ตำรวจจำเป็นต้องปรับตัวยอมรับการเปลี่ยนแปลงในสังคม
สังคมที่จ้อง “จับผิด”นำไปสู่ภาพลบ “กลบภาพความดี” ที่ตำรวจส่วนใหญ่ทุ่มเทเสียสละทำหน้าที่ตามอุดมการณ์ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์
หลายบทเรียนจึงสอนให้ตำรวจอาชีพระมัดระวังในการวางตัวต่อสาธารณชน
เพราะหากพลาดพลั้งมาสักวัน ตัวคุณอาจตกเป็น “นักแสดง” ออกจอทีวีออนไลน์กระจายไปทั่วโลก
คลิปวิดีโอตำรวจซ้อมผู้ต้องหา พร้อมระบุข้อความว่า “มีพลเมืองดีไม่ประสงค์ออกนาม (กลัวโดนเก็บ) ช่วยแชร์หน่อยๆ # แจ้งเหตุการณ์ #ตำรวจซ้อมผู้ต้องหา #สน.หลักสองเกิดเหตุเมื่อวันที่ 07.07.2562 เวลาประมาณ 14.00 น.”
ส่วนหนึ่งของ “พิษอารมณ์” ที่เกิดจากคนสองฟาก
อารมณ์ขุ่นเคืองของตำรวจที่ถูกหนุ่มคลั่งก่นด่า ถ่มน้ำลายใส่ นำไปสู่ชนวนร้อนต้องลงไม้ลงมือระบายความอัดอั้น
อีกอารมณ์เป็นของชาวบ้านรอจังหวะวิพากษ์วิจารณ์การกระทำของตำรวจชนิดสาดเสียเทเสียตามสไตล์ของสังคมออนไลน์ในยุคปัจจุบัน
ภาพ ความเคยชิน ที่ตำรวจเคยซ้อมผู้ต้องหา แค่ตบหัว เตะต่อย เพื่อสงบสติอารมณ์ผู้ต้องหา กลับกลายเป็นที่จับตาของสังคม
นักข่าวพลเมืองที่ถือกล้องอยู่ทุกซอกทุกมุม “พร้อมขยี้”ผ่านการถ่ายทอดสดได้ตลอดเวลา
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตำรวจโรงพักหลักสอง พล.ต.ต.กัมปนาท โสภโณดร ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 9 จำเป็นต้องเร่ง ดับอารมณ์สังคมโซเชียล ด้วยการ ลงดาบเชือดตำรวจ 7 นาย ของโรงพัก
พ.ต.ท.สันติ ประทุมรัตน์ สารวัตรป้องกันปรามปราม ร.ต.อ.วิชาญ ชุ่มช่วง รองสารวัตรป้องกันปรามปราม ร.ต.อ.ภิญโญ ทั่งถิ่น รองสารวัตรป้องกันปรามปราม ด.ต.สมชาย ด้วงมูล ผู้บังคับหมูงานป้องกันปราบปราม ส.ต.ท.กิตติธัช ปานันต๊ะ ผู้บังคับหมูงานป้องกันปราบปราม ส.ต.ท.อนุชา วิชัยคำจร ผู้บังคับหมู่งานป้องกันปราบปราม ส.ต.ท.สัญญา ใจจันทร์ ผู้บังคับหมูงานป้องกันปราบปราม ให้ไปปฏิบัติราชการประจำศูนย์ปฏิบัติการกองบังคับการตำรวจนครบาล 9
เซ่น “สังเวยพิษอารมณ์หลุด” ในการปฏิบัติหน้าที่จนต้องมี “มลทิน” ติดตัว
ผู้บังคับบัญชายังจัดแจงตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงเพื่อกำหนดบทลงโทษ
“ตำรวจทั้ง 7 นายไม่มีสิทธิ์ทำร้ายร่างกายผู้ต้องหา เพราะไม่เป็นไปตามขั้นตอนการควบคุมผู้ต้องหาและภาพที่ปรากฏค่อนข้างชัดเจน”
คำชี้แจงของบรรดาตำรวจทั้ง 7 นายไม่มีน้ำหนักให้ฟังขึ้น
“ตำรวจต้องอดทน อดกลั้น” ผู้เป็นนายบางคนชิงออกตัว
“แล้วตำรวจไม่ใช่คนหรือ” บางคนกระซิบลำพัง
ทำให้ปัจจุบันตำรวจกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ระวังตัวมากขึ้น
ระวังจะการถูกจับตาจากสังคมโซเชียลที่มี “เขี้ยวเล็บแหลมคม” มากยิ่งกว่า กระสุนปืน ที่ต้องเผชิญเสี่ยงตายรายวันเวลาออกปฏิบัติหน้าที่
ทว่าบางทีการหวาดระแวงแล้วแกล้งทำ “นิ่งเฉยดูดาย” ไม่ทำอะไร อาจเป็น “ภัยร้าย”ทำลายภาพลักษณ์ได้ไม่ต่างกัน