โควิดกับวิกฤติชีวิตตำรวจ

ตำรวจมีหน้าที่ต้องเสียสละจิตวิญญาณทุ่มเทอุดมการณ์เพื่อดูแลปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของราษฎร ทว่าภาพสะท้อนความจริงของตำรวจหลายคน

ลำพังตัวเองและครอบครัวยังแทบไม่มีเวลาได้ดูแล

โลกใน “ยุทธจักรสีกากี” ไม่ได้สีสวยสด แต่น่ารันทด หม่นหมอง

แบกภารกิจบำบัดทุกข์บำรุงสุขของประชาชนระคนความอดทนต่อความยากลำบากที่โถมเข้าใส่ชีวิตตัวเอง

วิกฤติวายร้ายไวรัสโควิด-19 กำลังก้าวเข้ามาทำชีวิตหลายคนทั่วโลกปั่นป่วน ประเทศไทยก็ไม่รอดมรสุม “ไข้หวัดมรณะ” หน่วยงานรัฐจำเป็นต้องรับภาระรับมือไม่ให้มันระบาดลุกลามก่อตัวไม่ต่าง “สงครามเชื้อโรค”

ผู้คนจิตตก วิตกจริต สติแตก ฟุ้งซ่าน ชีวิตไม่เป็นสุข

ไม่ได้เกิดทุกข์จากวายร้ายไวรัสเพียงอย่างเดียว แต่เกิดความห่อเหี่ยวท้อแท้ใจในยามเศรษฐกิจระส่ำระสาย หลายล้านคนกำลัง “ตกงาน” คืบคลานเข้ามาปิดทางเดินในอนาคต

หมดเงิน “ยาไส้”

พวกมองโลกในแง่ดี “คิดยาว” อาจสามารถก้าวขาเดินฝ่าวิกฤติต่อไป ขณะที่พวก “คิดสั้น” ไม่ตัดสินใจบอก “ลาโลก” อาจไม่พ้นเปลี่ยนโลกตัวเองเข้าสู่ด้านมืด

ลัก-วิ่ง-ชิง-ปล้น หาเงินต่อชีวิต

มันเป็นพิษผลพวงต่อเนื่องมาจากวายร้ายไวรัสโควิดและสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน

ตำรวจพร้อมรับมือได้มากน้อยแค่ไหน

มีสรรพกำลังเพียงพอต่อการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมในอนาคตข้างหน้าได้จริงหรือ

ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินทั่วราชอาณาจักร ตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พุทธศักราช 2548 ออกกฎเหล็ก “เคอร์ฟิว” อาจหยุดอาชญากรรมในยามค่ำคืนได้ชั่วครั้งชั่วคราว แต่เมื่อถึงคราว “ตกอับ” ชาวบ้านธรรมดา “เข้าตาจน” ย่อมส่งผลให้เป็นโจรเพียงชั่วพริบตา

ส่วนโจรธรรมดาถึงเวลาจะกลายเป็น “มหาโจร”

มาตรการหยุดเชื้ออยู่บ้านเพื่อชาติ หลายคนชะล่าใจคงไม่มี “ตีนแมว” หน้าไหนบุกเข้าไปย่องเบาขโมยทรัพย์สินภายในบ้านที่มีคนอยู่

ตรงกันข้ามไม่ระมัดระวัง “โจรปล้นบ้าน” บานปลายถึงขั้น “ฆ่าปิดปากยกครัว”

หากไม่กลัวก็ไม่ควรประมาท

ตำรวจพร้อมรับมือได้มากน้อยแค่ไหน” ย้ำเป็นโจทย์ที่ยังไม่มีใครยกกระทู้ขึ้นถาม “มีสรรพกำลังเพียงพอต่อการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมในอนาคตข้างหน้าได้จริงหรือ”

คำตอบไม่ได้อยู่ที่ “ผู้เป็นนาย” และลิ่วล้อ “บ้าน้ำลาย” ชงภาพเจ้านายให้ดูดี ทว่าไม่มีแผนรองรับ

แผนรองท้องของผู้ปฏิบัติชั้นผู้น้อย

พวกเขากำลังตาละห้อยจมปรักอยู่กับภาวะหนี้ล้นไม่พ้นตัว ที่ผ่านมาได้อยู่ได้ เพราะ “เบี้ยเลี้ยง” จาก “เศษเงินสีเทา” นอกระบบ ส่วนที่อยู่ในระบบโดนหักบัญชีใช้ หนี้สหกรณ์ออมทรัพย์ ไม่นับ “หนี้เน่า” เงินกู้นอกระบบที่เป็นเงาตามตัวจนแทบไม่เหลืออะไร

โดยเฉพาะ “ฝ่ายสืบสวน” ออกแกะรอยคลี่คลายคดีแต่ละแฟ้มระบุประมาณ “เม็ดเงิน” ไม่ได้ บางคดีสำคัญฟันไปหลักแสนเฉียดล้านเพื่อแลก “โบแดง” แสดงจิตสำนึกในหน้าที่จนสร้างชื่อเสียงให้หน่วยและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

จำนวนเม็ดเงินที่ละลายเป็นค่าใช้จ่ายสารพัดงัดเอามาจาก “งบประมาณแผ่นดิน” ได้ไม่อั้นเชียวหรือ

ความเป็นจริง “ผู้เป็นนาย” ต่างรู้อยู่แก่ใจว่า มาจากไหน หากไม่ใช่ฐานเงินนอกระบบ “งบลับ” จาก “แม่ทัพหน่วย” ช่วยแจกแจงบัญชีติดตามคดีแบบไม่ต้องมีใบเสร็จ

เบ็ดเสร็จสถานการณ์ช่วงนี้กำลังส่อวิกฤติอันตราย

 “ธุรกิจสีเทา” โดนเป่าเข้าเก็บลิ้นชักล็อกกุญแจปิดตาย หากไวรัสวายร้ายยังไม่หยุดกระหาย มีหวังตายกันยกแผง

อันตรายที่บางนายคิดเลือกทางเดินผิด คิดทุจริตคอร์รัปชั่น หันไปเป็นโจร “ตีเงินยาเสพติด” อำมหิตยิ่งกว่าโจรธรรมดาหลายเท่า 

มีก็แต่ “หัวปิงปอง” บางจำพวก ไม่รู้ร้อนรู้หนาว ยังขยันเรียกกลุ่มรวมก๊วน “ตั้งด่านลอย” คอยสอยเหยื่อกลางถนน เรียกเอาผิดวินัยจราจรคนหาเช้ากินค่ำ สะบัดปากกาแจก “ใบสั่ง” ไม่ก็ยืนยันให้ “ปรับสด” ท่ามกลาง “วิบากกรรม” ปากท้องของผู้เดือดร้อนชักหน้าไม่ถึงหลัง

ทำตัวเป็นวายร้ายในเครื่องแบบ แสบยิ่งกว่าไวรัส  

ถ้าใครปฏิเสธว่ามันไม่จริงคงเหมือนพวกลิงหลอกเจ้า ???

RELATED ARTICLES