“เราไม่ได้ชี้นำและพยายามเอาข้อเท็จจริงทั้ง 2 ด้านมานำเสนอ”

ผู้ประกาศข่าวสาวสวยนัยน์ตาหวานจาก สถานีโทรทัศน์ PPTV HD ช่อง36

  “จอย” ชื่นจิต เจริญพงศ์ชัย ปัจจุบันอ่านรายการ “เที่ยงทันข่าว” จันทร์-ศุกร์ เวลา 11.00-12.30 น. และ เสาร์-อาทิตย์ เวลา 11.30-13.00น.  เป็นคนรุ่นใหม่ที่น่าจับตามอง

เธอเข้าศึกษาที่โรงเรียนอัสสัมชัญคอนแวนต์ตั้งแต่ ป.1 ก่อนจะสอบชิงทุนเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนตอนชั้น ม.5 ได้ไปเปิดโลกกว้างที่ รัฐนิวเม็กซิโก ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศสหรัฐอเมริกา และเมื่อกลับมาก็สอบเข้าเรียน คณะวารสารศาสตร์ ภาคภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (B.J.M.) ควบคู่กับการสมัครเข้าไปเรียนคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง จนได้ปริญญาตรีมาอีก 1 ใบ

“ตั้งแต่เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนอยู่ที่อเมริกาจอยดูทีวีแล้วก็อยากเป็นผู้ประกาศข่าว ตรงนั้นเป็นแรงบันดาลใจ ช่วงที่ไปอยู่ 1 ปี ดูทีวีบ้านเขา ผู้ประกาศมันเท่ เก่ง ไม่ใช่แค่สวยหล่อ แต่ดูมีความรู้ก็เลยชอบ กลับมาก็เลยเลือกสายวารสารศาสตร์อย่างเดียว พอมาทำจริง ๆ จอยชอบนะ จอยรู้สึกว่ามันเป็นงานที่ท้าทาย จอยชอบอ่านหนังสือพวกสังคม ชอบข่าวต่างประเทศเพราะจอยชอบเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ การเมือง จอยจบรัฐศาสตร์ รามคำแหงด้วยก็เลยอินกับอะไรพวกนี้ จอยก็ยังรู้สึกว่าเป็นอาชีพที่ตื่นเต้นและท้าทายทุกวันเพราะจะมีข้อมูลใหม่ๆที่เราต้องหาความรู้ จอยยังไม่มีประสบการณ์กับข่าวการเมืองมาก ไม่ทันยุค ก็ต้องขวนขวาย”

เธอจบมาทำงานเป็นผู้สื่อข่าวต่างประเทศที่ มีเดีย ออฟ มีเดียส์ และทำรายการต่างประเทศ ตั้งแต่ยังเป็นช่องเคเบิ้ล มีเดียนิวส์แชนแนล ทำอยู่ที่มีเดียประมาณ 2 ปีครึ่ง ประจวบเหมาะกับทีวีดิจิตอลเกิดพอดี เปลี่ยนสังกัดมาอยู่ News Connect เป็น outsource ทำข่าวค่ำให้พีพีทีวี อ่านข่าวค่ำ พอพีพีทีวีฟอร์มทีมข่าวก็ไม่ได้จ้าง outsource เปลี่ยนเป็นมาทำเอง มีอยู่ช่วงหนึ่งอ่านข่าวเย็นเสาร์ อาทิตย์กับ ฮาร์ท-สุทธิพงศ์ ทัดพิทักษ์กุล อยู่ประมาณครึ่งปี แล้วถึงเซ็นสัญญากับพีพีทีวี อ่านข่าวดึกรอบวันทันโลก ช่วง 5 ทุ่ม-เที่ยงคืนอยู่ 2 ปี ก่อนย้ายมาอ่านข่าวเที่ยง

ผู้ประกาศข่าวก็เช่นเดียวกับทีมงานคนอื่นๆเมื่อต้องทำงานกลางคืน เวลาที่คนส่วนใหญ่เข้านอนแล้วแต่อาชีพสื่อไม่มีหยุดพัก

“ความจริงข่าวเที่ยงชีวิตก็ปกติกว่า ข่าวดึก คือ ดึกมากจอยทำรายการถึงเที่ยงคืนครึ่ง กว่าจะกลับบ้าน กว่าจะได้นอนก็ตี 3 ตี4 ตื่นเที่ยงวันแล้วก็มาทำงานเย็น ไม่ค่อยได้เจอใครเท่าไร แต่ว่าทำข่าวดึกก็สนุกดีนะคะ ที่จอยทำเป็นข่าวต่างประเทศ เป็นวาไรตี้มันก็จะหลากหลาย พอมาอ่านข่าวเที่ยงก็ต้องอ่านข่าวไทยเยอะ อาชญากรรม การเมือง ก็ปรับตัวเยอะเหมือนกันค่ะ”” คนข่าวสาวบอกอย่างอารมณ์ดีเมื่อย้อนกลับไปในบรรยากาศการทำงานวันนั้น

เธอเองก็ยอมรับว่าช่วงแรกในการอ่านข่าวนั้นประสบกับปัญหาการใช้ภาษาไทยอยู่บ้าง เหตุเพราะไม่ค่อยสนใจภาษาไทยเท่าไร ก่อนหน้านี้อ่านภาษาไทยไม่ค่อยคล่อง แต่พอต้องลงมาอ่านจริง ๆก็เลยมีการบ้านเยอะ อาจเพราะชอบเรียนรู้ภาษาอังกฤษมาตั้งแต่ยังเล็ก ๆ มีคุณแม่คอยสอนและพยายามพูดภาษาอังกฤษด้วย แต่ก็ไม่ถึงกับพูดภาษาอังกฤษที่บ้าน ชื่อ “ชื่นจิต” ก็เป็นชื่อที่คุณแม่ตั้งให้ นอกจากนี้เธอยังนับถือศาสนาคริสต์ นิกายคาทอลิค เข้าโบสถ์ทุกวันอาทิตย์ ทำกิจกรรมทั้งร้องเพลง เล่นเปียโน อิเล็กโทน ที่โบสถ์ตั้งแต่เด็ก ๆ จนกระทั่งตอนนี้เป็นคอนดัคเตอร์ช่วยคุมวง และเป็นนักร้องประสานเสียงด้วย

ในฐานะที่เป็นคนรุ่นใหม่ออกไปท่องโลกกว้างมาแล้ว จอยมีมุมมองเกี่ยวกับปรากฏการณ์สื่อในปัจจุบันว่า ค่อนข้างน่ากลัวสำหรับสื่อโทรทัศน์ เมื่อคนรุ่นเดียวกันไม่มีใครดูโทรทัศน์ แม้กระทั่งดูข่าวก็ไม่ดูจากโทรทัศน์ ไม่ฟังวิทยุ แต่ดูจากไลน์ เมื่อเทียบกับรุ่นพ่อแม่ที่ยังคงใช้การดูโทรทัศน์เช่นเดิม

“ความน่าเชื่อถือไม่น้อยลงนะคะ จอยว่าคนที่เขายังดูทีวีเพราะว่า ยังเชื่อถือในข่าวที่สำนักข่าวกลั่นกรองมา เพราะว่าข่าวออนไลน์มันเร็ว แต่ยังไม่ได้ตรวจสอบ อย่างคุณแม่จอยดูข่าวจากไลน์จะคิดว่ามันจริงตามนั้นหมดเลย แล้วพอเราไปบอกก็จะแบบ ไม่…ก็นี่เค้าส่งมา เพื่อนบอกมา จอยก็ยังคิดว่าทีวีน่าเชื่อถือ อย่างพีพีทีวี จอยคิดว่ากลางๆนะ เราไม่ได้ชี้นำและพยายามเอาข้อเท็จจริงทั้ง 2 ด้านมานำเสนอ จอยว่าที่นี่โอเค”

          ข้อได้เปรียบในการได้มีโอกาสไปใช้ชีวิตยังต่างประเทศตั้งแต่ยังเด็กของเธอ คือ การได้เจอสภาพแวดล้อมและสังคมที่แตกต่างไปจากวัฒนธรรมของไทย ทำให้เธอเก็บเกี่ยวประสบการณ์แล้วสามารถนำมาปรับใช้กับการทำงานในปัจจุบัน จนทำให้ได้เห็น “คุณภาพ” และ “ความตั้งใจ” อย่างเต็มเปี่ยมเมื่อเธออยู่หน้าจอโทรทัศน์

  บนเส้นทางการทำงาน “ผู้ประกาศข่าว” ของ “จอย ชื่นจิต” อาจจะเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้นเมื่ออนาคตของเธอยังอีกยาวไกล  บทสนทนาที่เปี่ยมไปด้วยความตั้งใจ ความมุ่งมั่น การรู้จักตัวเอง ค้นหาสิ่งที่ชอบ ทำในสิ่งที่ฝัน คือ ตัวอย่างที่ชัดเจนให้คนรุ่นใหม่ได้เห็นว่าการตั้งเป้าหมายในชีวิตแล้วไปให้ถึงนั้น สำคัญกับอนาคตมากแค่ไหน

เพราะนั่นจะเป็นพื้นฐานสร้างความศรัทธาในตัวตน เพื่อบ่มเพาะให้เราซื่อสัตย์ต่ออาชีพตลอดไป

 

RELATED ARTICLES