มันเป็นยุคที่ตำรวจต้องปรับตัว
แต่ที่น่ากลัวคือ เรื่องของขวัญกำลังใจที่ถูกทำลายไปที่ละน้อย
“ผู้บังคับบัญชาต้องทำตัวเสมือนเป็นปุ๋ย อยู่ที่ไหนหญ้าก็งอกงาม แต่อย่าทำตัวเป็นยาฆ่าแมลง อยู่ที่ไหนหญ้าก็ตายหมด” พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ลั่นประโยคสำคัญตอนขึ้นนั่งเก้าอี้พิทักษ์ 1 เมื่อ 2 ปีก่อน
วันนี้สะท้อนแล้วว่าพวกไหนทำตัวเป็นเสมือน “ปุ๋ย”
พวกไหนทำตัวเป็นยาฆ่าแมลง
ทุบแท่งพนักงานสอบสวนสร้างความปั่นป่วนกันวุ่นวายลามถึงการแต่งตั้งโยกย้ายใส่ “ปลาผิดน้ำ” ทำงานกันไม่ได้
จากเดิมที่จะโตในสายงานขึ้นสู่ตำแหน่งผู้บังคับการสอบสวน ดูแลสำนวนคดีสำคัญตามความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง กลับปิดเส้นทางเจริญงอกงามของ ต้นธารกระบวนการยุติธรรม ทิ้งให้พวกเขาเผชิญชะตากรรมระส่ำระสาย
ผู้กำกับการ (สอบสวน) ที่แปะตามกองบังคับการสืบสวนตำรวจนครบาลและภูธรภาคเหมือนจับยัดลง “กรุ”ไม่มีงานทำ ทั้งที่หลายคนคันไม้คันมืออยากลงสนามช่วยสอบสวนคดี
ไม่ต่าง “ผู้กำกับคอนโด” หรือ ผู้กำกับการสอบสวน กองบังคับการตำรวจนครบาลพระนครเหนือ-ใต้-ธนบุรี ในอดีต
เพราะอำนาจหน้าที่ของกองบังคับการสืบสวนไม่มีอำนาจสอบสวนอยู่ในหน่วยตัวเอง
แปลกดีไหม
แท่งสายงานสอบสวนถูกทำลาย ส่วนแท่งสายงานสืบสวนยังไม่เป็นรูปเป็นร่างตามเจตนารมณ์เดิมในยุค พล.ต.ท.โสภณ วาราชนนท์ พล.ต.ต.ปรีชา ธิมามนตรี นักสืบรุ่นใหญ่ที่พยายามวางรากฐานหน่วยสืบสวนเป็นหน้างานเฉพาะทางเหมือนสายอื่น
ตั้งแท่นของบประมาณ อาวุธยุทโธปกรณ์ ยานพาหนะเต็มสูบ ก่อนจะกำเนิด กองบังคับการสืบสวนตำรวจนครบาล ขยายโครงสร้างไปยังกองบังคับการสืบสวนตำรวจภูธรภาค กองกำกับการสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัด
เปิดที่รองรับอัตรานักสืบและสร้าง “ครูแม่ไก่” สืบสายพันธุ์จากรุ่นส่งรุ่น
ปัจจุบันการแต่งตั้งโยกย้ายทำงุ่นงง นักสืบหลายคน “ถูกเตะ”กระเด็นไม่เป็นท่าไม่อยู่หน้างานอำนวยการ หน้างานสอบสวน
ทำปั่นป่วนไปทุกหน้างาน
ผลงานและโล่รางวัลไม่มีความหมาย ผู้เป็นนายก็ปกป้องไม่ไหว
อยากฝากถึงผู้อำนาจในการแต่งตั้งโยกย้าย “รักษาต้นไม้ไว้สักต้นได้ไหม” ปล่อยให้มันเจริญงอกงามผลิตดอกออกผลต่อสายพันธุ์ใหม่
ไม่ใช่จะส่งคน “ไม่เป็นโล้เป็นพาย” เหาะมาด้วยอาการ “หิวกระหาย” บ่อนทำลายไม้งามต้นนี้
ขืนเป็นแบบนี้อีกไม่กี่ปีมันก็คงตาย !!!