เรารักเพื่อนที่เพิ่งตายจากเราไป เราบูชาครูที่เพิ่งถูกฝัง สอนเราไม่ได้แล้ว เรากล่าวคำชมเชย ซึ่งเขาอาจปรารถนาได้รับตลอดเวลาที่เขามีชีวิตอยู่
“คุณรู้ไหม ทำไมเราจึงยุติธรรมและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กับคนตายได้มากกว่าคนเป็น เพราะเราหมดพันธะกับเขาแล้วน่ะซี” ประโยคทองจากนวนิยาย “La Chute” (มนุษย์สองหน้า) ผลงานของ“Albert Camus”นักเขียนขวัญใจตลอดกาลของนายตำรวจหนุ่มคนหนึ่ง
เจ้าตัวสะท้อนชีวิตจริงในเครื่องแบบผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ที่ประสบมาไว้น่าสนใจ
ขออนุญาตนำมาแชร์ให้อ่านกัน
ระหว่างปลายปี พ.ศ.2559-ปัจจุบัน ผมวิ่งรอกขึ้นโรงขึ้นศาลอยู่บ่อยครั้งมาก ไม่ใช่เพราะว่ามีจิตอาสา แต่เป็นที่รู้กันว่า
“ผมถูกทิ้งให้เช็ดขี้เช็ดเยี่ยว”
ในระหว่างห้วงเวลาดังกล่าวนั้น ผมยืนต่อหน้าผู้พิพากษาในคดีที่มีความสำคัญและมีอัตราโทษสูงทั้งหมด จำเลยราวๆ 20 คน ที่ผมเชื่อว่าศาลตัดสินประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิต
ถึงกระนั้น…หลังจากออกจากห้องพิจารณาคดีผมไม่เคยมีอารมณ์ “รักโลภโกรธหลงหรือสงสาร” กับใครในกระบวนการทั้งสิ้น
ถ้าจะสงสารคงสงสารตัวเอง ถือเสียว่าเป็นไปตามบุญทำกรรมแต่งของแต่ละคน
วิธีการพิจารณาคดีความในศาลนั้นได้พัฒนาไปตามกระแสสังคม
การเบิกความจะทำเหมือนเก่าคงไม่ได้ ไอ้ประเภทไม่เคยเตรียมตัว หลักฐานไม่รัดกุม ไม่ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่มาปรับใช้ ไม่พยายามหาหลักฐานที่ควรหามา หากินหาแดกแบบง่ายชอบแบบกินนิ่มๆ บางคนเลอะเลือน ไม่ฉะฉาน หรือแม้แต่มีสันดานฉุนเฉียวง่ายต่อการยั่วยุโทสะ
ที่สำคัญที่สุดคือ “คนแถลงข่าว” และ “คนได้หน้า” ไม่ได้มา!!!
สิ่งเหล่านี้สร้างความเสียหายและสูญเปล่าทางคดีมานักต่อนักแล้ว
เคยคิดอยากจะถ่ายทอดประสบการณ์ให้น้องๆหลายคนได้ศึกษาได้เป็นบทเรียน
แต่คิดไปคิดมา เราอาจจะยังไม่ถึง จึงขอเก็บเอาไปพ่นในวงเหล้าจะได้อรรถรสกว่า
เพราะสิ่งที่ทำมา…ไม่ได้มีความหมายอะไรมากมาย เทียบไม่ได้เลยกับการออกช่องโทรทัศน์แล้วมีนักข่าววิ่งตามเป็นพรวน