“เป็นพระต้องสวด เป็นตำรวจต้องย้าย” ประโยคสัจธรรมวงการสีกากี
“หัวโขน” ถึงเวลาก็ต้องถอดทิ้ง มันเป็นความจริงที่ทุกคนสมควรยอมรับ อยู่ว่าจะปรับตัวให้ได้เร็วมากน้อยแค่ไหน
เรียกว่า “อยู่ให้เป็น เย็นให้ได้”
ใกล้ “เดดไลน์” กำหนดเส้นตายนาฬิกาเงื่อนไขการพิจารณาแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจระดับ รองผู้บังคับการ ถึง สารวัตร วาระประจำปี 2562
มีไม่น้อยกระสับกระส่ายหาค่ายต่อขั้วหาตั๋วต่ออำนาจ เมื่อไม่อาจรู้ชะตากรรมของตัวเอง รู้แต่เพียงว่า มีอันต้องเก็บสัมภาระผละจากเก้าอี้ตัวเก่า
พิษจากคลื่นมรสุมทำ “ผิดฝา-ผิดตัว” กลายเป็น “ปลาผิดน้ำ” ของประติมากรรม “มารดำ-มารขาว” ถึงทำหลายคนหนาวร้อนหาช่องทางเข้า “ออดอ้อน” ขั้วอำนาจใหม่ ทั้งที่แต่ก่อน แต่ไรไม่เคยใส่ใจ “ผู้เป็นนาย” ต่างสำนัก
เลือกสวามิภักดิ์นายคนเดียว
ชั่วโมงนี้ต้องยอมรับเส้นทางการเจริญเติบโตในชีวิตราชการของหลายคน ใครมาจาก “เนื้องาน”อาจมีภูมิต้านทานแข็งแรงกว่าพวกที่มาด้วย “เนื้อเงิน”
ใครที่มีทางเดินด้วยการใช้น้ำลายแลกความหิวกระหาย เมื่อสุดท้ายหายนะมาเยือนเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้
แม้ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จะประกาศ “กฎเหล็ก” ล้อมคอกไว้
“ข้าราชการที่ตำรวจได้รับการแต่งตั้งในวาระประจำปี 2561 ให้ดำเนินการเฉพาะเท่าที่จำเป็น หากหน่วยจะเสนอแต่งตั้งให้ระบุเหตุผลความจำเป็นโดยละเอียดไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติผ่านกองทะเบียนพล”
ทว่าหลายคนล้วนสยองผองขนเตรียมขนข้าวของหานิวาสสถานพำนักใหม่กันเป็นแถว
ทัพหลักอย่าง กองบัญชาการตำรวจนครบาล และ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ถูกจับตามากกว่าหน่วยอื่น
ต่างตื่นเต้นระทึกใจนอนไม่หลับกันไปหลายคืน
เมื่อมีกระแสข่าว “จ้องเอาคืน” พวกที่ทำให้อีกพวกไม่มีที่ยืนเพื่อจุงมือกันไปยื่นเสนอหน้าสลอน
เสมือนผลพวงพิษอำนาจสะท้อนกลับ
อย่าแปลกใจทำไม นักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่น 47 และ นักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่น 52 หลายคนถึงหน้าตา “หม่นหมอง” มองหาลานบินลงจอดไม่เจอ
ก่อนหน้าพวกเขาไม่อาจปฏิเสธคำเพื่อน บอกปัดความหวังดีของรุ่นพี่เพื่ออนาคตที่ดีในหน้าที่การงานตามเส้นทางของแต่ละบุคคล
นี่แหละ คือ วังวนของวงเวียน “น้ำเน่า” รอบท้องทุ่งปทุมวันที่ยังไม่มีวันหมดไปจากรั้วสำนักโล่เงิน
ทุกคนต้องเผชิญเมื่อเลือกทางเดินเข้าข้างขั้วอำนาจ
เป็นวงจรอุบาทว์ยากจบสิ้น