ตอกย้ำภาพความเกลียดชังบนผนังโลกไซเบอร์
“เกินกว่าเหตุไปมั้ยคะคุณตำรวจ ก่อนหน้านี้ล็อกคอให้ลงจากมอเตอร์ไซค์แล้วแล้วตวาดตวาดเด็กอย่างเดียว แต่ถ่ายไม่ทัน”
มีคนเข้าไปแสดงความคิดเห็นมากกว่าสองพันล้วนด่าเสียเทเสีย “ตำรวจหัวปิงปอง” ตัวต้นเรื่อง
มองเห็นแค่ความผิดนักเรียนมัธยมคนหนึ่งขี่มอเตอร์ไซค์ไม่ใส่หมวกกันน็อก ถึงกับต้องล็อกคอลงมาตะโกนด่ากลางถนนไม่สนชาวบ้านชาวช่องยืนมุงกันริมถนน
หลายคนถ่ายคลิปเหตุการณ์กันสนุกมือ
ตำรวจตกเป็นจำเลยสังคมอย่างช่วยไม่ได้
สุดท้ายถามไถ่เรื่องราวย้อนกลับไปถึง ต้นชนวนเหตุ เกิดจากนักเรียนมัธยมรายนี้ขี่หนีการเรียกตรวจชนสิบตำรวจคู่กรณีอยู่ละแวกโรงพักจักรวรรดิ
ผู้หมู่จราจรตัดสินใจขี่ไล่กวดไปทันกันบริเวณถนนทรงวาดที่การจราจรคับคั่ง นักเรียนคนนั้นยังพยายามพุ่งชนเขาอีกรอบ
“ผมยอมรับว่า มีอารมณ์โมโห ถึงตะโกนว่าน้องไป” สิบตำรวจตรีบอก
แต่เขาตักเตือนในฐานะรุ่นพี่อยากสอนรุ่นน้องที่เป็นศิษย์รั้วโรงเรียนเดียวกัน
เรื่องราวกลับตาลปัตรทว่าส่ง น้ำมันราดบนกองไฟ ลามในโลกออนไลน์แชร์กันไม่ลืมหูลืมตา บางคอมเมนต์ถึงขั้นเสนอให้ย้ายเขาไปอยู่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้
เป็นบทเรียนสำคัญของตำรวจในสังคมดิจิทัลผ่านกล้องโทรศัพท์มือถือ ถืออารมณ์คนถ่ายเป็นส่วนใหญ่
ผิดถูกไปว่ากันทีหลัง
งานนี้ สิบตำรวจหนุ่มเปียกชุ่มไปด้วยความเห็นด่าทอ ผู้บังคับบัญชาเรียกไปรายงานชี้แจงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ฉากของการแสดงที่เต็มไปด้วยอารมณ์ “เคียดแค้น” ตำรวจจราจรสะท้อนภาพติดลบขององค์กรสีกากีอยากที่หนีพ้น
ไม่ง่ายที่จะให้ สังคมโซเชียล ย้อนไปหาเหตุผลที่ “ต้นสาย” แต่มองภาพสุดท้ายที่ “ปลายเหตุ”
มันปฏิเสธความจริงไม่ได้
บท “พระเอก” กับ “ผู้ร้าย” ขึ้นอยู่ความหิวกระหายในโลกออนไลน์ที่ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที