“หลังจากผมออกจากราชการ ผมยังคิดว่า ผมทำงานดีกว่าเจ้าหน้าที่เสียอีก”

อดีตนายตำรวจประวัติชีวิตโชกโชนเจอมรสุมรุมเร้าต้องลาออกจากราชการกลับมาลงสนามการเมืองท้องถิ่นพัฒนาถิ่นเกิด

พ.ต.ต.ไซด์ยิดอันวา อัลอิดรุส นายกเทศมนตรีตำบลยะหริ่ง จังหวัดปัตตานี ลูกหลาน พระยาพิพิธ เสนามาตยาธิบดีศรีสุรสงคราม (นิโวะ อับดุลละบุตร) เจ้าเมืองยะหริ่ง จบนักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่น 38 เพราะชอบมาตั้งแต่เด็ก ก่อนบรรจุลงเป็นรองสารวัตรสอบสวน สถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองยะลา ยังไม่ทันรับกระบี่ส่งให้ไปเป็นหัวหน้าหน่วยปฏิบัติการพิเศษอยู่กรงปินัง กำลังเป็นพื้นที่สีแดง เริ่มปฏิบัติการล่าโจรอย่างเดียว

นายกเทศมนตรีเชื้อสายเจ้าเมืองยะหริ่งเล่าว่า ต้องนำกำลัง 1 ชุดปฏิบัติการไปดักซุ่ม สับเปลี่ยนกำลังกันทุก 15 วันสลับกัน เรียกได้ว่า รบตั้งแต่ตอนนั้นเลย อยู่ประมาณ 1 ปีกลับมาทำหน้าที่พนักงานสอบสวนแล้วโยกไปโรงพักยะหา เขตติดต่อบันนังสตา ก่อนมาอยู่เมืองปัตตานี แล้วกลับมาเป็นรองสารวัตรปราบปรามเมืองยะลา

เจ้าตัวบอกว่า จังหวะนั้นท่านพิชัย สุนทรสัจบูลย์ ย้ายจากอีสานมาเป็นผู้บังคับการภูธรเขต 12 จึงชวนไปเป็นนายเวร เพราะท่านต้องการมวลชน อยากได้คนพื้นที่มาช่วยงานมวลชนว่า ทำอย่างไรไม่ให้มีผลกระทบเกิดความรุนแรงในพื้นที่ ก็เข้าถึงชาวบ้าน เหตุการณ์ช่วงนั้นถือว่า ไม่รุนแรงเท่าไร หลังจากนั้น ได้รับแต่งตั้งให้เป็นสารวัตรสืบสวนเมืองยะลา ตั้งใจทำงานเต็มที่ อยู่ยะลานานจนถูกขึ้นบัญชีดำเป็นผู้มีอิทธิพล

“เขามองว่า เพราะผมรู้จักคนเยอะ รู้จักนักการเมือง บางคนก็อยู่ฝ่ายการเมืองตรงข้าม ก็หาว่าผมเป็นผู้มีอิทธิพล ก็คนของรัฐนั่นแหละ ผมอยู่กับนายมีชัย นุกูลกิจ เรียกผมไปผมบอกว่า เขาจองเวรจองกรรมอะไรหนักหนา ผมว่า น่าจะเป็นเรื่องที่ผมไปจับบ่อน ไปจับอะไรทุกอย่าง บางทีเราเป็นคนทำงานตรงไปตรงมา ไม่มีอะไรหรอก” พ.ต.ต.ไซด์ยิดอันวา รำลึกความหลัง

เขาบอกว่า สมัยก่อนท่านศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล อยู่กองกำกับการ 5 กองปราบปราม เวลาเข้าพื้นที่ยะลา ก็จะสะกิดเรา เรียกใช้ให้ไปจับเพราะคนอื่นท่านไม่ไว้ใจ ที่สำคัญ คือ เราไม่ได้มีส่วนได้เสียอะไรทุกอย่างในพื้นที่ พอมีเรื่อง ท่านมีชัยเลยบอกให้ย้ายไปก่อน ไปอยู่สืบเมืองสตูล มีเวลาปรับปรุงโรงพัก ก่อนมาอยู่ที่ควนโดน บริหารจัดการปรับปรุงโรงพักใหม่หมด ไม่ได้เอาเงินของหลวงสักบาท อาศัยพรรคพวกจากยะลา ขอให้ช่วยเหลือ ก่อนใช้หลักมวลชนปกครองลูกน้อง และคนพื้นที่ตรงนั้น

“ทุกวันศุกร์ ผมจะไปละหมาด พาตำรวจมุสลิมไปช่วยบรรยายสร้างความเข้าใจระหว่างตำรวจกับประชาชน จากที่เมืองก่อนควนโดนชาวบ้านมักเดินขบวนขับไล่ตำรวจ ตอนหลังก็เข้าใจการทำงานของตำรวจ นักการเมืองท้องถิ่นที่เคยเป็นตัวตั้งตัวตีเดินขบวนก็เริ่มเข้าใจ เพราะแต่ก่อนตำรวจใช้ไม้แข็ง ไม่เข้าใจมวลชน แต่ตอนหลังเราได้ใช้หลักตรงนี้ก็ไม่มีอะไร ทำได้ 3 เดือน นายนั่งเฮลิคอปเตอร์มา ถามว่าอยู่ได้ไหม ก็บอกว่า อยู่ไม่ได้ เพราะไม่มีงานให้ทำ”

ต่อมา พ.ต.ต.ไซด์ยิดอันวา ย้ายกลับไปอยู่สำนักงานมีชัย นุกูลกิจ หัวหน้าตำรวจภูธรภาค 9 เดินงานมวลชนตามถนัด ได้รับความไว้วางใจให้เป็นนายตำรวจประสานกับประเทศมาเลเซีย ก่อนมารู้จัก มาโนช ไกรวงศ์ นายที่ดีอีกคน “แกสอนผมว่า เอ็งอย่าถือพระองค์เดียว ผมยังจำได้ ท่านมาโนชกับผมเคยจับผู้ต้องหาคดีเรียกค่าไถ่ลูกเจ้าของโรงแรมที่ปาดังเบซาร์ ไปขังที่ยะลา ช่วยเหยื่อออกมาได้สำเร็จ แต่พอนายไม่อยู่ รู้สึกจะเคว้งคว้าง”

ถึงกระนั้นก็ตาม เขาถูกวางตัวเป็นสารวัตรสืบสวนโรงพักสะเดา สงขลา แต่ด้วยอิทธิพลทางการเมืองสารพัดพาให้เขาเจอมรสุม หลังจากอยู่ได้ปีเดียว พ.ต.ต.ไซด์ยิดอันวายอมรับว่า ความเป็นธรรมมันไม่มี โดนแกล้ง รู้สึกน้อยใจ โดนการเมืองเล่นงาน พอเจอนายไม่เข้มแข็ง แม้หลายคนก็ช่วยนะ แต่มีพวกเหนือนายเลยเอาไม่อยู่ ถูกย้าย 24 ชั่วโมงขึ้นเหนือไปเชียงใหม่ พ่วงท้ายโดนตั้งกรรมการ

อดีตสารวัตรสืบสวนสะเดาตัดพ้อเรื่องราวในอดีตว่า เดินทางไปถึงก็บอกรุ่นพี่นักเรียนนายร้อยรุ่น 35 เลยว่า ขอลาพักร้อนก่อน ถึงตอนเช้าลงประจำวันก็ขออนุญาตลาเลย แล้วตัดสินใจยื่นลาออก พอดีนายที่นับถือเดินทางไปต่างประเทศ ไม่มีเวลาปรึกษา คิดแค่ว่า ไม่อยู่ดีกว่า แต่อนาคตก็ยังไม่คิดว่าจะไปทำอะไร รู้ว่า เราอยู่ได้ น้องชายก็อยู่มาเลเซีย ไม่น่ามีปัญหา

“พอผลสอบออกมาเรียบร้อยพ้นมลทิน ผมตัดสินใจไม่ทำเรื่องขอกลับเข้ารับราชการ จบแล้วจบเลย พอดี ทวีศักดิ์ อับดุลบุตร ส.ส.ปัตตานี หลายสมัยเป็นญาติกัน ผมเลยไปทำธุรกิจส่วนตัวกับเขา หลังจากผมออกจากราชการ ผมยังคิดว่า ผมทำงานดีกว่าเจ้าหน้าที่เสียอีก และมองว่า มาโตทางการเมืองดีกว่า เอาจริงๆ ก็เลยกลับมาเล่นการเมืองที่บ้านเกิด มาสมัครเป็นนายกเทศมนตรี”

ก่อนที่จะมานั่งรับบทผู้นำนักการเมืองท้องถิ่น พ.ต.ต.ไซด์ยิดอันวา ได้ศึกษามาอย่างดี เพราะเคยเป็นสตาฟฟ์นักการเมืองใหญ่ ได้ผู้หลักผู้ใหญ่ไว้วางใจสนับสนุน มีพรรคพวกเพื่อนฝูงหนุนหลัง กระทั่งทำคะแนนล้มแชมป์เก่าเป็นนายกเทศมนตรีตำบลยะหริ่งตั้งแต่สมัยแรกที่ลงชิงเก้าอี้ แม้จะทิ้งพื้นที่ไปนาน แต่อาศัยงานมวลชนที่ตัวเองถนัด

“คือ เราต้องอาศัยหลักมวลชน คนเราต้องมีทั้งบู๊ ทั้งบุ๋น เมื่อมีโอกาสได้กลับมาพัฒนาบ้าน ตั้งแต่มาอยู่ตรงนี้เมื่อ 4 ปีก่อนก็มีความเปลี่ยนแปลงแล้ว เมื่อก่อนไม่เท่าอย่างนี้ ซื้อที่ดินสร้างสำนักงานเทศบาลไม่ได้ ผมมาอยู่ก็จัดการเลย สภาอนุมัติงบประมาณ 8 ล้านบาท ผมซื้อที่ดิน 5 ไร่ได้ 7.5 ล้านบาท เหลือเงินอีก 5 แสนบาทนำเสนอให้กับคณะกรรมการพิจารณาเกี่ยวกับการก่อสร้างสำนักงานของผมได้ เราต้องอาศัยเทคนิคการสอบสวนเอามาช่วยได้ ใช้หลักธรรมาภิบาล เมื่อก่อนทำไม่ได้ เพราะเขาไม่ได้ใช้หลักตรงนี้”

หลานเจ้าเมืองยะหริ่งอธิบายอีกว่า ยังเป็นคนแรกที่ทำโครงการการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ป่าชายเลน ที่สมบูรณ์ เกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ จะเหมือนเกาะลังกาวี มีนกเหยี่ยว กลางคืนมีหิ่งห้อย กำลังต่อเรือเตรียมพานักท่องเที่ยวเข้าชม ส่วนปัญหาความรุนแรงในพื้นที่ คนยะหริ่งจะเป็นคนไม่ชอบความรุนแรง แต่ไหนแต่ไร เพราะเป็นเมืองเก่า อยู่อย่างสงบมานาน แต่สมัยก่อน มีผู้มีอิทธิพลมาก พวกกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ก็แก่ตายกันไปบ้าง ไปตามอายุขัย แต่ทำยังไง อย่าให้คนรุ่นหลังมามีอิทธิพลอีก

“จะว่าไปแล้วปัญหาความไม่สงบตั้งแต่อดีต มีคนพยายามดึงเรื่องศาสนามาเป็นความขัดแย้ง ทั้งที่ไม่ใช่เลย ตนจบมัธยมโรงเรียนปอเนาะ เรียนคัมภีร์อัลกุรอ่าน ยังข้ามไปกินข้าววัด ศาสนาไม่เคยแตกแยก เราอยู่กันแบบชาวบ้านปกติธรรมดา ไม่มีแบ่งพรรค แบ่งพวก กลมกลืนเข้ากันได้”พ.ต.ต.ไซด์ยิดอันวามองแบบนั้น

RELATED ARTICLES