวจ ก่อนย้ายเป็นผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเพชรบูรณ์คุมคดีตามจับได้เกือบ 100 เปอร์เซ็นต์เต็มปีเดียวเลื่อนเป็นรองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง  ช่วยภารกิจสำคัญให้ พล.ต.ท.ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ แม่ทัพในขณะนั้นในพระราชพิธีงานพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช

มีชื่อเป็นแคนดิเดตตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจนครบาล แต่สุดท้ายไม่ได้และต้องรออีกปีถึงขึ้นเป็นผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 เดินหน้านโยบายชัดเจนว่า ต้องมีทัศนคติที่ดีกับตำรวจก่อน เนื่องจากตำรวจในยุคหลัง ๆ แรงกดดันจากภายนอกเยอะ แรงกดดันจากภายในก็เยอะ ถ้าเราเป็นผู้บังคับบัญชาแล้วไปกดดันอีก ไปบี้ ไปเห็นโครงการโน่นนี่นั่นที่เยอะอยู่แล้วแทนที่จะไปดูแลชาวบ้าน ไปทำหน้าที่ที่เป็นหน้าที่ของตำรวจจริง ๆ  ไม่มีเวลา

“ผมใช้วิธีปกครองแบบไม่ยุ่งเลยนะ  ไปตรวจที่ไหน ไม่มีขบวน ไม่ต้องให้ตั้งแถว ใครอยู่ก็ออกมารับ ผุ้กำกับการไม่อยู่ไม่ว่า แต่ให้ติดต่อได้ ผู้กำกับหรือรองผู้กำกับไม่จำเป็นต้องอยู่โรงพัก แต่นายตำรวจเวรต้องอยู่ ผมไปตรวจครบทุกสถานี  ไปแบบไม่เคยมีการตั้งแถว ไม่มีมีขบวน เอาแบบอยากไปโรงพักนี้ก็ไป ไปดูแล้วไม่ลงโทษ แต่แนะนำ สอน ทำอย่างนี้ๆ แล้วอะไรที่ไม่ควรทำ อย่าไปทำ ตอนแรก ๆ ไปตรวจ ร้อยเวรมารายงานตัว สิบเวร มารายงานตัวมองๆ ดู แล้วทักว่า โรงพักไม่มีใครพกปืนสักคนเลยหรือ นี่ตำรวจอะไรวะ เริ่มตำหนิ ในที่ประชุม พออีกสักสัปดาห์ไปตรวจ คราวนี้พกปืนทุกคนมารายงานตัวเสร็จ  ผมขอดูปืน ปรากฏว่า ไม่ได้ใส่กระสุนก็ว่าไป พกทำไมไม่มีลูก หลอกกูนี่หว่า” พล.ต.ท.อภิชาติเจอกับตาตัวเอง

อดีตผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 เล่าต่อว่า เวลาไปตรวจโรงพักจะมุ่งเรื่องคลังอาวุธ บัญชีการเบิกจ่ายเงิน การเก็บรักษาเงินของกลาง การเก็บรักษาเงินประกันว่า ทำกันถูกต้องไหม ถ้าไม่ถูกต้องจะแนะนำว่าควรจะทำอย่างไรแล้วบันทึกไว้ว่าแนะนำแล้วให้ทำอย่างนี้ ส่วนหัวหน้าสำนักงานที่ไปด้วยจะไปเดินดูรอบ ๆ ดูอาคาร ดูความสะอาด แต่ละโรงพักจะรู้ล่วงหน้าว่าจะไปตรวจไม่เกิน 2 ชั่วโมง ให้นายเวรโทรไปบอก ขี้เกียจไปเห็นอะไรทุเรศๆ  ถ้าภายใน 2 ชั่วโมงทำไม่ได้ แสดงว่า โรงพักเละมาก

เจ้าตัวย้ำว่า ตำรวจต้องเห็นใจ ผู้บังคับบัญชาบางคนชอบประชุมอะไรกันนักหนา เดี๋ยวคอนเฟอเรนซ์ ไม่ให้ลูกน้องไปทำงานบ้าง ถ้าทำไม่ได้แล้วค่อยมาว่ากัน อะไรที่เสียหาย ก็ลงโทษไป อะไรที่พอจะรับได้ ควรอะลุ่มอล่วยกันบ้าง อย่าให้กดดันมากนัก มีตำรวจฆ่าตัวตายเยอะขึ้นเรื่อย ๆ เพราะผู้บังคับบัญชากดดัน

คุมกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 อยู่ 2 ปีก่อนเกษียณอายุราชการกลับมีเรื่องร้อนเข้าตัวเอง พล.ต.ท.อภิสิทธิ์ระบายความรู้สึกว่า  ไม่ใช่เรื่องของ แต่เป็นเรื่องกับคนใกล้ตัวเรา ถามว่า กรณีของผู้กำกับโจ้- พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล เราก็รู้ว่า มีกลิ่นไม่ค่อยดีแล้ว ตอนนั้นเรียกมาถาม ก็เล่าให้ฟัง ถึงย้ายศูนย์ปฏิบัติการตำรวจภูธรภาค 6 ส่วนทางคดีไปว่ากันเอง  พอดีมีข่าวดังออกมาเลยหนี  เราก็ติดต่อให้มอบตัว ถือว่า ถ้าเราทำเขาตาย เราต้องมาชดใช้กรรมไป ทางคดีก็ว่ากันไป แต่เจตนาเรารู้ว่า ไม่ได้มีเจตนาที่จะไปรีดเงินรีดทอง ดูจากคลิป ดูจากอะไรแล้ว เป็นการรีดข่าว ต้องการลอตใหญ่  พอมีข่าวออกมา สีสันก็เกิดขึ้น

“ถือเป็นบทเรียนเคสหนึ่ง ถามว่า นักสืบทั้งหลายนี่ เวลาจะเค้นเอาข่าวนี่ มีใครไม่เคยทำบ้าง พูดตรง ๆ ผมก็เคย แล้วนักสืบทุกคน ไปถามสิ เคยทำไหม แต่มันทำแล้วพลาด พลาดเพราะอะไร เพราะเพื่อนร่วมงาน เพตั้งใจจะโค่น ความสามัคคีไม่มี หลายครั้งแล้วนะตำรวจนครสวรรค์หากินกับยาเสพติดเยอะมาก แล้วโจ้ มันไม่เอา มันขวางทุกอย่างไง  มันก็เกิดผลประโยชน์ขัดกันแล้ว แต่ความอ่อนพรรษาของมันเอง คือก่อนที่มึงจะทำแบบนี้  ต้องหาแนวร่วมในโรงพักให้ได้มากที่สุดก่อน ไม่ควรจะไปทำอย่างนั้น”

“อย่างผมเกลียดเรื่องยาเสพติด ใครมีเรื่องอะไรช่วยได้หมด แต่เรื่องยาเสพติดไม่ได้เด็ดขาด ต้องมีคุณธรรมบ้าง การเป็นตำรวจต้องมีหิริ โอตัปปะ  ต้องเกรงกลัว ต้องละอายต่อการกระทำที่จะทำบาป  ต้องกลัวผลของการกระทำของมึงที่จะตามมา ไม่ช้าก็เร็ว เรายึดถือเรื่องนี้มาตลอดชีวิตอยู่แล้ว พ่อแม่สอนมา เรื่องหิริโอตัปปะ ต้องละอายต่อการทำบาป ต้องเกรงกลัวผลของการกระทำที่มันจะเกิดขึ้นกับเรา ทำไปแล้วจะมีอะไรเกิดขึ้น มันมีผลตลอด เราทำอะไรไป เช้ามา ตื่นมาแปรงฟัน มันก็มีผล ทำให้ปากสะอาด ใช่ไหม ทุกอย่าง มันมีเหตุมีผลของมันหมด” พล.ต.ท.อภิชาติว่า

เขาพยายามบอกตำรวจ และคนใกล้ชิดว่า ทุกการกระทำมีผล การกระทำในสิ่งที่ดี ผลดีจะตามมา ถ้า ทำชั่ว ทำไม่ดี  เอาเปรียบคนอื่น รังแกคนอื่น ผลไม่ดีก็จะตามมา ไม่ตามมาเร็ว ยังไงก็ต้องเจอสักวันหนึ่ง ดังนั้น เอาเปรียบคน อย่าไปเอาเปรียบใคร อย่าไปอิจฉา ริษยา ใคร มีหน้าที่อะไรก็ทำไป มีเมตตา กรุณา รู้จักเห็นอกเห็นใจคนอื่น  การเป็นผู้บัญชาการอยากมาพบเราต้องพบได้ “ผู้บังคับบัญชาต้องทำตัวให้เป็นร่มโพธิ์ร่มไทร ต้องทำตัวให้เย็น อย่าทำตัวให้เป็นแบบกระบองเพชร เข้าใกล้โดนหนาม  ลูกน้องมาเมื่อไรต้องได้พบ อยู่ต้องได้พบ ได้พึ่งพา”

อภิชาต ศิริสิทธิ์ !!!

 

 

 

 

 

 

RELATED ARTICLES