ก้าวที่ 49 โรงพักอาถรรพณ์

รรยากาศภายในร้านบานาน่าบีซ สาขา 2 ซอยอารีย์ 2 พหลโยธิน เย็นย่ำของวันเสาร์ ทำวัยรุ่นคนทำงานคึกคัก

ผมมักเลือกทาวเฮาส์กะทัดรัดดูดีกลางใจเมืองแห่งนี้เป็นที่รวมสมัครพรรคพวกเพื่อนเก่าห้องเดียวกันสมัยเรียนมัธยมปลายเป็นที่พบปะสังสรรค์กันเป็นประจำ

มันเป็นเสาร์ต้นเดือนที่ลูกค้าแน่นร้าน หลายโต๊ะพ่นควันบุหรี่ทำผมเริ่มหงุดหงิด

“ห่าเอ๊ย”

“เป็นอะไรมึง” เพื่อนเห็นสีหน้า

ผมมองไปที่เมียสาว เธอกำลังท้องแก่ และเริ่มทนไม่ไหวกับควันพิษที่ฟุ้งกระจายเต็มร้าน นานครั้งที่ผมจะชวนเธอมาร่วมวงสนทนากับบรรดาเพื่อนเก่า

“ใจเย็นเพื่อน” บัญญัติ เทียนสวัสดิ์ เตือนสติ

หนุ่มโต๊ะข้าง ๆ ยังคงปล่อยหมอกสีเทาฉลุย ไม่สนหญิงสาวอีกโต๊ะที่รู้สึกอึดอัด ผมกระดกเหล้าเข้าปาก รสชาติขมหนักขึ้น เขย่าแก้วใสบางเหลือเพียงน้ำแข็งชูขึ้นไปมา วีระ ไกรกาบแก้ว เพื่อนรักนักชงกำลังจะหยิบเอาไปริน

ผมจงใจโยนโครมเสียงแตกลั่นร้าน เมียรักดึงแขนพยายามระงับอารมณ์ผมไม่ให้บานปลาย เพลงในร้านมันดังเกินกว่าเสียงแก้วกระทบพื้น ไม่มีใครรู้ร้อนรู้หนาว วงน้ำเมาข้างโต๊ะยังคงเต๊ะจุ๊ยระบายควันบุหรี่น่าตาเฉย

“กูกลับก่อนล่ะกัน” ผมลุกจูงมือเธอ เพื่อนทุกคนรู้สถานการณ์ ไม่มีใครยืนกรานที่จะยื้อยุด

“โชคดีเพื่อน”

พักนอนตั้งสติเพื่อตื่นไปเข้าเวรบ่ายในวันรุ่งขึ้น ความเคียดแค้นสั่งสมติดหัว มันไม่ใช่กลิ่นควันบุหรี่ของคืนวันนั้นอย่างเดียว แต่เป็นรอยเขี้ยวที่ถูกฝังจมสมองจากความผิดพลาดในการทำงาน กระทั่งโดนเจ้านายเรียกไปเฉ่งยับ

เส้นทางนักหนังสือพิมพ์ฉบับยักษ์ใหญ่ระดับประเทศของผมท่าจะไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเสียแล้ว

“ไปไหน” คนขับรถตัวดีมานั่งประจำการณ์ในรถตระเวนช้าอีกตามเคย

“บางเขน”

นั่งอยู่ในห้องสืบสวนโรงพักตลอดเย็น ไม่ได้ขยับเคลื่นเปลี่ยนสถานที่ ร้อยตำรวจเอกธวัชชัย คำแหงพล รองสารวัตรสืบสวน จิบเบียร์อยู่กับลูกน้อง ตำรวจนอกเครื่องแบบบางคนหลบไปตั้งวงนับเลขอยู่หลังห้อง เป็นกิจวัตรประจำที่ชาชินของตำรวจโรงพักชานกรุงทุ่งบางเขนแห่งนี้

“น้องเอาเบียร์ไหม” ผู้กองหนุ่มยิ้มทักทาย

“ไม่ครับพี่ ขอบคุณมาก”

ร้อยตำรวจเอกนรินทร์ สุชาติ ร้อยตำรวจเอกสุรพล รื่นสุข สลับเดินเข้าออกบ่นอู้อี้ไปตามเรื่อง เย็นวันอาทิตย์ห้องสืบสวนโรงพักบางเขนคึกคัก อาจเนื่องมาจากวงน้ำเมาคลุกเคล้าด้วยเกมรัมมี่ฆ่าเข็มนาฬิกา พันตำรวจตรีสุเทพ คงกล่อม สารวัตรสอบสวน ร้อยตำรวจเอกพิษณุ พ่วงพร้อม รองสารวัตรสอบสวนยังเจียดเวลาออกเวรโผล่เข้าโม่มิตรภาพในหมู่นักสืบนอกเครื่องแบบด้วย

ทำให้ผมไม่เหงา และรักจะยึดโรงพักแห่งนี้เป็นฐานบัญชาการ เมื่อกองทัพสีบานเย็นเดลินิวส์ คู่แข่งแผงตลาดน้ำหมึกหลบไปตั้งกองกำลังซ่องสุมอยู่โรงพักดอนเมือง

“มันต้องวัดกันไป” ผมคิดลำพัง แผนแค้นต้องชำระคงระรัวกลองรบอยู่ในหัว

“จะกลับหรือยัง” คนขับรถหมดหน้าตักจากวงไพ่ป๊อกเดินออกมาเร่งเร้า ทั้งที่เหลือเวลาทำงานอีกเกือบ 2 ชั่วโมง

“แป๊บนึง” เสียงผมกระด้าง “รอดูบอลจบก่อน” ตาจ้องทีวีถ่ายทอดสดฟุตบอลดิวิชั่น 1 ของอังกฤษ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ทีมรักกำลังตกต่ำห่างหายความสำเร็จจากแชมป์สูงสุดของประเทศนานกว่า 6 ปี นับตั้งแต่เคนนี่ ดัลกลิช โบกลาเก้าอี้ผู้จัดการทีม การมาของแกรม ซูเนสส์ ทำระบบบูทรูมของสโมสรพัง และเมื่อรอย อีแวนส์ ลูกหม้อรับหน้าที่สานต่อก็ยังบินไม่ขึ้น

เกมดวลเดือดในเย็นวันอาทิตย์ไม่ทันหมดครึ่งแรก ศูนย์วิทยุโรงพักบางเขนแจ้งเหตุพบศพตำรวจภายในห้อง 108/574 ซอยยาสูบ ถนนแจ้งวัฒนะ แขวงอนุสาวรีย์ เขตบางเขน กรุงเทพมหานคร

“บางเขน20 30 ว.10 ที่เกิดเหตุ” เจ้าหน้าที่ประจำห้องวิทยุขานต่อ

“ไปกันน้าอ๊อด แค่นี้เอง” ผมว่า

ระยะทางจากโรงพักไปที่เกิดเหตุใช้เวลาไม่ถึง 5 นาที พบร่างจ่าสิบตำรวจวิรัตน์ สวาทพงศ์ อายุ 40 ปี สวมเสื้อคอกลมสีขาว กางเกงกีฬาขาสั้นสีดำ นอนคว่ำหน้าอยู่บนเตียงนอน สภาพไม่มีร่องรอยบาดแผลถูกทำร้าย สันนิษฐานน่าจะหัวใจวายตาย

จัดแจงถ่ายรูปแล้วเดินออกมาคุยกับเมตตา สวาทพงศ์ ภรรยาวัย 25 ปี ได้ความว่า อยู่กินกันมา 9 ปี สามีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ออกกำลังกายประจำ สามีเป็นคนไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ และไม่มีโรคประจำตัว ก่อนตายเพิ่งออกเวรมาตอนเที่ยงคืน พอเช้าฝ่ายภรรยาออกไปทำงานยังเห็นปกติทุกอย่าง กลับมาบ้านตอนค่ำเคาะประตูเรียกอยู่นาน เห็นผิดสังเกตจึงให้คนข้างบ้านพังประตูเข้าไปพบว่า สามีกลายเป็นศพนอนแข็งทื่อแล้ว

“ตายเองนี่หว่า” อ๊อดโชเฟอร์ส่ายหน้า “เสียเที่ยวเลย ถึงว่า ฉบับอื่นไม่มา” ประโยคหลังแกมประชดผมราวกับตื่นตระหนกเกินเหตุ

“ผมว่าเป็นอาถรรพณ์ของเจ้าพ่อทองคำนะ” เพื่อนตำรวจนายหนึ่งของผู้ตายมาระบายกับผม

“ยังไงหรือพี่” ผมหูผึ่ง

“ใช่ว่ะ” อีกคนเข้ามาผสมโรง

“ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อ” สิบตำรวจเอกวิรัตน์ บุญรัตน์ สายตรวจเพื่อนร่วมงานออกความเห็นชวนขนลุก เขาเล่าว่า เมื่อประมาณกลางเดือนมกราคมที่ผ่านมา ขณะที่ตนพร้อมเพื่อนไปรักษาความสงบหน้าห้างโรบินสัน สะพานใหม่ พบหญิงวัยกลางคนเข้ามาทัก ถามว่า ตนกับเพื่อนอยู่โรงพักบางเขนใช่หรือไม่ เมื่อตนตอบว่าใช่ หญิงคนนั้นรีบบอกทันทีว่า ขอให้มีผู้หน้าที่รับผิดชอบโรงพักบางเขนช่วยจัดตั้งศาลหน้าโรงพักเสียใหม่ เพราะศาลที่ตั้งปัจจุบันไม่ถูกต้อง เป็นศาลเก่าแก่ ย้ำหนักย้ำหนา หากละเลยไม่ยอมทำจะมีตำรวจโรงพักตายไปเรื่อย ๆ

“พี่เชื่อหรือ” ผมว่า

เขาพยักหน้าให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ตั้งแต่ต้นปี 2538 เป็นต้นมาจนถึงปี 2539 ปีนี้ มีตำรวจโรงพักบางเขนทยอยตายลงด้วยสาเหตุต่าง ๆ ถึง 9 ศพ เฉพาะปี 2538  มีจำนวน 6 ศพ พอขึ้นปี 2539 แค่เดือนเศษก็ร่ำลือกันว่า เจออาถรรพณ์เจ้าพ่อทำตายไปแล้ว 3 ศพ โดยกลางเดือนมกราคม จ่าสิบตำรวจสุพจน์ พันใจธรรม ประจำฝ่ายบัญชีและการเงินของโรงพักหัวใจวายตายกะทันหัน ต่อมาต้นเดือนกุมภาพันธ์ สิบตำรวจตรีวราพงษ์ บุญเสริม ทำหน้าที่สายตรวจนำปืนพกขึ้นมาเช็ดตรวจตราและแต่งเครื่องแบบกำลังจะไปเข้าเวร ปืนเกิดลั่นเสียชีวิตในห้องพักแฟลตตำรวจซอยรามอินทรา 39 มีจ่าสิบตำรวจวิรัตน์ ตกเป็นเหยื่ออาถรรพณ์รายล่าสุด

อาการขนลุกขนพองจากความหวาดกลัวของเหล่าตำรวจโรงพักบางเขน ทำให้ผมขนลุกขนพองจากความกระหยิ่มยิ้มมากกว่าความกลัว ผมกำลังได้ข่าวเดี่ยวเด็ดยอดสางเพลิงแค้นที่สุมอกผ่านมาเพียงสัปดาห์เดียว

ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับรีไรเตอร์และหัวหน้าข่าวหน้า 1 จะมองเหมือนผมไหม

โทรศัพท์ส่งรายละเอียดข่าวเสียงตื่นเต้น ลุ้นระทึก ไม่มีอาการของรีไรเตอร์ถอนหายใจปฏิเสธรับข่าว เรื่องราวฉากแปลกประหลาดภายในโรงพักเข้าสไตล์กับหัวหนังสือพิมพ์ชาวบ้านอย่างไทยรัฐพอดี

กรอบบ่ายประจำวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2539 ข่าวพาดหัวไม้ตัวเบิ้ม “สน.อาถรรพณ์ ตำรวจผวา 13 เดือนกิน 9 ศพ” โปรยข่าวระบุ ลืออาถรรพณ์ “ศาลเจ้าพ่อทองคำ” เฮี้ยนสุดฤทธิ์สุดเดช กินศพตำรวจโรงพักบางเขน แค่ 13 เดือนตายแล้ว 9 ศพ เป็นศาลประจำโรงพักเก่าแก่ หญิงซินแสชี้ให้ยกศาลใหม่เพื่อลบอาถรรพณ์ แต่ไม่มีใครเชื่อ ล่าสุด สิบเวรวัยแค่ 40 ปี ไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ และไม่มีโรคประจำตัวใด ๆ ตายลงอย่างเป็นปริศนา ก่อนหน้านั้นก็มีตำรวจสังเวยสิ่งลี้ลับทั้งอุบัติเหตุ หัวใจวาย และทำปืนลั่นจนเสียชีวิตไปทีละนาย ตำรวจที่เหลือผวาสุดขีด

“เฮ้ย ไอ้โต้ง” หัวหน้าสุชิน ติยะวัฒน์ ที่เคยคาดโทษผมไว้เมื่อ 7 วันก่อนหน้าเรียกลั่นกองบรรณาธิการ “ดีมากโว้ย ตามต่อเลยนะ นี่แหละข่าวไทยรัฐของแท้” แกโยนยาหอม

“ครับหัวหน้า” ผมรับคำแก้มปริ

กลับเข้าโรงพักบ่ายวันต่อมา ตำรวจจับกลุ่มวิจารณ์สนั่น นักข่าวหัวสีบานเย็นนั่งในห้องสายสืบชักสีหน้าส่งสายตาค้อน ผมเดินเลี่ยงไปถ่ายภาพศาลเจ้าพ่อทองคำ ข้างห้องสืบสวน ขนลุกเกรียว มันโดนปล่อยรกร้าง ต้นไม้ขึ้นเกะกะขาดความดูแลเอาใจใส่

ยกมือไหว้ขอขมา “ผมไม่ได้ตั้งใจลบหลู่ท่านนะครับ” เสร็จแล้วเดินไปบ้านไม้ด้านหลัง

“ผู้กำกับอยู่ไหม”

ตำรวจที่กำลังเช็ดรถประจำตำแหน่งบางเขน 1 ทอดสัญญาณไฟเขียว “อยู่ข้างบนเลย”

พันตำรวจเอกชาลี เวชรัชต์พิมล นั่งเซ็นแฟ้มงานยามเย็น เงยหน้ามองผมแล้วทักทันที

“อ้าวว่า ไงหลานชาย”

“สวัสดีครับอา”

“พ่อแม่สบายดีไหม แล้วหลานมีลูกกี่คนแล้ว ขอโทษด้วยไม่ได้ไปงานแต่งงาน”

ญาติของแม่ผมร่ายยาว “สบายดีครับ” ผมลำดับ “กำลังท้องอยู่ครับ ไม่เป็นไรครับอา”

“ฝากความคิดถึงพ่อกับแม่ด้วย”

“ครับอา”

“แล้วเป็นยังไง มายังไงล่ะ” พันตำรวจเอกหัวหน้าโรงพักน้ำเสียงดุ แต่แฝงด้วยความเอ็นดูลากเข้าประเด็น

“ผมจะถามอาเรื่องเจ้าพ่อทองคำครับ อาเชื่อไหม”

เขาพยายามเรียบเรียงคำพูด ความเป็นอาหลานสิ้นสุด เปลี่ยนบทมาเล่นตำแหน่งแหล่งข่าวกับนักข่าว “เรื่องนี้หากหลายฝ่ายเรียกร้องให้เปลี่ยนที่ตั้งของศาลเจ้าพ่อทองคำใหม่ ก็ไม่มีปัญหา ใครอยากทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น หากเห็นว่า เป็นสิ่งที่ถูกต้อง ทำแล้วสบายใจ จะดำเนินการให้ แต่ต้องปรึกษาพราหมณ์ที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องนี้มาดูแลสถานที่ที่เหมาะสมก่อน”

พันตำรวจเอกชาลีเปิดเผยอีกว่า ปกติที่ผ่านมา ครอบครัวตำรวจร่วมทำบุญ ทำกุศล นิมนต์พระมาในเนื่องโอกาสสำคัญเป็นประจำ เช่น วันขึ้นปีใหม่ หรือวันตำรวจ วันเด็ก วันสงกรานต์ และยังอนุญาตให้ชาวบ้านที่ต้องการนำลิเกมาเล่นแก้บนได้ตามสบายอีกด้วย ส่วนเรื่องที่มองกันว่า ตำรวจตายติดกันถึง 9 ศพในรอบปี ตนว่า น่าจะเป็นเรื่องของฟ้าลิขิตมากว่า ทุกคนล้วนเสียชีวิตในลักษณะตามธรรมชาติ เรื่องลึกลับอาถรรพณ์นั้นขึ้นอยู่กับตัวเองมากกว่า ตนผ่านการล้มลุกคลุกคลานมาตลอดก็ไม่เห็นมีอะไรเลย

ข่าวลี้ลับเกี่ยวกับอาถรรพณ์โรงพักบางเขน ผมเกาะติดมานำเสนอต่อเนื่องเป็นที่สนใจแก่คนละแวกนั้น กลุ่มแม่บ้านตำรวจลือกันหนักถึงขั้นหมาอีแดง สุนัขเพศเมียที่อาศัยนอนอยู่ใกล้ศาลเจ้าพ่อจะเป็นลางบอกเหตุ เมื่อส่งเสียงร้องโหยหวนในยามวิกาลขึ้นทุกครั้ง ไม่ช้าจะไม่นานจะมีตำรวจโรงพักตายลง

สายสืบบางคนก็ให้ข้อสังเกตด้วยว่า มีรหัสเรียกขาน “บางเขน 413” ไม่มีใครกล้าใช้ ผมเห็นรายชื่อจากบอร์ดแล้วเป็นจริงตามที่ว่า รหัส 413 ถูกเว้นข้ามจาก 412 เป็น 414 ตำนานเร้นลับนี้ ดาบตำรวจสมศักดิ์ นิลกลัด เจ้าของรหัสบางเขน 414 รับว่า อาถรรพณ์ในเรื่องนี้เกิดขึ้นมา 4 ปีแล้ว เริ่มตั้งแต่ จ่าสิบตำรวจประสงค์ เรืองรุ่ง เป็นผู้ใช้รหัสบางเขน 413 สมัยที่พันตำรวจโทวีระศักดิ์ มีนะวานิชย์ เป็นสารวัตรสืบสวน มีอาการทางประสาทจนต้องออกจากราชการ

ต่อมา ดาบตำรวจชัยกิจ สมบูรณ์ศักดิ์ศิริ ใช้รหัสบางเขน 413 แทน ไม่ถึง 2 เดือนก็เปลี่ยนไป กลายเป็นคนเมาสุรา ในที่สุดถูกผู้บังคับบัญชาลงโทษให้ออกจากราชการ ถัดไปเป็นจ่าสิบตำรวจแสวง เอี่ยมเจียม ใช้ไม่นานมีเรื่องทะเลาะกับเมียก่อเรื่องขับรถชนเมียตาย โดนดำเนินคดีและถูกสั่งออกจากราชการ หลังมีเรื่องพัวพันแก๊งลักรถ

อีกราย ดาบตำรวจธีระ ฉัตรเฉลิมกิจ ใช้รหัสไม่นาน ถูกตั้งกรรมการสอบสวนและต้องย้ายไปอยู่ที่อื่น รายล่าสุด จ่าสิบตำรวจสมภพ คล่องสั่งสอน ถูกรถชนตาย

“ความจริงผมต้องขยับมาใช้รหัสบางเขน 413 แทน พอมีเพื่อนเล่าให้ฟังและเตือนเอาไว้จึงขอผู้บังคับบัญชาที่จะไม่ใช้รหัสนี้ และขอนายให้ยกเลิกรหัสนี้ไปเลยดีกว่า ปรากฏว่า จ่าสิบตำรวจสุชาติ ภู่เกิด เพื่อนอีกคนลองของ มาขอใช้รหัสบางเขน 413  แทน พูดกันตอนกลางวัน ตกเย็นจะออกไปจับผู้ต้องหาเล่นการพนัน ไม่ทันไรรถที่นั่งไปพลิกคว่ำบาดเจ็บเลย” ดาบตำรวจนอกเครื่องแบบรุ่นเดอะน้ำลายแตกฟอง

“แสดงว่า พี่เชื่อสิ” ผมถาม

“ไม่รู้ แต่ผมก็ไม่กล้าลบหลู่เจ้าพ่อ”

 

 

RELATED ARTICLES