“ถ้าอยู่กับที่เหมือนไม่ได้แข่งกับตัวเอง”

ดีตนักข่าววิทยุเสียงเข้มประจำสถานีวิทยุเพื่อพิทักษ์สันติราษฎร์ หรือ สวพ.91

ปราริชาติ ปลื้มจิตต์ตระกูล ปัจจุบันเดินบนเส้นทางธรรม แต่ยังไม่ทิ้งวงการข่าวที่ตัวเองคลุกคลีมานานนับสิบปี

ชีวิตของเธอถูกเลี้ยงมาอย่างเด็กผู้ชาย กำพร้าพ่อตั้งแต่ยังไม่ลืมตาดูโลก ได้พี่ชายคนโตคอยประคบประหงมจนนิสัยทะโมนห้าวไม่ต่างเด็กผู้ชาย “อาจเป็นเพราะตอนนั้นแม่อยู่แปดริ้ว เคยไปกราบขอหลวงพ่อโสธรอยากได้ลูกชายเป็นลูกคนเล็ก เพราะมีพี่สาวคนกลางอยู่แล้ว เราเลยมีนิสัยเป็นผู้ชายไปเลย” เจ้าตัวยิ้มตั้งข้อสังเกต

ก่อนเข้าวงการข่าว เธอจบมัธยมโรงเรียนสามเสนวิทยาลัย แต่ตอนนั้นค่อนข้างเกเรติดเพื่อนพากันเที่ยวต่างจังหวัดจนไม่ได้มาสอบเอ็นทรานซ์จนแม่ต้องออกประกาศตามหาว่า ลูกหายไปทั่วทุกโรงพัก ทั้งที่สมัยเด็กเรียนดี ได้ที่ 1 มาตลอด อยากเรียนรัฐศาสตร์การทูต เพราะอยากเป็นทูต เนื่องจากเด็ก ๆ พูดมาก พูดเก่ง ชอบไปยืนรายงานหน้าห้อง

ปราริชาติเล่าว่า พอกลับจากเที่ยว เห็นแม่เสียใจก็เลยกราบแม่แล้วบอกว่าจะกลับไปเรียน ไปลองเรียนคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ได้เกรด G หลายตัว แต่ไม่ถูกใจ  รู้สึกว่า การเรียนอิสระเกินไป เลยมาเรียนคณะนิเทศศาสตร์ สื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ที่เป็นสาขาเปิดใหม่แทน หันกลับมาตั้งใจเรียนใหม่จนคว้ารับทุนเรียนฟรีสอบได้เกียรตินิยมเหรียญทองอันดับ 1 ตามที่สัญญากับแม่ไว้

เรียนนิเทศศาสตร์สื่อสารมวลชนทำให้เธอซึมซับวิญญาณนักเขียนนักข่าว แต่ถูกท้าทายจากคนรอบข้างที่มาบอกว่า เสียงห่วยแตก คงทำงานข่าววิทยุ หรือโทรทัศน์ไม่ได้ “ เรามีความรู้สึกว่า ถ้าเขียนหนังสือมันธรรมดาไป ตอนนั้น เสียงใหญ่เป็นเป็ด มีแต่คนว่า เสียงใหญ่จะรายงานได้ยังไง ต้องการเอาชนะ  กระทั่งมีเพื่อนชวนมาทำที่ สวพ. ไปเป็นนักข่าวประจำกรมตำรวจพิสูจน์ตัวเอง ภายใต้กรอบความคิดที่ว่า อยากใหญ่ในที่เล็ก ไม่อยากเล็กในที่ใหญ่”

นักข่าววิทยุรุ่นบุกเบิกย้อนความทรงจำว่า ยุคนั้น การเป็นนักข่าววิทยุ รายงานข่าวจะโดดเด่น มีชื่อคนรายงานออกอากาศ เราทำข่าวตำรวจ สามารถรายงานได้ตลอดเวลาที่มีข่าวด่วน ไม่ต้องรอต้นชั่วโมง  กลายที่รู้จัก และมีชื่อเสียงแจ้งเกิดที่สุดตอนรายงานข่าวเหตุการณ์โป๊ะล่ม เรียกได้ว่า ตอนนั้นเป็นผู้นำของข่าววิทยุก็ว่าได้ เพราะฟังวิทยุตำรวจรายงานว่า มีเหตุโป๊ะล่ม  เรารู้ข่าวก่อนเลยนั่งเรือหางยาวจากบ้านที่นนทบุรีไปที่เกิดเหตุ รายงานข่าวเกาะติดสถานการณ์ ได้ข้อมูลรายละเอียด ชื่อคนเจ็บ คนตาย คนสูญหายก่อนใคร ทำให้ สวพ.91 กลายเป็นสถานีที่คนรู้จักและจำได้

เสียงที่เป็นเอกลักษณ์ของปราริชาติ ปลื้มจิตต์ตระกูล เริ่มดังติดหูนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ส่งให้เรตติ้งของ สวพ.91 ติดอันดับที่มีคนฟังการรายงานข่าวไม่แพ้สถานีวิทยุ จส.100 และไอเอ็นเอ็น ยิ่ง สวพ.เป็นคลื่นของตำรวจ เธอจึงเปรียบเสมือนเป็นกระบอกเสียงให้แก่คนองค์กรผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ทว่าสุดท้ายกลายเป็นดาบสองคมกลับมาทิ่มแทงตัวเองหลังไปทำโพลสำรวจความเห็นจากคนฟังแล้วหมิ่นเหม่ต่อกรมตำรวจ

ปราริชาติสะสมประสบการณ์จนได้รับความไว้วางใจให้ไปจัดรายการวิทยุประจำสถานีด้วยแนวคิดที่อยากจะบุกเบิก อยากให้สถานีเป็นที่หนึ่งของคลื่นวิทยุ เธอตัดสินใจจัดทำโพลสำรวจความเห็นผู้ฟังประเดิมด้วยเรื่อง “สี่แยกซดน้ำมัน” ดังระเบิดจนหนังสือพิมพ์ต้องเอาผลสำรวจไปตีแผ่ตาม ยิ่งทำให้เธอรู้สึกทะเยอทะยานมากขึ้น “ เพราะเราอยู่สถานีประจำ ถ้าอยู่กับที่เหมือนไม่ได้แข่งกับตัวเอง เพราะตั้งแต่ไม่มีพ่อแล้วคิดว่า ทำอะไรต้องเป็นที่หนึ่ง สุดท้ายไปมีปัญหาเรื่องโพลวันตำรวจที่ผลสำรวจพบว่า ประชาชนไม่พอใจ ตำรวจจราจรมากที่สุดเรื่องรีดไถ ตกเป็นข่าวคึกโครมฮือฮา ปรากฏว่า ผู้ใหญ่มองต่างมุมเห็นว่า วิทยุของตำรวจกลับมาด่าตำรวจ เจ้านายรู้สึกว่าแรงไปเลยสั่งเบรก”   

          “วันนั้นจำได้ พอจัดรายการช่วง 10 โมงเช้าให้คนแสดงความคิดเห็น เจ้านายบอกว่า แรง แต่เรามองว่า ไม่ได้ด่าตำรวจ เหมือนเราเป็นกระจกสะท้อน  สิ่งที่เราพูดไม่ได้พูดเอง ให้ชาวบ้านพูด เจ้านายบอกผู้ใหญ่ไม่แฮปปี้  มันเลยขัดกับอุดมการณ์ของเรา เราเรียนมาถือว่า เป็นนักสื่อสารมวลชน เป็นหน้าที่ของเราทำเพื่อประชาชน  เอาความจริงเพื่อประชาชน ตอนหลังก็ถูกบีบ ไม่ให้จัดรายการ สมัยนั้นอีโก้สูง เราทำให้สถานีจากที่เป็นสถานีอันดับ 37  พอเราคุมรายการติดอันดับ 9  รู้สึกผิดหวัง เขาไม่เห็นค่าเราเลย น้อยใจมาก ตัดสินใจลาออก” อดีตนักข่าวคนดังบอกถึงมรสุมชีวิต

พ้นวงการสื่อวิทยุตำรวจเหมือนจุดหักเหชีวิตของเธอ โชคดีเจอ ดร.เสรี วงษ์มณฑา เรียกให้มาช่วยงานการศึกษาเป็นหัวหน้าสำนักงานบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต  ไม่วายสวมวิญญาณนักข่าวไปทำโพลให้บัณฑิตวิทยาลัยแข่งกับสวนดุสิตโพลเปิดประเด็นให้โดนหมั่นไส้ แถมยังสาระแนแอบส่งซิกให้นักข่าวฉบับหนึ่งคุ้ยทุจริตการทำวิทยานิพนธ์ ไม่นานก็ต้องโบกมือลาหันไปประกอบธุรกิจส่วนตัวลงหุ้นกับเพื่อนทำเสื้อกล้ามทอมขายจนประสบความสำเร็จกำลังจะจดลิขสิทธิ์ แต่ดันมาแตกคอกับเพื่อน ตัดสินใจแยกไปทำกางเกงในทอม คราวนี้เจ๊งไม่เป็นท่า

ในที่สุดปราริชาติต้องหวนคืนสู่วงการสื่อมวลชน รับงานเขียนฟรีแลนซ์เป็นรายได้เสริมประทังชีวิต เธอบอกว่า ก่อนหน้าเคยมีสถานีวิทยุที่เป็นปรปักษ์กับนายเรามาติดต่อทาบทาม แต่ข้อเสนอเงินเดือนน้อย กว่าที่จะรับได้ เราเคยเป็นผู้จัดการสถานีให้ไปวิ่งเป็นนักข่าวไล่ล่าเนื้อก็ไม่เอาแล้ว ตัดสินใจไม่รับ อีกอย่าง คือ คิดว่า ถ้าทำเต็มตัวไม่มีเวลาแน่นอน เนื่องจากแม่เริ่มแก่ อยากให้ลูกอยู่ด้วย พี่ชายเราก็เพิ่งเสียไป ทำให้ไม่สามารถรับงานประจำที่ไหนได้

สายใยความผูกพันระหว่างแม่ลูกตรงนี้เอง มีส่วนสำคัญให้ปราริชาติลิ้มรสพระธรรมคำสั่งสอนของพุทธศาสนาถึงขั้นโกนผมบวชเป็นภิกษุณีห่มผ้าเหลือง สาวห้าวหัวใจแกร่งรับว่า เมื่อก่อนไม่เคยสนใจเรื่องพระ อยู่สายอาชญากรรมเอาแต่กินเหล้าสูบบุหรี่ เพิ่งมาเข้าทางธรรมเมื่อ 4 ปีที่ผ่านมา เหมือนจุดอิ่มตัว หลังทำธุรกิจกับเพื่อนรักกันมาก็มีปัญหา แม่ก็แก่ เลยตัดสินใจเข้าทางธรรมดีกว่า เป็นจังหวะแม่ป่วยเป็นอัมพาต พูดไม่ได้นอนโรงพยาบาล เราไปไหว้พระทั้งหมดว่า ถ้าบุญบารมียังมีอยู่ ขอให้แม่หายจากการป่วย ปรากฏว่า แม่หาย จริง ๆ  จากที่พูดไม่ได้นอนเฉย ต้องอุ้มอาบน้ำ มาหายเดินได้เลยจุดประกายว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ มีจริง

“น้องคนหนึ่งก็แนะนำให้สวดมนต์ ส่งหนังสือสวดมนต์มาให้ หัดนั่งสมาธิ รู้สึกดีขึ้น ก็เริ่มลองหาไปปฏิบัติธรรมที่อ่างทอง ถือศีล 8  ก่อนไปบวชพระ เรียกว่า สามเณรี ที่วัดทรงธรรมกัลยาณี นครปฐม ถือศีล 10 อยู่เหมือนพระ ออกไปบิณฑบาตบวชอยู่ 9 วัน อานิสงส์ ผลบุญ ยังส่งให้แผลเบาหวานใต้เท้าแม่แห้งสนิท”

ต่อมาเธอวางแผนเข้าร่มกาสาวพัสตร์อีกครั้งเตรียมมุ่งหน้าสู่ศรีลังกา ตอนพี่ชายกำลังป่วยหนัก หวังจะเอากุศลตรงนี้ช่วยให้พี่หายป่วย แต่พี่ก็มาด่วนจากไป ก่อนสิ้นลม ปราริชาติเล่าว่า เอาจีวร เอาบาตรให้พี่ตั้งจิตแล้วไปกระซิบข้างหูบอกว่า ไปรอน้องที่ศรีลังกาเลยนะ พี่ก็กำมือเรา 3 ครั้งแล้วสิ้นใจ  รู้สึกเป็นสัญญาที่ต้องไปให้ได้ แม้เกือบต้องล้ม เพราะเรื่องเยอะมาก ทางนี้ต้องมีคนเซ็นรับรองให้ส่งเราไป  วีซ่าต้องขอ ต้องไปอยู่เป็นเดือน  เริ่มจะท้อ จนแม่บอกว่า ให้ไปบวชอีกครั้ง แผลแม่หายอีกแล้ว เหมือนเราเป็นพลังใจของแม่มากกว่าปาฏิหาริย์ กระทั่งได้บินไปบวชศรีลังกาสมตั้งใจไว้ใช้ชีวิตอยู่ 1 เดือน ทำวัตรเช้า-เย็น ปกติ

“จะว่าไปแล้ว ภิกษุณี ถือศีลมากกว่าพระ  แต่ต้องเคารพพระถ้าเจอพระต้องไหว้พระ เจอเณรต้องไหว้เณร เรามาเข้าทางธรรม  สวดมนต์ทุกวัน ใส่บาตร แล้วบินกลับมาก็ไปอยู่วัดทรงธรรมกัลยาณี 7 วัด ถึงทำพิธีสึกให้ แม่บอกให้สึกเร็วที่สุด เพราะเพิ่งเสียพี่ชาย ใจแม่ก็พุ่งมาที่เรา ต้องดูแลแม่เป็นหลักก่อนเพราะเหมือนพระอรหันต์ที่บ้านอย่างอื่นค่อยว่ากัน ถ้าไม่มีแม่อยู่บอกได้เลยว่า ไม่อยากกลับประเทศไทย อยู่ศรีลังกามีความสุข ชาวบ้านรักพระ ให้เกียรติภิกษุณี ผิดกับเมืองไทยเวลาเดินไปไหนเราเหมือนตัวประหลาด”                

   ย้อนกลับมาถึงมุมมองด้านการข่าวในยุคใหม่ ปราริชาติแสดงความเห็นว่า นักข่าวสมัยนี้ ไม่เหมือนรุ่นก่อน นักข่าวไม่ใช่แมสเซนเจอร์ที่แหล่งข่าวพูดอะไรต้องตามเขาหมด แทนที่จะเจาะหาข่าวกันเอง ยุคนั้นถึงขนาดต้องหาข่าวตามถังขยะ ต้องแข่งกันหาข่าว ไม่ใช่ดูช่องนี้แล้วไม่ต้องเปิดช่องอื่นเนื่องจากมันเหมือนกันหมด  มีความรู้สึกว่าอยากให้น้อง ๆ ทำงานเอื้อกันก็จริง แต่ก็ต้องมีความเป็นตัวของตัวเองที่จะฉีกหาข่าวให้ประชาชนได้เสพตรงนั้นด้วย

อดีตคนข่าวมากประสบการณ์แนะด้วยว่า สื่อต้องทำหน้าที่ตัวเองอย่างแท้จริง นักข่าวเป็นอาชีพที่คนไทยยังยกย่อง เป็นอาชีพที่มีเกียรติ อยู่ที่ว่าเอาเกียรติ หรือเอากล่อง หลายวงการมีทั้งดี และไม่ดีแทรกซึมกันไป “เรากล้าพูดได้เลยว่า ตั้งแต่ทำข่าวมาวันนั้นถึงวันนี้ ไม่เคยรับเงินใครที่จะให้ช่วยเขียนข่าวให้ สมัยแรก ๆยังมีเสนอ รถเก๋งบีเอ็มดับเบิลยู แค่ให้ดูร้านอาหาร ให้เป็นสายให้หน่อยก็ได้แล้ว แต่เราไม่เคยเอา”

RELATED ARTICLES