“เวลาจับคนร้ายทุกคดีผมไปเอง แต่ผมไม่ได้เป็นพระเอกหรอกนะ”

ายพันตำรวจเอกนักสืบนครบาลเก่าผู้คลี่คลายคดีดังใจกลางกรุงในอดีต ก่อนดีดชีวิตผันตัวไปเลือกเป็นอาจารย์โรงเรียนนายร้อยตำรวจ พลิกเส้นทางอีกครั้งด้วยการอำลาเครื่องแบบไปลงสนามการเมือง เผชิญเรื่องราวมากมาย

สุดท้ายยอมสละทุกอย่างเพื่อดูแลพ่อบังเกิดเกล้าวัยชราอายุ 90 ปีในอาณาจักรส่วนตัวอำเภอแกลง จังหวัดระยอง

พ.ต.อ.พณาเจือเพ็ชร กฤษณะราช หรือชื่อเดิม “พนา เจือเพ็ชร” ลูกชายทหารกองพลทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยาน จบโรงเรียโยธินบูรณะก็สอบเข้าเตรียมทหาร แต่ไม่เลือกเหล่าทหาร เพราะอยู่ในค่ายมาตั้งแต่เด็ก ประกอบกับต้องการความท้าทายในเหล่าตำรวจที่รับแค่ 60 คน ต้องเป็นคนเก่งจริงถึงเข้าได้

“ผมอยากจะรู้ฝีมือตัวเอง เข้าเหล่าที่มันยากที่สุด ไม่ได้มีอุดมการณ์อะไรหรอก ผมเรียนดีนะ แต่การแข่งขันมันสูง รุ่นนั้นสอบเตรียมทหาร 5 หมื่นกว่าคน รับแค่ 500 เอง เอาไปตำรวจ 60 คน ยังมีโควตาลูกตำรวจอีก ชินกันน่าดู ผมสอบเข้าไปได้ที่ 10 กว่าของรุ่น 29 รุ่นเดียวกับอดุลย์ แสงสิงแก้ว วัชรพล ประสารราชกิจ”

เจ้าตัวเล่าว่า ตอนเรียนเล่นกีฬา เป็นนักรักบี้ ตามสไตล์บู๊ๆ ไม่ค่อยเรียบร้อย เรียนบ้าง เที่ยวบ้าง ถือเป็นประสบการณ์ชีวิต จบออกมาได้ที่ 3-4 เลือกลงโรงพักจักรวรรดิ เป็นรองสารวัตรสอบสวน ทำหน้าที่สืบสวนด้วย ที่เลือกจักรวรรดิ เพราะไม่อยากไม่สู้รบตบมือกับใคร ลงพื้นที่เล็ก ๆ อบอุ่นกว่า ปรากฏว่า ประเดิมคดีสำคัญ ร่วมวิสามัญฆาตกรรมลูกน้องตี๋ใหญ่ โจรชื่อดังสมัยนั้นที่ตลาดสำเพ็ง

อยู่โรงพักจักรวรรดิเกือบ 2 ปี พ.ต.อ.พณาเจือเพ็ชรบอกว่า ไปเรียนด้านกฎหมายอาชญากรรมที่รัฐฟลอริดา สหรัฐอเมริกา ใช้ชีวิตเมืองนอกหลายปี ต้องทำอะไรเองหมด ไว้ผมยาว เข้าครัวทำอาหารกินเอง ก่อนกลับเมืองไทยได้เป็นหัวหน้าสายสืบ โรงพักบางซื่อ มี เผด็จ ทะละวงศ์ เป็นสารวัตรใหญ่ เจอคดีสำคัญเมื่อปี 2525 คนร้ายฆ่ารัดคอหญิงสาวนักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหงหมกห้องน้ำโรงภาพยนตร์นิวยอร์ก เป็นข่าวใหญ่คึกโครมสะท้านเมืองหลวง

อดีตหัวหน้าสายสืบสถานีตำรวจนครบาลบางซื่อท้องที่เกิดเหตุ ลงไปสืบสวนร่วมกับทีมกองกำกับการสืบสวนสอบสวนนครบาลพระนครเหนือขณะนั้น ประกอบด้วย พ.ต.อ.สมเกียรติ พ่วงทรัพย์ พ.ต.ท.วาทิน คำทรงศรี พ.ต.อ.คงเดช ชูศรี และพ.ต.ต.อาทิจ ชูตินันท์ สารวัตรสอบสวน สถานีตำรวจนครบาลบางซื่อ พ.ต.ต.จุมพล มั่นหมาย สารวัตรปกครองป้องกัน สถานีตำรวจนครบาลบางซื่อ

ฉากเบื้องหลังปิดแฟ้ม เขาเล่าว่า ด้วยการหมั่นลงเดินหาพยานในละแวกเกิดเหตุ ทราบรูปพรรณคนร้ายลักษณะตัวเล็ก ขาเป๋พิการค่อมอกไก่ มีร้านข้าวมันไก่ร้านหนึ่งย้ายจากจักรวรรดิมาอยู่ตึกแถวโรงหนังนิวยอร์กพอดี พวกนี้คุ้นเคยกับเรา ถึงให้ข้อมูลผู้ต้องสงสัยที่โตมาจากจักรวรรดิ ท้องที่เก่าเรา เห็นมาป้วนเปี้ยนช่วงเวลาเกิดเหตุแล้วหายตัวไป กระทั่งตามจับกุมได้ในเวลาต่อมา มันอ้างว่าไม่ได้ข่มขืนเหยื่อ แค่ชิงทรัพย์แล้วบีบคอจนตาย

“นักข่าวตั้งฉายามัน เป๋ อกไก่ ไปได้ตัวที่จักรวรรดิ เมื่อก่อนมันเป็นยาม ผมรู้จัก เพราะสมัยก่อนชอบเดินพบปะชาวบ้าน ไม่ชอบนั่งรถ ท้องที่จักรวรรดิก็เล็กด้วย มันไปมีเรื่องชกต่อยกัน ผมก็ไม่ช่วย ถือว่า มีบุญคุณ ตอนมันเป็นยามก็เอาบุหรี่มาให้ผมสูบ ผมไปเอาตัวมันมา ถือเป็นความสำเร็จของทีมสืบสวนทุกคน ตรงนี้ผมสอนเด็กเสมอ ผมไม่เคยบอกเลยนะว่า ใครจะจับ เพราะการจับไม่เก่งหรอก แต่ต้องสืบสวนไปจนถึงหาพยานหลักฐานให้พนักงานสอบสวนแล้วถึงจับกุมเป็นความสำเร็จมากกว่า ทั้งที่เวลาจับคนร้ายทุกคดีผมไปเอง แต่ผมไม่ได้เป็นพระเอกหรอกนะ” อดีตนายตำรวจนักสืบถ่อมตัว

หลังจากร่วมพิชิตคดีเป๋ อกไก่ วิปริตอำมหิตฆาตกรรมในโรงหนังนิวยอร์ก คงเดช ชูศรี เห็นแวว จึงดึงเขาไปอยู่กองกำกับการสืบสวนสอบสวนนครบาลพระนครเหนือ ร่วมทำคดีใหญ่มากมายเคียงข้าง กิตติโชติ แสงนิล ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา แต่เน้นแนวสืบสวนที่ไม่ชอบใช้ความรุนแรงในการปราบปรามอาชญากรรม ทำให้โดนมองเป็นพวกหัวแข็ง แต่สามารถประคับประคองการทำงานจนสร้างชื่อเลื่อนขึ้นเป็นสารวัตรสืบสวน สถานีตำรวจนครบาลมักกะสัน

ย้ายไปเพียงวันเดียว ขนของยังไม่ทันวางจัดห้องทำงาน เกิดคดีดังเป็นข่าวใหญ่สะเทือนขวัญรับวันตำรวจ 13 ตุลาคม 2530 หนังสือพิมพ์ไทยรัฐพาดหัว “วันตำรวจ” ประชาชนฝันร้าย ฆ่า นศ.สาว ทารุณกาม หลานคนสนิท รมช.มหาดไทย ในซอย “ศูนย์วิจัย” ย่านกลางกรุง รุมขืนใจเยี่ยงสัตว์ป่าทิ้งศพเปลือย

พ.ต.อ.พณาเจือเพ็ชร ลำดับเรื่องราวว่า องค์ประกอบคดีครบ เหยื่อเป็นนักศึกษาสาวมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ แผนประทุษกรรมชวนสะเทือนใจ แต่ถือเป็นคดีคลาสสิกในชีวิตการทำงานสืบสวนของเรา ตั้งแต่ญาติคนตายมาแจ้งความคนหาย ด้วยความสงสาร เพราะเราเรียนมาเยอะเลยไปดูที่บ้าน ไปปลอบใจ ไม่คิดอะไร ก่อนเรียกสุนัขตำรวจมาดม เพื่อให้ญาติสบายใจว่า เราไม่ได้ทอดทิ้ง ปรากฏว่า หมาดมเจอศพอยู่ในดงกกที่เต็มไปด้วยคูน้ำห่างจากบ้านเหยื่อ 500 เมตร

“โชคดีนะที่เจอเร็ว” สารวัตรสืบโรงพักนครบาลเก่าว่า “ พ.ต.อ.นพ.อาภรณ์ รัชตะประกร อาจารย์หมอนิติเวช ขี่มอเตอร์ไซค์มาตรวจชันสูตรยังบอกว่า หนักแน่คดีนี้ เพราะเป็นวันตำรวจ ผู้หญิงเป็นนักศึกษาถูกฆ่ากลางกรุง แต่ผมตามจับได้ ใช้ทฤษฎีสืบสวนจากอเมริกา ดูที่เกิดเหตุมั่นใจคนร้ายต้องมายืนดัก แล้วตามไปลงมือ ถ้าไม่ตัดสินใจเอาหมามา คงอีก 3 วันถึงจะเจอศพ เพราะมีกอกกและผักตบชวาคลุมอยู่”

แกะรอยเพียงวันเดียว เขาสามารถลากคอฆาตกามเป็นหนุ่มชาวไทยมุสลิมเลี้ยงวัวอยู่ใกล้บ้านผู้ตาย แม้ให้การปฏิเสธ แต่มีพยานยืนยัน พร้อมหลักฐานบาดแผลรอยข่วนตามร่างกายขึ้นสู่กระบวนการยุติธรรมชั้นศาลมีคำพิพากษาให้ประหารชีวิต “คดีนี้มันดังมาก เพราะผู้หญิงเป็นเด็กตรัง นายกฯ ชวน หลีกภัย บี้มา ท่านก็ดีใจที่จับคนร้ายได้ ส่วนเจ้าภาพให้ผมเป็นประธานเผาศพ ผมไปเจอนายกฯ ชวน ที่วัดหัวลำโพง ถึงกับเข่าอ่อนที่ท่านทักว่า สารวัตรถ้าเจ้าภาพเชิญ คุณก็ต้องเป็น”

แม้อยู่พื้นที่เล็ก แต่เจอคดีใหญ่ อาศัยความขยัน นับจากนั้นมา ถ้าไม่มีคดีในพื้นที่เขาจะหาหมายจับของกรมตำรวจตามเก็บผู้ต้องหาเป็นว่าเล่น สะสมประสบการณ์ทำงานแข่งกับสืบสวนเหนือ ยกระดับเป็นที่ยอมรับในวงการนักสืบ ก่อนเผชิญมรสุมเมื่อนายเปลี่ยนขั้ว ถูกเด้งเป็นสารวัตรอำนวยการ กองบัญชาการตำรวจนครบาล ถึงกระนั้น ผู้ใหญ่ยังเห็นความสามารถดึงไปช่วยราชการเป็นชุดเฉพาะกิจปราบปรามมือปืนรับจ้างและผู้มีอิทธิพลของกรมตำรวจ ทำงานลับสารพัด

พ.ต.อ.พณาเจือเพ็ชรยอมรับว่า ตอนนั้นเริ่มมองอนาคตตัวเอง ท่านสมบัติ อมรวัฒน์ ไปขึ้นรองผู้กำกับที่กองปราบปราม คำสั่งออกมาไม่ได้ ปีนั้นได้รางวัลสืบสวนยอดเยี่ยมของชมรมผู้สื่อข่าว-ช่างภาพอาชญากรรมด้วย ระหว่างตัดสินใจ ท่านชิดชัย วรรณสถิตย์ เป็นผู้บัญชาการโรงเรียนายร้อยตำรวจ อยากได้ตำรวจที่มีประสบการณ์ทำงาน และมีความรู้ต่างประเทศ เสนอให้ตำแหน่งรองผู้กำกับ อีกปีขึ้นเป็นผู้กำกับ ถ้าทำตามหลักการ

เขาใช้เวลาสอนหนังสือ ควบคู่กับการทำเอกสารวิจัย ทำผลงานวิชาการ เขียนตำราตลอด 6 เดือนแรกในรั้วสถาบันเก่าสามพราน และได้ขึ้นผู้กำกับการที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจตามผู้ใหญ่สัญญาไว้จริง ติดกลุ่มนำเพื่อนร่วมรุ่นพร้อมอดุลย์ แสงสิงแก้ว จู่ ๆ ก็เกิดความคิดลาออก ด้วยความที่เป็นเพื่อนสนิทจักรพันธ์ ยมจินดา วิ่งไปวิ่งมาจังหวัดระยอง อาสาช่วยงานชาวบ้าน รับเป็นเจ้าภาพงานบุญ งานบวช งานศพ จึงถูกทาบทามให้เล่นการเมือง

เลือกหักเหทางเดินชีวิตครั้งนั้น พ.ต.อ.พณาเจือเพ็ชรให้เหตุผลว่า ครอบครัวไม่เดือดร้อน ลูกเมียสบายแล้ว ประกอบกับชอบเล่นการเมืองเลยใช้เวลาตัดสินใจไม่นานที่จะลงสนามนามพรรคประชาธิปัตย์ อีกปัจจัยอาจเพราะตำรวจยุคนั้น ถ้าเป็นผู้ปฏิบัติ ยังพอทำงานได้ ถ้ามีศักยภาพ คดีเรารับผิดชอบเอง ทำเอง แต่พอคุณเป็นกึ่ง เนื่องนโยบายต้องตามนาย นโยบายมาก็ต้องทำ ทั้งที่นโยบายโง่ๆ ในเวลานั้น

“ผมพร้อมแล้ว ผมชอบประชาชน ตอนอยู่มักกะสัน ผมทำเสื้อแจกมอเตอร์ไซค์ ผมจะเขียนว่า พ.ต.ท.พนา เจือเพ็ชร สว.สส.คนของประชาชน แล้วมีเบอร์โทรศัพท์ ทำปากกาแจกปีใหม่ ผมก็ไปเดินเยี่ยมทุกบ้านไปทุกวัน ข่าวสารก็ดี มีอะไรเราก็ได้หมด ไปเผาศพชาวบ้านมีแขกมาร้อยสองร้อยคน ก็ภูมิใจ ถ้าอยู่แล้วคุณเป็นหมา ก็ไม่มีความหมายหรอก คุณก็แค่ พ.ต.อ. แม้อาจจะโตไปไกลว่านี้ ทว่า ผมเบื่อ ผมชอบระยอง มันมีความสุข ลาภยศอะไร ไม่เท่าไหร่ ถึงมาลงเล่นการเมือง”

ได้เป็นผู้แทน 3 สมัย เป็นเลขานุการรัฐมนตรี 1 สมัย ลงนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดระยองครั้งแรกชนะ แต่ถูกใบแดงตัดสิทธิ์ หันไปอยู่พรรคไทยรักไทยก็เกิดปฏิวัติ 19 กันยายน 2549 วางเป้าจะลงสนามสมาชิกวุฒิสภาก็เลยต้องหยุด มาใช้ชีวิตชาวบ้าน ทำสวนและดูแลพ่อที่แก่มากแล้ว เวลาว่างส่วนใหญ่ก็เขียนหนังสือในหน้าเพจเฟซบุ๊กให้ความรู้คน เขียนแนวธรรมะ มีเรื่องตำรวจบ้าง หากชาวบ้านโดนรังแกมาขอคำปรึกษาแนะนำ

มีประสบการณ์ระดับปรมาจารย์คนหนึ่งในวงการตำรวจ พ.ต.อ.พณาเจือเพ็ชร มองว่า ความหมายคำว่าปฏิรูปไม่ดีพอ ต้องเรียกว่า รื้อองค์กรใหม่จะดีกว่า บอกคำเดียวว่า ตำรวจทำหน้าที่ผิด เพราะไปถืออำนาจการสอบสวนไว้ อย่าลืมว่า ตอนนี้อำนาจมี 3 ชั้น มีตำรวจ มีอัยการ และมีศาล งานสอบสวนไม่ใช่งานหลักของตำรวจ เราเป็นหมาเฝ้าบ้าน ทุกครั้งที่ตั้งหน่วยงาน ผิดหมดเลย ตั้งดีเอสไอ ก็สอบสวน ทุกหน่วยที่ตั้ง ปราบของหนีภาษีก็สอบสวน ทำไมไม่คิดถึงวิทยาการ ต้องมี ซีเอสไอ คือ ไคร์มมินอลไซน์อินเวสทิเคชั่น

“ทุกวันนี้ตำรวจกลายเป็นโดนเขาบี้ ตำรวจในฝันต้องเป็นอะไรที่เป็นนิติวิทยาศาสตร์ อย่างสมัยก่อนที่ผมทำคดีสาวเอแบค เสนอให้นิติเวชตัดคอหรือเลาะคอส่งไปที่อังกฤษ หรืออเมริกาเพื่อตรวจลายนิ้วมือ แต่ไม่ยอมทำ เมื่อก่อนอาจไม่มีวิทยาการแบบเดี๋ยวนี้ ผมต่อรองว่า สิงคโปร์ก็ยังดี เพราะผมมีคอนเนคชั่น เขาไม่ยอมทำ”

ครูเก่าโรงเรียนนายร้อยตำรวจขยายความว่า คดีฆ่าข่มขืนนักศึกษาเอแบกไม่มีประจักษ์พยาน ต้องอาศัยเทคนิคบางอย่าง ไม่อย่างนั้นไม่มีทางมัดฆาตกร เพราะสมัยก่อนไม่มีดีเอ็นเอ ที่ต่างประเทศมีหมด เพราะชิ้นเนื้อหนังแค่นิดเดียวเลาะแล้วบินไปก็เรียบร้อย แต่ผู้ใหญ่สมัยนั้นมาหาว่า เราบ้าจะตัดคอศพ  ทุกวันนี้ ถ้าไม่มีหน่วยนิติวิทยาศาสตร์ ทำงานไม่มีทางประสบความสำเร็จ  แม้ปัจจุบันไทยมีวงจรปิด มีดีเอ็นเอ ก็ยังล้าหลัง

“ขนาดผมตกโลกแล้วนะ ยังล้าหลังผม 10 ปี เครื่องมือพวกนี้มันจะช่วยได้ แม้กระทั่งเหตุการณ์ระเบิดในภาคใต้ ใช้ได้หมด เพราะทหารไม่มี ใครก็ไม่มี ถ้าตำรวจเก่ง รับพวกนักวิทยาศาสตร์หัวดี จากจุฬาฯ ธรรมศาสตร์ มาฝึก ผมคิดว่า ดีกว่าพวกเราอีก ปีหนึ่งยิงปืน ทบทวนยุทธวิธีจับกุมแค่นี้พอ วิทยานิพนธ์ที่ผมขียนเมื่อ 20 -30 ปีเกี่ยวกับเรื่องนี้ ก็ยังไม่เปลี่ยน บ้านเมืองก็ไม่เปลี่ยน ผมจะบอกว่า ถ้าจะปฏิรูปตำรวจ ต้องคนนอก คนในทำไม่ได้หรอก ต้องมีธงชัดเจน”

เขาย้ำว่า เราต้องการตำรวจที่หลักง่ายๆ คือ ของกูไม่หาย ลูกเมียไม่ถูกปล้น รวมถึงความปลอดภัยตามท้องถนน ไม่ใช่มาชิงไอโฟน ไม่ใช่ลูกโดนฉุด ขายยาเกลื่อน ตำรวจต้องทำแค่นั้น คุณจะไปสนใจอะไรกับตำรวจที่จับของปลอม ของหนีภาษี เกี่ยวที่ไหน แถมกลายเป็นช่องทางแสวงหาผลประโยชน์

“สมัยก่อน ยอมรับว่า รายได้นอกระบบ อยู่กันสบายๆ พูดกันอย่างแฟร์ๆ สมน้ำสมเนื้อ เจือสมกัน เดี๋ยวนี้ไม่มี แต่กลับใช้งานเทียบกับค่าตอบแทนแล้วทุเรศมาก” อดีตนายตำรวจนักสืบระบายความรู้สึก

พณาเจือเพ็ชร กฤษณะราช !!!

 

 

RELATED ARTICLES