บรรยากาศเหมือน “ข้อสอบรั่ว” รู้คำตอบล่วงหน้า
ก่อนวันชี้ชะตาตัดสินฎีกาคดี “สุเทพ เทือกสุบรรณ” อดีตรองนายกรัฐมนตรีสมัย “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ยื่นฟ้อง “ธาริต เพ็งดิษฐ์” เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งอดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา
อีกฝ่ายพยายามดิ้นก้มหัวยอมขมาลาโทษจากพิษน้ำลายที่พ่นออกไป
หลังสัมภาษณ์กล่าวหารองนายกรัฐมนตรีคนสำคัญของพรรคประชาธิปัตย์ในสมัยนั้นเป็นผู้สั่งให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทำสัญญาก่อสร้างอาคารที่ทำการ สถานีตำรวจ 396 แห่ง
จากเป็นรายกองบัญชาการภาคให้เป็นรวมสัญญาการจัดซื้อจัดจ้างเพียงรายเดียว
ทำให้ บริษัท พีซีซี ดิเวลล็อปเม้นท์ แอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด เป็นผู้ชนะการประมูลจนเกิดชนวนปัญหา “โรงพักร้าง” ไม่สามารถก่อสร้างได้เสร็จทันตามกำหนด
คำให้สัมภาษณ์ดังกล่าวล้วนเป็นเท็จ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” ในฐานะโจก์ได้รับความเสียหาย เสื่อมเสียชื่อเสียง
ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาวันที่ 26 มีนาคม 2558 ให้ยกฟ้อง
เนื่องจากเห็นว่า การแถลงข่าวของจำเลยเป็นการตรวจสอบโครงการก่อสร้างโรงพัก และให้ความเห็นในทางกฎหมายในฐานะอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ไม่ได้มีการยืนยันข้อเท็จจริงว่า โจทก์ได้กระทำการทุจริต
การแถลงข่าวและให้สัมภาษณ์ของจำเลยเป็นการสรุปความคืบหน้าของคดีตามพยานหลักฐาน ในฐานะเป็นเจ้าพนักงานที่ได้ปฎิบัติตามอำนาจหน้าที่ และเป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต ไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท
ต่อมาวันที่ 3 พฤษภาคม 2559 มีคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ยกฟ้องเช่นกัน
เมื่อเห็นว่า พยานหลักฐานโจทก์ยังไม่มีน้ำหนักให้รับฟังเพียงพอได้ว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามที่โจทก์ฟ้อง
“สุเทพ เทือกสุบรรณ” จำเป็นต้องยื่นสู้ต่อในชั้นศาลฎีกา
ปรากฏว่า อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ที่ตกเป็นจำเลยเกิด พลิกลิ้น ขอยื่นคำแถลงต่อศาลฎีกาใหม่
จากที่เคยปฏิเสธต่อสู้คดี ขอเป็นให้การรับสารภาพแทน
แถมมีการส่งทนายความออกแถลง ขอโทษคู่กรณี พร้อมยินดีจะเดินทางไปขอขมาด้วยตัวเอง และยังได้มอบอำนาจให้ทนายความนำเงิน 100,000 บาท วางต่อศาลเป็นการแสดงความประสงค์จะเยียวยา ฝ่ายโจทก์
เพื่อเป็นการบรรเทาผลร้ายจากความเสียหายที่จะเกิดขึ้นในคดีความ
สุดท้าย “ศาลฎีกา” อ่านคำพิพากษาระบุว่า เมื่อศาลตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันเเล้ว เห็นว่า การเเถลงข่าวเรื่องเกี่ยวกับเสนอราคาในการประมูลโครงการก่อสร้างโรงพัก 396 เเห่งของจำเลยเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทโจทก์ตามฟ้อง
ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้นศาลฎีกาไม่เห็นด้วย
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุกจำเลยเป็นเวลา 1 ปี ไม่รอลงอาญา
กรณีจำเลยขอถอนคำให้การ แล้วขอให้การเป็นรับสารภาพ ศาลฎีกาเห็นว่า ไม่อาจถอนคำให้การได้ในชั้นฎีกานี้จึงให้ “ยกคำร้อง”
สิ้นสุดเวลาอิสรภาพของอดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ
ส่วนเรื่องของ “โรงพักร้าง” ส่อแววนักการเมืองจะพ้นผิดด้วยเช่นกันไหม ???