“ในฐานะภรรยาตำรวจต้องหนักแน่นมากๆ ในทุกเรื่อง”

ลูกสาวเจ้าของกิจการร้านทองเข้ามาดองเป็นสะใภ้บ้าน “นิลประดับ”รับบทภรรยาสุดที่รักนายพันตำรวจเอกหนุ่มไฟแรง

“คุณต๊ะ”อมรรัตน์ นิลประดับ หัวหน้ากลุ่มงานวินิจฉัยและเผยแพร่ข้อมูล บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) คู่ทุกข์ พ.ต.อ.เกติ์ฉกาจ นิลประดับ รองผู้บังคับการตำรวจนครบาล 5  นักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่น 42 แถมเป็นทายาท พล.ท.จาตุรนต์ นิลประดับ อดีตผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษกองบัญชาการทหารสูงสุด

เธอเป็นคนประจวบคีรีขันธ์ เริ่มเรียนชั้นประถมและมัธยมต้นละแวกบ้าน พอขึ้นชั้นมัธยมปลายพ่อแม่ส่งเข้าโรงเรียนประจำที่เขมสิริอนุสรณ์ เพราะมีพี่น้องมาเรียนก่อนหน้าแล้ว วัยรุ่นไม่คิดอะไรมากแค่รักสวยรักงามตามประสาหญิง และฝันอยากเป็นแอร์โฮสเตส หลังจบมัธยมไปเรียนคณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้า ก่อนสมัครสอบเป็นแอร์โฮสเตสสมใจอยู่สายการบินไทยไต่เต้าจนถึงปัจจุบันเป็นระยะเวลา 22 ปีแล้ว

สำหรับชีวิตรักของคุณต๊ะเหมือนถูกผู้ใหญ่ลิขิตมากกว่าอาศัยบุพเพสันนิวาส เมื่อครอบครัวของเธอเกี่ยวดองกับครอบครัวของสามีมาตั้งแต่รุ่นปู่รุ่นย่าสมัยยังมีกิจการอยู่จังหวัดนครสวรรค์สุดท้ายย้ายไปอยู่คุ้งน้ำเดียวกัน พอมีลูกหลานก็จะแนะนำให้รู้จักกัน

“คุณยายกับคุณย่าเขาจับให้เราคู่กัน”เธอรำพึงถึงความหลัง “ตอนนั้นอายุแค่ 18 ปี ส่วนเขาเป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจปี 2 เจอกันครั้งแรกรู้สึกดี อาจเพราะคุณพ่อ คุณแม่พวกเรารู้จักกันมา เคยได้ยินมาแล้วเหมือนกันว่า บ้านนี้มีลูกชายเป็นนักเรียนนายร้อย เรียนเก่งประมาณนี้ ส่วนเราก็ยอมรับว่า สวยนะ สวยเลือกได้ รู้จักคนเยอะ”

อดีตแอร์โฮสเตสคนเก่งหัวเราะบอกว่า ความจริงแม่ไม่อยากให้เรามีแฟนเอง ตามแบบคนโบราณ ผู้ใหญ่กลัวจะไปเลือกคนไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้า ยิ่งมาอยู่กรุงเทพฯ แม่ยิ่งเป็นห่วง ตอนนั้นอยู่กับพี่ป้า น้าอา แม่ห่วงเรื่องคนมาจีบมาก ที่บ้านมีลูกสาว 2 คน มีพี่สาวคนหนึ่ง รู้กันทั่วว่า บ้านนี้ลูกสาวสวย แม่ถึงต้องปรึกษาผู้ใหญ่ถึงอนาคตชีวิตคู่ของเรา

ครั้งแรกที่เจอหน้าเขา คุณต๊ะว่า ผู้ใหญ่ทั้ง 2 ฝ่ายนัดกันมาทานข้าว ตอนนั้นจะได้ว่า เขาตัวเล็กมาก คุยกันเฉยๆ ไม่คิดว่าจะต้องแต่งงานกับคนนี้ เพราะเรากำลังเรียนอยู่มหาวิทยาลัยชั้นปี 1 เขาก็เป็นนักเรียนนายร้อยปี 2 รู้แค่ว่า พ่อแม่ทั้งสองฝ่ายของเราพอใจ ผู้ใหญ่ก็ถามเหมือนกันว่า พอใจไหม ยอมรับว่า เวลานั้นมีคนมาจีบเหมือนกัน ส่วนเขาเองก็มีแฟนอยู่แล้วเลยแค่คุยกัน ทำความรู้จักกันไปก่อน แต่ทางผู้ใหญ่เจอกันบ่อยมากกว่าตัวเราเสียอีก

กระทั่งฝ่ายชายจบโรงเรียนนายร้อยตำรวจติดดาวบนบ่าบรรจุลงจังหวัดสุราษฎร์ธานี ขณะที่ตัวเธอสอบติดเป็นแอร์โฮสเตส ระยะทางพิสูจน์ความรักก็ก่อตัวขึ้นมาทันที แม่บ้านผู้กำกับเล่าว่า ตัวเองต้องบินตลอดทำให้ห่างกัน เหมือนอยู่ในช่วงศึกษาดูใจว่า ระยะห่างแบบนี้จะเป็นอย่างไร เพราะเราเองก็เริ่มมีงานทำ มีนักบินเข้ามาจีบ เขาก็เริ่มรู้แล้วว่า เขาชอบเรา และกลับมาบอกพ่อแม่ มาตามหาเรา ผ่านไปเป็นปีกว่าเขามาถามพ่อแม่ว่า เจอเราบ้างไหม ผู้ใหญ่จึงเริ่มสานต่อ ส่วนตัวเองก็รู้แล้วว่า แม่ไม่ชอบคนอื่นที่มาจีบเรา จึงไม่มีประโยชน์

“เขาเริ่มไปมาหาสู่บ่อยขึ้น คอยเทียวรับเทียวส่งอยู่สนามบินดอนเมือง เขาจะปรับเวลาให้ตรงกับเรา ลงทุนขับรถมาจากสุราษฎร์ธานีเพื่อมารับส่ง รู้ตารางการบินของเราหมด จากที่คุณแม่เคยคุม เวลาไปไหนจะมีพี่สาวไปด้วย เพราะทำงานการบินไทยเหมือนกัน พอเขามาทำหน้าที่แทนครอบครัวก็ไม่ห่วง แต่ด้วยระยะทางที่ไกล ผู้ใหญ่เลยหาทางย้ายเขาเข้ามากรุงเทพฯ”

เมื่อได้ย้ายจากใต้ขึ้นมาเป็นนายเวร พล.ต.ต.ทิพย์ อัศวรักษ์ สมัยเป็นผู้การ 191 คุณต๊ะบอกว่า เหตุผลสำคัญที่ได้ย้าย เพราะผู้ใหญ่คุยกันว่า ลูกชายจะแต่งงานมีครอบครัวอยากมาอยู่กรุงเทพฯ จากนั้นเลยตัดสินใจแต่งงานกัน “คบกันแบบจริงจังประมาณ 2 ปี เขาพยายามเข้าใกล้เรามากๆ สิ่งที่ทำให้เราเห็นความดีของเขา ก็คือ การนั่งรถมาไกลจากสุราษฎร์ธานีมารับส่งเรา ทั้งที่เวลานั้นส่วนใหญ่ทหารอากาศจะเข้ามาจีบเรามากกว่า แต่พี่เขาเป็นตำรวจเพียงคนเดียวที่เรารู้จัก เหตุผลสำคัญอีกอย่าง คือ คุณพ่อคุณแม่เราสนิทกับบ้านเขา คุณแม่ห่วงเรามากจึงปูทางให้ เราก็ไม่ได้มีปัญหา เพราะวัยก็ใกล้กัน คุยกันไม่ได้มีปัญหา ลักษณะเขาเข้าหาเราแบบเพื่อนมากกว่า”

พอเริ่มต้นชีวิตคู่ เธอเกือบประคองครอบครัวไม่รอดอันเนื่องมาจากภาระหน้าที่การงานของสามีรัดตัว หัวหน้ากลุ่มงานวินิจฉัยและเผยแพร่ข้อมูลการบินไทยยอมรับว่า เมื่อแต่งงานแล้วหลายอย่างเปลี่ยนไป เขาแทบไม่มีเวลาให้เราเลยในช่วงแรก ก่อนหน้าไม่คิดว่าจะเป็นแบบนี้ ทำไมสามีต้องทำงานกับคนอื่นเยอะมาก สงสัยว่า ทำไมจึงมีนายเยอะ ทำไมดูแลคนอื่นเยอะ แต่ทำไมไม่ดูแลเราบ้าง รู้สึกน้อยใจ เพราะรู้จักแต่อาชีพ แต่ไม่ได้รู้หน้าที่ว่า คนเป็นนายเวร ทำไมอะไรมากมาย เราทิ้งบ้านตัวเองไปอยู่บ้านเขา อยู่บ้านพ่อแม่เขา ดีที่ครอบครัวเขาดีกับเรา

ภรรยานายตำรวจหนุ่มตั้งคำถามแทงใจตัวเองเสมอว่า ทำไมหน้าที่ตำแหน่งนี้เยอะมาก เอาใจคนอื่นเยอะเหลือเกินเลยตัดสินใจคุยกับเขา ปรึกษาหาทางจะลงจากตำแหน่งนายเวร เพราะอยากมีลูกจึงไปบอกผู้ใหญ่ว่า พ่อแม่อยากมีหลานปรากฏว่า ได้ลงไปอยู่ท่านธวัชชัย พรหมประสิทธิ์ เป็นนายเวรผู้การธนบุรีอีก พอได้ยินคำนี้ไม่ชอบเลย รู้สึกว่า ธนบุรีไกลมาก เราต้องทน เขาต้องไปตรวจ ไปกับนาย เราเลยไม่ชอบตำแหน่งนี้ แต่ตัวเขาชอบ ตำรวจมักชอบเพราะการใกล้ชิดนายมีโอกาสโต เราก็จะงอแงกับเขาจะร้องหาเวลา แต่เขาก็ไม่ได้ว่าอะไร อีกอย่างเราก็อยู่หลายๆ คน บ้านเขาดูแลเราดี ไม่ต้องปรับตัวอะไรมาก ทำใจอย่างเดียว อาจเพราะเราสนิทกับพ่อแม่เขา และเขาก็มีน้อง เราก็สนิทกับน้องเขาด้วย อยู่ด้วยกันในระยะแรกๆ จึงไม่มีปัญหาอะไร

ทั้งคู่มีพยานรักด้วยกันถึง 3 คน ประกอบด้วย “แพร” พิชญา นิลประดับ “แพท”พัชร นิลประดับ และ “เพิร์ล” เพลิน นิลประดับ  เจ้าตัวเล่าว่า ตอนมีลูกคนแรกได้หาเหตุผลไปบอกผู้ใหญ่ขอลงโรงพัก ก่อนอยู่สายป้องกันปราบปรามมาตลอด ตรวจสถานบริการทุกคืน เขาก็มีความสุขกับตำแหน่งและหน้าที่นี้ “ถ้าถามเรื่องเวลาไม่ต้องพูดถึง เรื่องเวลาไม่ค่อยมีเหมือนเดิม แต่อาจที่เราโชคดีที่คุณพ่อคุณแม่ของเขาดูแลเราดี ครอบครัวอบอุ่น ส่วนใหญ่เขาไม่ต้องห่วงเรา ส่วนเราเองกลับต้องห่วงเขา ออกจากตรวจสถานบันเทิงกลับบ้านดึกแค่ไหน เราก็ไม่ได้ว่าอะไร ตี 1 ตี 2 ก็กลับ ไม่เคยไปค้างโรงพัก ความดีของเขามีตรงนี้ ถึงเขาไม่มีเวลาให้เรา แต่เขาก็ไม่ได้ไปไหน เราเองก็ไปทำงาน เพราะเราก็มีงานประจำของเรา”สาวการบินไทยว่า

ศึกษาชีวิตพักใหญ่เข้าสู่ช่วงก่อร่างสร้างตัว คุณต๊ะมองภาพกว้างของสามีมากกว่าเก่าว่า งานเขาเริ่มหนักขึ้น ทำให้เราต้องช่วยกัน เริ่มรู้จักนายของเขา เริ่มเข้าหานายของเขา ทำให้เข้าใจว่า ทำไมอาชีพนี้ต้องไปอิงกับผู้ใหญ่ เพราะเราทำงานเป็นพนักงานบริษัท ลักษณะงานเราไม่เหมือนเขา เมื่อได้สัมผัสเช่นนี้รู้สึกเห็นใจ เพราะเขามีทั้งบน ล่าง ข้าง ต้องบริหารตัวให้ถูกกับตำแหน่งของเขา

“ตัวเราเองถึงต้องหนักแน่น ไม่จุกจิก ไม่เอาเรื่องเล็กน้อยมาเป็นอารมณ์ เย็นทุกอย่าง ต้องเย็นให้มากกว่าเขา เพราะเวลาของเขาน้อยมากที่จะอยู่กับเรา เรื่องการทะเลาะกันมีบ้าง ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องเวลา บางทีลูกเข้าโรงเรียน รับ-ส่งลูก 3 คน เมื่อก่อนยังปรับไม่ได้ก็มีทะเลาะบ้าง พอเรามีบ้านของเราเอง ก็ค่อยๆ ดีขึ้นเมื่อจัดการเรื่องลูกเรียบร้อยก็หันมาจัดการดูแลครอบครัวของเราเองจนลงตัว”

บทเรียนในการครองรักเมื่อเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ เธอมองว่า เรื่องของความเข้าใจสำคัญที่สุด เราจะไม่ไปกดดันสามี ต้องเข้าใจทุกสิ่งเลยว่า กลับเข้าบ้านปุ๊บ ต้องไม่ถาม ให้เขาเล่าเอง ไม่เคยถามเลยว่า ไปไหนมา ไปทำอะไร มันเป็นคำถามที่ต้องเลิกถาม ทั้งๆ ที่อยากถาม บางคนเพิ่งแต่งงานกับตำรวจอาจยังหวือหวา ดูดี พอมีลูกจะเป็นอีกแบบหนึ่ง

 

“ในฐานะภรรยาตำรวจต้องหนักแน่นมากๆ ในทุกเรื่อง ไม่ถาม ไม่จุกจิก ต้องแข็งแกร่ง จะมาอ่อนๆ แอ๊บแบ๊วไม่ได้เลย บางบ้านภรรยาจะแบ๊วหน่อย เคยเห็นมาหลายครอบครัวแล้วไม่ถึงกับพัง แต่มีบ้านใหม่กันเยอะ ขยันทำตัวเลข มีหลายบ้านต้องนี้น่ากลัวที่สุด แต่ก็ภูมิใจที่สุด ที่คนของเราไม่เป็นแบบนั้น” คุณต๊ะฝากเป็นแง่คิด

 

 

RELATED ARTICLES