โศกนาฏกรรมซ้ำรอยซ้ำซากบนสมรภูมิรบนอกกติกาในดินแดนด้ามขวานนานเกิน 21 ปีแล้ว
รัฐบาลละลายงบมากมายมหาศาล ท้ายสุดแลกกับ “คราบน้ำตา”ของผู้สูญเสียจากเหตุการณ์ความรุนแรง
พิสูจน์ความล้มเหลวของเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย
ไม่มีใครอยากเห็นภาพกองเกียรติยศรรับร่างผู้วายชนม์คลุมด้วยธงชาติกลับบ้านเกิดอย่างสมเกียรติ
ไม่มีครอบครัวไหนอยากได้คำว่า “วีรบุรุษ” แต่ไร้ลมหายใจ
ไม่อยากสัมผัสก้อนเงินสวัสดิการและบำเหน็จเลื่อนชั้นยศ
ทุกครอบครัวอยากได้ชีวิตที่สูญเสียกลับคืนมาเหมือนเดิม
บรรยากาศ รับศพ พ.ต.ท.สุวิทย์ ช่วยเทวฤทธิ์ ครูใหญ่โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน บ้านตืองอ ช่างกลปทุมวันอนุสรณ์ 13 ตำบลศรีบรรพต อำเภอศรีสาคร จังหวัดนราธิวาส และ ด.ต.โดม ช่วยเทวฤทธิ์ ครูโรงเรียนเดียวกัน
พ่อลูกอยู่ในรั้วแม่พิมพ์ของนักรบชายแดน
เกิดขึ้นท่ามกลางความความเศร้าเสียใจของครอบครัว
นายปรีชา นวลน้อย รองผู้ว่าราชการจังหวัด และนายสมควร ปล้องอ่อน นายอำเภอกงหรา นำคณะไปรับศพลำเลียงจากเฮลิคอปเตอร์มาส่งสนามโรงเรียนกงหราพิชากร หมู่ 8 ตำบลคลองทรายขาว อำเภอกงหรา จังหวัดพัทลุง เพื่อไปประกอบพิธีทางศาสนาและฝังร่างที่มัสยิดบ้านหน้าวัง หมู่ 7 ตำบลคลองทรายขาว อำเภอกงหรา จังหวัดพัทลุง
ทั้งคู่ถูกกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบลอบวางระเบิดรถระหว่าวเดินทางในพื้นที่จนเสียชีวิตอย่างโหดเหี้ยม
เป็นพ่อลูกนักพัฒนาสอนเด็กนักเรียนไม่มีศัตรูคู่อาฆาตกับใคร แต่ทำไม “ไฟร้าย” ถึงต้อง “ทำลายชีวิต” ครูตำรวจตระเวนชายแดน
พ.ต.ท.สุวิทย์ ช่วยเทวฤทธิ์ ได้รับการเสนอชื่อเป็นครูผู้สมควรได้รับพระราชทาน “รางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี” และผ่านการพิจารณาให้ได้รับรางวัลในระดับ “ครูยิ่งคุณ” ประจำปี 2558 ของมูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี ร่วมกับสำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.) สำนักงานเลขาธิการคุรุสภา และกระทรวงศึกษาธิการ
เจ้าตัวยังได้รับรางวัล “ผู้ปิดทองหลังพระ” เมื่อปี 2560 จากงานประกาศรางวัล “คนค้นฅน อวอร์ด” ครั้งที่ 9 พลังของแผ่นดิน
เว็บไซต์ “มูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี” เคยลงบทสัมภาษณ์ของ พ.ต.ท.สุวิทย์ ช่วยเทวฤทธิ์ไว้เมื่อครั้งได้รับการเสนอชื่อและผ่านการพิจารณาให้ได้รับรางวัลในระดับ “ครูยิ่งคุณ” ประจำปี 2558 ขณะนั้นมียศเป็น “ร.ต.ต.สุวิทย์ ช่วยเทวฤทธิ์”
เป็นตำนานครูผู้ใช้ “ใจ” เข้าไปพัฒนาชุมชน แสงเทียนกลางควันปืน หยัดยืนเพื่อสร้าง “โอกาสทางการศึกษา”
“วาซูเด๊าะ ตูเบ๊ะ ไม๊ลูวา” เป็นภาษามลายูคำแรกที่ครูหนุ่มจากเมืองพัทลุงรู้จักและนำมาใช้เมื่อมาเริ่มต้นสอนหนังสือในชั้นอนุบาล 3 ที่โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนบ้านละโอ ชุมชนกลางป่าลึกของเทือกเขาคีรีบรรพต กระตุ้นให้เด็กๆ ทำการบ้าน
มีหมายความว่า “รีบทำให้เสร็จ จะได้ออกไปเล่นข้างนอก”
ด้วยเพราะเป็นศิษย์เก่าจากโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนในพื้นที่สีแดงของจังหวัดพัทลุงในวัยเด็ก ได้เห็นความยากลำบากของครูที่ทุ่มเทเพื่อให้เด็กๆ ได้รับโอกาสทางการศึกษา ทำให้เขาเป็นคำเรียกขานของเด็กๆ และชาวบ้าน ตัดสินใจทิ้งชีวิตโลดโผนในวัยหนุ่ม มุ่งหน้าเข้ามายังชุมชนกลางป่าที่แทบไม่มีใครรู้ภาษาไทย เพื่อสร้างอนาคตทางการศึกษาให้เด็กด้อยโอกาส ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จย่าฯ
“ผมตั้งใจไว้ตั้งแต่เด็กว่าสักวันจะเป็นครู อยากช่วยเหลือเด็กในพื้นที่ๆ ทุรกันดาร ข้ามาเป็นครูโดยได้สิทธิสอบบรรจุครูคุรุทายาท เมื่อได้จึงเลือกที่จะทำงานในพื้นที่ของจังหวัดนราธิวาส ที่ใครๆ ก็ไม่อยากมา แต่ผมกลับมองว่าเป็นโอกาสดีที่จะได้ทำงานสนองงานพระราชดำริของทุกพระองค์ได้อย่างเต็มที่”
เขาทุ่มเทและเสียสละความสุขส่วนตัวกว่า 20 ปีเพื่อช่วยเหลือเด็กนักเรียนด้อยโอกาสในพื้นที่ทุรกันดารห่างไกลและเสี่ยงภัยอันตรายให้ได้รับโอกาสทางการศึกษา พัฒนาเป็นคนเก่งและเป็นคนดี บนวิถีแห่งความพอเพียงตามแนวพระราชดำริ
ทำให้ได้รับการเสนอชื่อเป็นครูผู้สมควรได้รับพระราชทาน “รางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี” และผ่านการพิจารณาให้ได้รับรางวัลในระดับ “ครูยิ่งคุณ” ประจำปี 2558 ของมูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี ร่วมกับสำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน สำนักงานเลขาธิการคุรุสภา และกระทรวงศึกษาธิการ
การเริ่มต้นทำหน้าที่ “ครู” ในพื้นที่ที่แทบไม่มีใครใช้ภาษาไทย และไม่มีใครเห็นคุณค่าของการเรียนหนังสือ ดูเหมือนว่าจะเป็นอุปสรรคใหญ่มากกว่ามากกว่าการสอน เพราะถ้าไม่มีคนเรียนครูก็ไม่รู้จะสอนใคร ดังนั้นสิ่งแรกที่เขาคิดในตอนนั้นคือทำอย่างไรก็ได้ที่จะเปลี่ยนทัศนคติความเชื่อของชุมชน
“ผมมาจากพัทลุง พูดมลายูก็ไม่ได้ เลยคิดว่าทำยังไงให้เราสนิทกับเขาก่อน ก็ไปคลุกคลี โชคดีที่ผมเป็นมุสลิมก็ใช้หลักทางศาสนาโดยไปมัสยิดบ่อยขึ้น ผู้เฒ่าผู้แก่ในชุมชนเจ็บป่วยไม่สบายก็ไปเยี่ยม บอกกับชาวบ้านตลอดว่าเรามาเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของเด็กและของทุกคนในชุมชน เอาเรื่องของอาชีพเข้าไปจับ เรื่องของเศรษฐกิจพอเพียง แนะนำให้ชาวบ้านปลูกพืชผักสวนครัวเพื่อลดรายจ่าย ประสานหน่วยงานต่างๆ เข้ามาสนับสนุนส่งเสริมพัฒนาอาชีพในด้านต่างๆ ใช้กระบวนการเหล่านี้มาสนับสนุนแทนที่จะไปพูดเรื่องการศึกษาอย่างเดียว” ครูตำรวจตระเวนชายแดนบอกไว้
เขาใช้โอกาสในช่วงที่เกิดวิกฤติหรือปัญหาต่างๆ ขึ้นกับคนในชุมชนเป็นโอกาสในการเข้าถึงหัวใจของคนในชุมชน โดยช่วยเหลือเขาทุกด้าน ทุกเรื่องในชุมชน ทุกเรื่องในวิถีชีวิตของชาวบ้าน
นอกจากเป็นแม่พิมพ์ให้เด็กในถิ่นทุรกันดารแล้ว เขายังเป็นต้นแบบให้ลูกชายทั้งสองคนเจริญรอยตามเป็นครูตำรวจตระเวนชายแดน เพื่อช่วยเหลือเด็กด้อยโอกาสใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ให้ได้รับโอกาสทางการศึกษาเช่นเดียวกับ “พ่อ
ความสูญเสียในครั้งนี้มีราคามากเกินกว่าจะประเมินค่าด้วย “คำสดุดี” และเบี้ยปูนบำเหน็จหลังหมดลมหายใจ