“พวกเราต้องปราบปรามคนชั่ว อย่าทำร้ายคนดี”

ต้นตำรับมือปราบภูธรเจ้าของฉายา “ฉลามดำ” แห่งตำนานเมืองปากน้ำโพผู้โด่งดัง

พล.ต.ท.สมพงษ์ คงเพชรศักดิ์ อดีตผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 เจ้าของวลี “เราชอบคนรักกัน” ผ่านประสบการณ์บู๊มากมายระหว่างรับราชการในเครื่องแบบผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ที่ยากลอกเลียนแบบได้เทียบเคียงเหมือนเขา

เกิดในตำบลวังเมือง อำเภอลาดยาว  จังหวัดนครสวรรค์ เป็นลูกชาย ร.ต.ต.ย้วย คงเพชรศักดิ์ กับแม่บังอร คงเพชรศักดิ์ เห็นพ่อช่วยเหลือชาวบ้าน ใครมาจากไหนก็ยินดีช่วยในภารกิจและหน้าที่ของตำรวจ ทำให้ซึมซับว่า อาชีพตำรวจเป็นอาชีพที่ให้บริการ ดูแลประชาชนให้ได้รับความยุติธรรม ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน เขาจึงชอบตำรวจมาตั้งแต่เด็ก

หลังจบการศึกษาโรงเรียนลาดยาววิทยาคม เข้าต่อมัธยม 7-8 โรงเรียนวิสุทธิศึกษา เมืองนครสวรรค์เดินตามความฝันไปสมัครเข้าโรงเรียนตำรวจนครบาล ปีเดียวสอบเข้าโรงเรียนนายร้อยตำรวจเป็นรุ่นที่ 29 ช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์จะไปเยี่ยมหาเพื่อนที่กองปราบปรามสามยอด พักแฟลตตำรวจกองปราบปรามเป็นประจำ มีส่วนให้ได้รู้จัก ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ขณะนั้นเป็นตำรวจชั้นประทวน ทำหน้าที่อาจารย์สอนหน่วยคอมมานโด

สำเร็จการศึกษาพ้นจากรั้วสามพรานบรรจุแต่งตั้งเป็นรองสารวัตรจราจร สถานีตำรวจนครบาลยานนาวา ปีถัดมาขอย้ายกลับบ้านเกิดเป็นรองสารวัตรสืบสวนสอบสวน สถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองนครสวรรค์ ทำงานจนผู้บังคับบัญชาไว้วางใจให้เป็นหัวหน้าสถานีตำรวจภูธรตำบลปากน้ำโพ อำเภอเมืองนครสวรรค์ แล้วโยกมานั่งเป็นรองสารวัตรแผนก 3 กองกำกับการสืบสวนตำรวจภูธร 9 กระทั่งขึ้นสารวัตรสืบสวนที่หน่วยเดิม

ประมาณ 2 ปี เป็นสารวัตรสอบสวน สถานีตำรวจภูธรอำเภอพยุหะคีรี จังหวัดนครสวรรค์ กลับมาเป็นสารวัตรสถานีตำรวจภูธรตำบลปากน้ำโพอีกครั้งที่ยกฐานะโรงพักให้ระดับสารวัตรเป็นหัวหน้า วนเวียนอยู่พื้นที่ภาคกลางตอนบนติดภาคเหนือตอนล่าง ในตำแหน่งสารวัตรปราบปราม สถานีตำรวจภูธรเมืองแพร่ สารวัตรใหญ่ สถานีตำรวจภูธรอำเภอบางกระทุ่ม จังหวัดพิษณุโลก สารวัตรใหญ่ สถานีตำรวจภูธรอำเภอคลองขลุง จังหวัดกำแพงเพชร

จัดตั้งชุดปฏิบัติการสืบสวน “เหยี่ยวดำ” ปราบปรามจับกุมอาชญากรรมในพื้นที่เข้าตาผู้หลักผู้ใหญ่ให้ไปดำรงตำแหน่งสารวัตรใหญ่ สถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองเชียงใหม่ ประกาศนโยบายกลางที่ประชุมว่า “ผมจะทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชาอยู่ที่โรงพักแห่งนี้ได้มีความสุข” พัฒนาโรงพักได้รับรางวัลชนะเลิศในระดับกรมตำรวจ ออกปฏิบัติหน้าที่แก้ไขปัญหาอาชญากรรมและการจราจรในพื้นที่ทุกวัน ปราบปรามแก๊งซามูไรที่เป็นเด็กวัยรุ่นออกอาละวาดสร้างความเดือดร้อนแก่ชาวบ้านอย่างไร้เหตุผลราบคาบ รวมถึงหยุดสถิติการโจรกรรมรถจนได้รับความชื่นชมทั่วเมืองเหนือ

ปี 2534 คืนถิ่นปากน้ำโพเปลี่ยนเอาโลโก้ “ฉลามดำ” มาสร้างทีมงานนักสืบรุ่นใหม่ เมื่อได้ลงตำแหน่งสารวัตรใหญ่ สถานีตำรวจภูธรเมืองนครสวรรค์ ผลิตตำรวจมือปราบดาวรุ่งรุ่นน้องทั้งสัญญาบัตรและชั้นประทวนเป็นมือทำงานข้างกาย อาทิ สมศักดิ์ จันทะพิงค์ ดำรงค์ เพ็ชรพงศ์ ต่อสักดิ์ พิมพ์พิสุทธิ์ ชัยยันต์ เบญจาธิกุล จำเริญ วรทอง สายัณห์ เจริญขำ ประโยชน์ น้อยระแหง ชลอ ทิมรอด

เจ้าตัวเฉลยเหตุผลถึงต้องตั้งชื่อทีมงานฉลามดำว่า ตำรวจยุคก่อนมักมีชื่อทีมเฉพาะกิจสืบสวนปราบปรามให้เป็นที่น่าเกรงขามแก่เหล่ามิจฉาชีพเพื่อให้เกรงกลัวและข่มขวัญในตัวหลาย ๆ จังหวัด บางก็ใช้สัญลักษณ์เป็นเหยี่ยว พยัคฆ์ หรืออินทรี แต่ที่มาของฉลามดำที่มักมีคนเย้าแหย่กันว่า เป็นฉลามน้ำจืด แท้จริงแล้ว ฉลามหมายถึงความดุร้าย เป็นนักล่าที่มีฟันแหลมคม โจมตีศัตรูได้อย่างรวดเร็ว “ผมจะสอนลูกน้องทุกคนเสมอ ให้มันฝังไว้ในหัว พวกเราต้องปราบปรามคนชั่ว อย่าทำร้ายคนดี มีคุณธรรม เมตตาธรรมในการปฏิบัติหน้าที่ อย่าให้คนดีเดือดร้อน” พล.ต.ท.สมพงษ์ว่า

ทีมงานฉลามดำ ปากน้ำโพ สร้างชื่อเสียงดังทั่วเมืองนครสวรรค์ คนร้ายพากันเกรงกลัวเมื่อถูกชุดเฉพาะกิจไล่ล่าปราบปรามแบบดุเดือด โจรงัดแงะ แก๊งชิงทรัพย์ ลักรถจักรยานยนต์ และคดีอาชญากรรมอุกฉกรรจ์ โดยเฉพาะมือปืนรับจ้างประวัติโหดเหี้ยมไม่อาจหลุดรอดเงื้อมมือของกฎหมาย โดนจับเป็น และจับตาย หดหัวล่องหนหลบออกนอกจังหวัดไปจำนวนนับไม่ถ้วน

ตำนานมือปราบภูธรบอกว่า เรื่องยาเสพติดก็เช่นกัน สมัยนั้นไม่มียาบ้า ยาไอซ์ ยาอี แต่มีผงงานที่แปลงร่างมาจากเฮโรอีน จับกุมยากเหลือเกิน ล่อซื้อยากมาก คนขายจะขายเฉพาะคนที่ซื้อ แปลกหน้าอย่าหวังจะเข้าไปถึงตัว สถานที่ซื้อจะมีลูกกรงอยู่ในรั้วบ้าน ต้องโผล่หน้ากันก่อน เราต้องวางแผนให้ตำรวจปลอมตัวไปกับผู้ซื้อยาเสพติด ทำทีเป็นซาเล้งรับซื้อของเก่าเข้าไปล่อซื้อถึงจับตัวมาดำเนินคดีได้

อีกคดีที่น่าสนใจ พล.ต.ท.สมพงษ์เล่าว่า หนุ่มสาวชอบไปนั่งจู๋จี๋กันยามวิกาลที่อุทยานสวรรค์ หรือหนองสมบูรณ์ ถูกคนร้ายวัยรุ่นเอาไม้ตีผู้ชาย แล้วลากแฟนสาวไปข่มขืนพร้อมกัยชิงรถจักรยานยนต์ติดมือไปด้วย ผู้บังคับบัญชาให้ความสนใจและกำชับทีมงานฉลามดำต้องเอาตัวมาให้ได้ จึงมาวางแผนใช้วิธีจัดฉากล่อ เอาตำรวจหนุ่มกับตำรวจหญิงทำทีเป็นคู่รักจอดรถจักรยานยนต์ไว้ห่างตัวเพื่อให้คนร้ายชะลาใจ สุดท้ายโจรชิงทรัพย์และข่มขืนเหยื่อพลาดท่าเข้ามาตามแผน ตำรวจนอกเครื่องที่ซุ่มอยู่คว้าตัวไว้ได้อย่างง่ายดาย

ต่อมา ชื่อเสียงของฉลามดำเริ่มเป็นที่ประจักษ์ในฝีมือเข้าถึงหู พล.ต.ต.คำนึง ธรรมเกษม ผู้บังคับการปราบปรามในสมัยนั้น มอบหมายให้ พ.ต.อ.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา รองผู้บังคับการปราบปราม พิจารณาบุคคลที่มีความรู้ความสามารถเพื่อดำรงตำแหน่งผู้กำกับการ 3 กองบังคับการปราบปราม กำหนดคุณสมบัติต้องเป็นคนกว้างขวาง  มีฝีมือ ใจถึงพึ่งได้ รักพี่รักน้อง ตรงกับอุปนิสัยของเขา นำทางไปสู่กองกำลังติดอาร์มกองปราบปรามเมื่อปี 2538

“ตอนนั้นก็ไม่เคยรู้จักกองปราบปรามเลย ไม่เคยคิดว่าจะได้มาทำงานด้วย” พล.ต.ท.สมพงษ์สารภาพความในใจ ถึงกระนั้นก็ตาม เขาประเดิมร่วมไขคดีสังหารแสงชัย สุนทรวัฒน์ ผู้อำนวยการองค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทยที่เจ้าตัวรู้สึกภาคภูมิใจมากที่สุด รวมทั้งคลี่คลายคดีสำคัญอีกหลายคดี อาทิ ฆาตกรรมปรีณะ ลีพัฒนพันธ์ อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดยโสธร คดีจ้างวานฆ่ากำนันประยูร สิทธิโชติ ถือเป็นยุคทองของกองปราบปรามที่รวบรวมขุนพลทัพนักสืบมือพระกาฬจากภูธรและนครบาลไปกวาดล้างอาชญากรตัวเอ้ทั่วประเทศ ผลงานส่วนหนึ่งเกิดจากทีมฉลามดำของ “สมพงษ์ คงเพชรศักดิ์” ผู้กำกับการ 3 กองบังคับการปราบปราม เป็นแรงหนุนให้ขึ้นเป็นรองผู้บังคับการปราบปราม และผู้บังคับการอำนวยการ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง

ข้ามกลับนั่งถิ่นถนัดบ้านเกิดตัวเองอีกรอบเป็นผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครสวรรค์ แล้วเลื่อนเป็นรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 สางคดีฆ่านักศึกษาสาวมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีลานนา จังหวัดตาก สืบสวนคดีร่วมกันชิงทรัพย์ร้านทองชัยเจริญ กลางเมืองนครสวรรค์ ระหว่างนั้นได้ลงไปช่วยทีมงานเก่าสมัยกองปราบปรามเพื่อแก้ปัญหาความรุนแรงในพื้นที่ 3 จังหวัดชายภาคใต้ ตั้งแต่มีเหตุการณ์ปล้นปืนกองพันทหารพัฒนาที่ 4 ค่ายกรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ตำบลปิเหล็ง อำเภอเจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาส  ร่วมกับภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง  ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ จักรทิพย์ ชัยจินดา คัชชา ธาตุศาสตร์

นายพลวัยเกษียณเล่าว่า ลงไปหาข่าว โจรมีที่ไหน เราจะไปที่นั่น ใช้มาตรการเข้ม ไม่วายถูกร้องเรียนหาว่า ซ้อมผู้ต้องหา ทั้งที่ไม่ได้ทำอะไร แค่เชิญตัวมาสอบปากคำ ดูแลอย่างดี ต้องยอมรับว่า เหตุการณ์ปล้นปืนค่าปิเหล็งเอาปืนไป 200-300 กระบอก ไม่มีใครรู้ระแคะระคายได้อย่างไร ลงไปทำงานพื้นที่เหนื่อยและโหด กลับมาเจอร้องเรียนอีก แต่คิดเสมอว่า เราชั่วร้ายอะไร เราไม่ได้ทำชั่วร้าย เราทำตามหน้าที่ช่วยเหลือประชาชน เพื่อประเทศชาติ ช่วยคนที่ได้รับทุกข์ยาก ทว่าตรงนั้น คดีมันไม่เหมือนอาชญากรรมทั่วไป ประกอบกับเราเป็นคนต่างพื้นที่ ช่วงนั้นจะแรงมาก

พ้นมรสุมหลุดมลทินจากการถูกร้องเรียน เขาก้าวขึ้นผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 ดูแลรับผิดชอบพื้นที่อีสานเหนือครั้งแรกในชีวิต ติดป้ายคัตเอาต์ข้อความทั่วเมือง “เราชอบคนรักกัน” ตามนโยบายสลายขั้วกีฬาสีที่กำลังคุกรุ่นขัดแย้งทางความคิดการเมืองประเทศที่กำลังร้อนระอุลุกลามไปทั่ว

อดีตผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 มองว่า ความขัดแย้งในความคิดเห็นเป็นเรื่องของแต่ละบุคคล แค่อยากให้ทุกคนคำนึงถึงกรอบระเบียบของกฎหมาย ทำอะไรอย่าให้ผิดกฎหมาย ส่วนตำรวจห้ามใช้ความรุนแรงอย่างเด็ดขาด เพราะทุกคน คือ ประชาชน “ผมถึงอยากให้ทุกฝ่ายรักใคร่กัน สมกับสโลแกนที่ว่า เราชอบคนรักกัน มีความหมายลึกลงไปด้วยว่า เรา หมายถึงตำรวจทุกคนต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเป็นธรรม เป็นที่รัก เป็นที่ยอมรับนับถือจากประชาชน”

“ชอบ คือ ชอบที่จะช่วยเหลือแบ่งปัน มีน้ำใจต่อกันระหว่างบุคคลในองค์กร หน่วยงาน และประชาชน ส่วนคน คือ คนทุกคนต้องรู้จักที่จะรัก รู้จักที่จะสามัคคีกัน รัก หมายถึง รักครอบครัว รักองค์กร รักหน้าที่ และกัน มีความหมายว่า กันตัวเองหรือผู้อื่นออกจากอบายมุข กันออกจากหนทางที่เสื่อม” เจ้าของวลีเด็ดขยายความ

แม้จะเกษียณอายุราชการมาแล้วหลายปี สติกเกอร์ข้อความ “เราชอบคนรักกัน” พร้อมโลโก้ “ฉลามดำ” ยังคงติดตาชาวจังหวัดนครสวรรค์และชาวอีสานเหนือในเขตกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 4   โดยเฉพาะจังหวัดขอนแก่น พล.ต.ท.สมพงษ์บอกว่า สโลแกนฮิตนี้ คิดตั้งแต่อยู่นครสวรรค์ เพราะนักข่าวไม่ค่อยถูกกันแบ่งพรรคแบ่งพวก ผู้ว่าราชการกับองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นก็ไม่ถูกกัน คิดอยู่นานเลยเอาคำนี้ไปติดป้ายแจก มองว่า ง่าย ๆ อ่านแล้วรู้เรื่อง ตอนย้ายไปอยู่กองปราบก็ทำสติกเกอร์แจกอีก

ประสบการณ์บู๊ล้างผลาญเป็นตำนานมากมาย พล.ต.ท.สมพงษ์สารภาพว่า ไม่รู้จะฝากอะไรกับตำรวจรุ่นใหม่ เพราะตัวเองยังเอาไม่รอด สังคมนักสืบปัจจุบันเปลี่ยน จะทำอะไรต้องปรับแผน ทำอย่างเดิมไม่ได้แล้ว สมัยนี้นักสืบส่วนใหญ่จะพึ่งกล้องวงจรปิดอย่างเดียว แต่ก็โอเค ทำกันได้ เพราะกล้องวงจรปิดเยอะ อาศัยว่าต้องเหนื่อยขึ้น ต้องขยันดูกล้อง

“สมัยผมมันดูที่เกิดเหตุ รวบรวมพยานหลักฐาน ต้องดูที่เกิดเหตุเยอะๆ หากจะให้ฝาก ก็ขอให้ตำรวจนักสืบตั้งใจทำงาน ถือว่า มันเป็นงานที่ต้องทำ เป็นศิลปะต้องเอาตัวให้รอด ผมยังคิดถึงกองปราบอยู่นะ แต่ทีนี้มันก็เปลี่ยนไป เพราะว่าระบบงานมันเปลี่ยนไป สมัยก่อนเราไปหางาน จ้องงานไหนคดีเก่าที่เขาทำไม่ได้ เราจะขุดขึ้นมาทำเอง บางทีฝังตัวนาน 5-6 คดี เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมี กลายเป็นงานเฉพาะกิจเยอะไปหน่อย”

เขาทิ้งท้ายไว้ด้วยว่า คนเราต้องสร้างพระเดชและพระคุณ คือ การทำงานอย่างเข้มแข็งพร้อมทั้งช่วยเหลือผู้อื่นด้วย ยิ่งเป็นข้าราชการตำรวจหากมีประชาชนสนับสนุนให้ความร่วมมืองานก็จะสำเร็จได้โดยง่าย

สมพงษ์ คงเพชรศักดิ์ !!!

 

 

 

 

 

RELATED ARTICLES