“ผมชอบอยู่ตรงนี้ มีความรู้สึกว่า เป็นตำรวจต้องจับผู้ร้าย”

ทายาทอดีตอธิบดีกรมตำรวจตงฉิน

พล.ต.ท.ชินภัทร สารสิน ลูกหม้อหน่วยปราบยานรก เลือกที่จะมานั่งคุมทัพ “กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด” เพื่อสานภารกิจคั่งค้างตามที่ตัวเองเคยวาดหวังไว้สมัยเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาลงสนามภาคปฏิบัติ

เป็นคนพูดน้อย แต่คอยประดิษฐ์ประดอยเบื้องหลังหลังฉากความสำเร็จ เด็ดขาดและดุดันไม่หวั่นอิทธิพลของกลุ่มคนทำผิดกฎหมาย

มีเป้าหมาย “มุ่งมั่นพิทักษ์ไทยให้ปลอดภัยยาเสพติด เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลเบื้องพระยุคลบาท”

ประกาศวิสัยทัศน์เป็นหน่วยนำในเชิงยุทธศาสตร์ในการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด และเป็นฝ่ายอำนวยการของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการวางแผน ควบคุม บูรณาการและสนับสนุนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

ร่วมกันแก้ไขปัญหาเพื่อให้ชุมชนและสังคมปลอดภัยจากยาเสพติด

 

มอบโนยายทำทุกมิติ รวบรวมสติให้ทุกฝ่ายร่วมมือกัน

          หลังเข้ามารับตำแหน่งเมื่อเดือนตุลาคม 2561 ต่อจาก พล.ต.ท.สมหมาย กองวิสัยสุข ผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติดที่เกษียณอายุราชการ ไม่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ความไม่เหมาะสมในตัวเขา เพราะในวงการสีกากีรู้ฝีมือการทำงานของ พล.ต.ท.ชินภัทร สารสิน เป็นอย่างดี

เจ้าตัวมอบนโยบายทันทีให้ลูกน้องทำงานทุกมิติ ทั้งปราบปรามเครือข่ายยาเสพติดรายใหญ่ รายย่อย และการบำบัด ท่ามกลางสถานการณ์ยาเสพติดที่ค่อนข้างจะรุนแรง พล.ต.ท.ชินภัทรบอกว่า การทะลักของยาเสพติดจากประเทศเพื่อนบ้าน จำเป็นต้องดำเนินการสกัดกั้น บูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะตำรวจ ทหาร ฝ่ายปกครอง และพลเรือนที่ต้องเข้ามาช่วยกันทำงานในการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด เพราะถือเป็นปัญหาระดับชาติ

“ในการแก้ปัญหา ผมมองว่า ทุกวันนี้ฝ่ายตำรวจทุ่มเทสรรพกำลังลงไปค่อนข้างจะเยอะและมากพอสมควร เพราะรู้กันอยู่แล้วว่า เป็นนโยบายของรัฐบาล ยิ่งช่วงนี้ยาเสพติดมีการนำเข้ามากขึ้น นโยบายรัฐบาลเห็นความสำคัญเรื่องยาเสพติด เป็นห่วงอนาคตของคนในชาติ ยอมรับว่า การป้องกัน ตำรวจทำฝ่ายเดียวไม่พอ ต้องแสวงหาหน่วยงานอื่น หรือภาคเอกชนด้วย ที่สำคัญในเรื่องของชุมชน ด้านครอบครัว อันนี้ ผมว่าเป็นสิ่งสำคัญในเรื่องยาเสพติด ถ้าครอบครัว หรือชุมชนมีส่วนร่วมช่วยกันจะทำให้เราได้มากกว่านี้อีกเยอะ

 

ประสานประเทศเพื่อนบ้าน เน้นป้องกันเป็นคู่ขนานงานปราบปราม

ผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติดมองถึงต้นตอส่วนหนึ่งของยาเสพติดมาจากประเทศเพื่อนบ้านที่เป็นเขตแดนอธิปไตยของเขา ถึงกระนั้นตั้งแต่มารับตำแหน่งได้มีการพูดคุยกันแล้ว ประเทศเพื่อนบ้านพร้อมที่จะให้ความร่วมมือในการช่วยเราทุกๆ ด้าน และได้ช่วยจริงๆ แต่บางครั้งอาจไม่ได้เป็นทางการ ถือเป็นกรอบความร่วมมืออย่างดีในระดับหนึ่ง ถามว่า จะเบาบางลงหรือไม่ ขึ้นอยู่กับปัจจัยในประเทศไทยมากกว่า ถ้าเราสามารถป้องกัน ทำให้คนเราเลิก หรือลดผู้เสพได้ ยาเสพติดจะเบาบางลงแน่นอน

พล.ต.ท.ชินภัทรยืนยันว่า กองบัญชากาตำรวจปราบปรามยาเสพติดพยายามจะทำทุกๆ อย่างในเรื่องการป้องกัน ตั้งแต่โครงการครูแดร์ที่หน่วยของเรารับผิดชอบ ในการไปให้ความรู้ ไปสอนนักเรียน ไปบอก ควบคู่กับผลิตกำลังส่วนของตำรวจภูธรและนครบาลออกไปช่วยไปตามโรงเรียน สอนความรู้ให้เด็กนักเรียน รับทราบ รับรู้ถึงพิษภัยของยาเสพติด แต่ว่า ที่ผ่านมาระบาดมาก เป็นเรื่องของปัญหาผู้เสพที่ครอบครัวมีปัญหา บางอย่างเจ้าหน้าที่รัฐอาจจะลงเข้าไปไม่ถึงด้วย

“ผมก็พยายามเน้นด้านป้องกัน ไม่ได้ปราบปรามอย่างเดียว  เน้นเชิงรุก เพราะตั้งแต่ผมเข้ามารับตำแหน่งก็ปราบปรามเน้นเชิงรุกอยู่แล้ว ทว่าการป้องกันก็ต้องทำควบคู่ขนานกันไป หนักใจไหม เมื่อเทียบกับสมัยเป็นรองผู้บัญชาการ ผมไม่หนักใจ เพราะว่า ผมทำตามอำนาจหน้าที่ของผม ตำรวจในหน่วยทุกคนก็ให้ความร่วมมือกับผมดี เราจะทำไปเรื่อยๆ ทำไปเท่าที่สามารถทำได้ ทุกคนในหน่วยมีความตั้งใจในการทำงานทั้งนั้น” พล.ต.ท.ชินภัทรว่า

 

ย้อนปูมชีวิตผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ได้อดีตอธิบดีตำรวจมือสะอาดเป็นต้นแบบ

“ บุคลากรของหน่วยปราบปรามยาเสพติดถือเป็นคนที่ดี ขยัน มีวินัย ทำให้ผมไม่หนักใจ ส่วนมากก็เป็นลูกน้องเก่าผมมาทั้งนั้น ผมคุ้นเคยและให้ความร่วมมือกันดีอยู่แล้ว เพราะผมอยู่ที่นี่มาทุกระดับชั้นตั้งแต่เป็นรองสารวัตร เห็นมานานแล้วว่า ทุกคนมีความตั้งใจทำงาน ส่วนหนึ่งทำให้อยากจะเป็นผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติดเพราะเหมือนกับว่า ผมเกิดที่นี่ ผมอยู่มาทุกตำแหน่ง จนตำแหน่งสุดท้ายที่ผมยังไม่เคยเป็น คือ ผู้บัญชาการ ถึงอยากจะได้มาสักครั้งหนึ่ง อยากมาสานงานต่อ เพราะสมัยก่อนที่ผมมาทำงานที่นี่ มองได้หลายอย่าง”

ย้อนประวัติ พล.ต.ท.ชินภัทร ลูกชายคนที่สองของ พล.ต.อ.เภา สารสิน อดีตอธิบดีกรมตำรวจ หลานปู่พจน์ สารสิน นายกรัฐมนตรีคนที่ 9 ในประวัติศาสตร์ชาติไทย เรียนจบปริญญาตรีด้านบริหาร มหาวิทยาลัยเซ็นทรัลมิสซูรี ประเทศสหรัฐอเมริกา บินกลับมาเรียนต่อคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีปทุม ปริญญาโทคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก่อนเข้ารับราชการตำแหน่งรองสารวัตรแผนก 1  กองกำกับการ 7 กองปราบปราม รับผิดชอบงานปราบปรามยาเสพติดที่ต่อมายกระดับเป็นกองบัญชาการปราบปรามยาเสพติด

เขาเป็นตระกูล “สารสิน” คนที่สองถัดจากพ่อที่เลือกทางเดินรับราชการเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์  “ภาพของคุณพ่ออยู่ในความทรงจำของผมอยู่เสมอ เป็นภาพที่คุณพ่อเป็นตำรวจทำงานทุ่มเททำงานอย่างเต็มที่ตลอดชีวิตของท่าน เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมตำรวจ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีมหาดไทย ผมได้มีโอกาสติดตามท่านไปไหนมาไหนบ่อยครั้ง ได้เห็นการเป็นผู้นำที่ดีของคุณพ่อ เป็นผู้บังคับบัญชาที่ใส่ใจลูกน้อง เป็นคนโอบอ้อมอารีมีแต่ให้กับให้ เมื่อผมมารับราชการตำรวจ คุณพ่อจึงเป็นต้นแบบที่ดีเยี่ยมของผมในทุก ๆ ด้าน”

 

เลือกนำคำสอนของพ่อมาปฏิบัติ ปัดอามิสสินจ้าง-อย่าให้ลูกน้องนอกทาง

ลูกชายอธิบดีเภา สารสินยังระบายความในใจรำลึกถึงพ่อไว้ในอนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพของบิดาว่า “ท่านย้ำกับผมเสมอ อย่าโกงกิน อย่ารับเงินทองใคร อย่าติดอามิสสินจ้าง อย่าเอาน้ำดำมาใส่ในน้ำขาว เพราะน้ำที่ใสจะสกปรกและเสียหาย เวลาเรามอบหมายให้ลูกน้องทำ เราควรปล่อยให้เขามีอิสระในการทำงานแล้วเราคอยสนับสนุนเขา ต้องดูแลลูกน้องให้ดี อย่าปล่อยให้เขาออกนอกลู่นอกทาง เพราะเมื่อเกิดความเสียหายขึ้น เราไม่อาจปัดความรับผิดชอบได้ เพราะเราเป็นผู้บังคับบัญชา”

นอกจากคำสอนเรื่องการทำงานแล้ว พล.ต.ท.ชินภัทร บันทึกอีกว่า พ่อยังสอนเรื่องการดำเนินชีวิตอีกหลายอย่าง สอนให้รู้จักวางตัว อ่อนน้อมถ่อมตน ตรงต่อเวลา ประหยัด ไม่เอาเปรียบคนอื่น ตลอดเวลาที่พ่อพร่ำสอนและยังทำให้เขาดูเป็นตัวอย่าง พ่อยังทำงานช่วยเหลือสังคมอีกมากมาย ช่วยเหลืองานของมูลนิธิและองค์กรต่าง ๆ หลายแห่ง เพราะพ่อเป็นคนมีจิตใจดี เอื้อเฝื้อเผื่อแผ่ “สิ่งที่ผมภูมิใจมากคือ แม้จะเกษียณอายุราชการไปแล้วกว่า 20 ปี ยังมีผู้คนมากมายชื่นชมและพูดถึงคุณพ่อในด้านดีเสมอ ความดีงามทั้งหลายที่คุณพ่อทำไว้ยังส่งผลดีมาถึงตัวผมและลูกหลานคนอื่นด้วย”

“สำหรับคนที่รู้จักคุณพ่อดีจะทราบว่าเป็นคนรักครอบครัวมาก ท่านย้ำหนักย้ำหนาว่า ขอให้ทุกคนในครอบครัวรักและสามัคคีกันเพื่อที่เราจะได้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข วันนี้แม้คุณพ่อจะจากไปแล้ว แต่สิ่งที่ท่านสอนจะอยู่ในใจผมเสมอ ผมเชื่อว่า ท่านได้ใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่า ไม่ว่าจะเป็นตลอดระยะเวลาการทำงานจของท่าน ล้วนแต่อุทิศตนเพื่อตอบแทนพระคุณแผ่นดิน ด้านชีวิตส่วนตัว ท่านได้ทำทุกสิ่งที่อยากทำ และได้ทุกอย่างที่อยากได้ คุ้มที่สุดแล้วชีวิตพ่อ” พล.ต.ท.ชินภัทรอาลัยถึงผู้บังเกิดเกล้า

 

สมัยเป็นผู้หมวดกวดจับผู้ร้าย เฉียดตายแต่ไม่วายเสียเพื่อนร่วมงาน 

ถึงกระนั้นก็ตาม เส้นทางชีวิตของเขาไม่ได้คิดว่า ตัวเองเป็นลูกอธิบดีกรมตำรวจ และไม่รู้สึกกดดันในการทำงาน เพราะวางตัวเป็นตำรวจคนหนึ่ง เหมือนตำรวจที่ทุกคนเป็น สมัยติดยศผู้หมวดใหม่ ๆ ออกติดตามขบวนการค้ายาเสพติดเกือบตายในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ เกิดปะทะคนร้าย แต่เพื่อนร่วมทีมถูกยิงเสียชีวิต ครั้งนั้น พล.ต.ท.ชินภัทรสารภาพว่า ไม่ได้นำเรื่องไปเล่าให้ทางบ้านฟัง เพราะกลัวจะเป็นห่วง เนื่องจากงานปราบปรามยาเสพติดเป็นงานปิดทองก้นพระ ไม่ใช่เรื่องที่จะนำมาเล่าตามที่พ่อเคยเตือนเสมอ

เหตุการณ์สืบเนื่องจากการติดตามแกะรอยแก๊งค้าเฮโรอีนรายใหญ่ คมกฤช พัฒน์พงศ์พานิช เป็นหัวหน้าศูนย์ปราบปรามยาเสพติดให้โทษ กรมตำรวจ ไปถึงแหล่งกบดานในโรงแรมฉิมพลี ถนนพัฒนาการ พล.ต.ท.ชินภัทรเล่าว่า ตามกันไปตามกันมาตอนแรกจะขึ้นแท็กซี่ไล่กวด แต่แท็กซี่ไม่ยอม เพราะกลัวลูกหลวง จังหวะลูกน้องขี่มอเตอร์ไซค์มาพอดีก็เลยกระโดดขึ้นซ้อนท้ายไปถึงโรงแรมฉิมพลี

“กำลังตำรวจเราล้อมไว้หมดแล้ว รอเพียงผู้ใหญ่สั่งการ มีสายลับส่งสัญญาณให้เข้าได้ แต่พอจะเข้าตัวสายลับกลับหลบนอนในรถ ทำทีมงานสะดุดบอกคนร้ายมีปืน พวกเราก็รีบแจ้ง แต่ไม่ทันไรก็มีเสียงเปิดดังขึ้น ในจังหวะที่ลูกน้องเดินเข้าไปไล่เปิดม่านรูดตามห้อง ไม่ทันระวังตัว เป็นจุดเดียวกับที่ผมต้องเข้า แต่ลูกน้องตัดหน้าเข้าก่อนเลยโดนยิงไป 3 นัด เสียชีวิตที่โรงพยาบาล ถ้าผมเป็นคนเปิดม่าน ผมก็โดนเหมือนกัน คุณแม่รู้ข่าวตอนหลังก็บ่น เพราะเป็นห่วง ส่วนคุณเตือนบอกให้คอยระวัง”

 

ปฏิเสธเลือนขึ้นตำแหน่งใหญ่ ขอกลับไปสานต่องานถนัดหน่วยเก่า

ไม่นานหลังจากนั้นเขาขยับเป็นนายเวร พล.ต.ท.รุ่งโรจน์ ยมกกุล ผู้การกองปราบปราม แต่มาช่วยงานปราบปราบยาเสพติดตลอด เช่นเดียวกับตอนขึ้นสารวัตรตำแหน่งผู้ช่วยนายเวร พล.ต.อ.พงษ์อำมาตย์ อมาตยกุล รองอธิบดีกรมตำรวจ และเป็นนายเวร พล.ต.อ.โกวิท ภักดีภูมิ รองอธิบดีกรมตำรวจ ก่อนลงเป็นรองผู้กำกับการ 1 กองบังคับการตำรวจปราบปรามยาเสพติด 1 กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด มี พล.ต.อ.ณรงวิช ไทยทอง รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ชวนเป็นนายเวรอีกแค่ไม่กี่เดือน คืนถิ่นเป็นผู้กำกับการ (กลุ่มงานนักวิเคราะห์ข่าว) กองบังคับการอำนวยการ กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด

เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2545 โยกเป็นผู้กำกับการ 4 กองบังคับการตำรวจปราบปรามยาเสพติด 1 กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด เป็นผู้กำกับการ 2 กองบังคับการตำรวจปราบปรามยาเสพติด 2 กองบัญชากาตำรวจปราบปรามยาเสพติด ขึ้นรองผู้บังคับการตำรวจปราบปรามยาเสพติด 2 กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด และรองผู้บังคับการตำรวจปราบปรามยาเสพติด 3 กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด ถึงเลื่อนเป็นผู้บังคับการตำรวจปราบปรามยาเสพติด 3 กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด เป็นรองผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติดนาน 4 ปี ขึ้นผู้บัญชาการประจำสำนักงานผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ทำหน้าที่นายตำรวจประสานงานสำนักนายกรัฐมนตรีและกระทรวงมหาดไทย) เมื่อปี 2559

มีลำดับอาวุโสแคนดิเคตขึ้นผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้ไม่ยาก แต่เจ้าตัวเลือกขอกลับคืนถิ่นมานั่งเก้าอี้ผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด เขาบอกว่า สมัยก่อนมองว่า อยากได้อย่างนั้น ทำไมไม่เป็นอย่างนี้ แต่ผู้ใหญ่อาจมองอีกมุม เคยคิดว่า ถ้าเรากลับมาที่นี่ก็อยากจะทำในสิ่งที่ได้สานต่อ สิ่งที่เคยคิด เคยคาดหวังไว้ ทำให้หน่วยดียิ่งขึ้น ทำให้มีความแข็งแกร่งเสริมเข้าไป อะไรที่ดีอยู่แล้ว ก็ทำต่อไป “เพราะฉะนั้นความหนักใจในเรื่องการทำงานไม่มีจะมีก็แค่เรื่องในการปราบปราม สมัยก่อนผมอยู่วิวัฒนาการเป็นอีกรูปแบบหนึ่ง ไม่มีโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟน มีแค่โทรศัพท์สาธารณะธรรมดา”

 

ลุยสร้างศักดิ์ศรีให้ต้นสังกัด กัดไม่ปล่อยอิทธิพลค้ายานรก

“สมัยนี้ วิวัฒนาการมันเปลี่ยนแปลงไปในการสื่อสาร เทคโนโลยีมันก็เปลี่ยนไป เพราะฉะนั้นที่จะหนักใจ คือ ตำรวจเราต้องพยายามที่จะก้าวให้ทันเทคโนโลยี เพราะถ้าตามไม่ทัน เราก็เหนื่อย ถึงเวลาจะไปทำงานก็ลำบาก ผมจะทำทุกวิถีทางที่เราจะต้องอยู่นำหน้าคนร้ายให้ได้ หรือถ้าไม่ได้ เราก็ต้องคู่ขนาน เติบโตไปกับมัน เพราะการพัฒนาของรูปแบบการค้ายาเสพติดไปเร็วมาก ระบบการซื้อการขายง่ายขึ้น การลักลอบขนมันง่าย เนื่องจากมีถนนสายหลัก สายรอง ทางลัดเยอะไปหมดที่จะหลบด่านตรวจเจ้าหน้าที่ มีส่วนให้เราทำงานลำบากมาขึ้น” ลูกชายอดีตอธิบดีกรมตำรวจคนดังชี้ให้เห็นถึงการทำงานในปัจจุบัน

เขาถึงต้องการคืนถิ่นกลับมาสร้างหน่วยให้ตำรวจมีการพัฒนามากขึ้นกว่าเดิม แม้กองบัญชากาตำรวจปราบปรามยาเสพติดเป็นหน่วยงานที่ปิดทองหลังพระ ต้องเสียสละ การเริ่มต้นกว่าจะจับกุมผู้ต้องหาได้บางครั้งใช้เวลาเป็นเดือนเป็นปีกว่าจะมีความสำเร็จ แต่ก็ถือเป็นความภาคภูมิใจของคนทำงานเบื้องหลัง “ส่วนตัวผมเอง อยากจะให้กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติดเป็นหนึ่งในสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ไม่มีใครมาดูถูกดูแคลนเราได้ เป็นหน่วยสำคัญที่ต่างชาติให้ความไว้วางใจ เป็นหน่วยงานที่มีขีดความสามารถ ดังนั้นผมจะทำตรงนี้ให้ลูกน้องมีความภูมิใจ ตราบใดที่ผมยังอยู่ที่นี่ หน่วยงานผมต้องมีศักดิ์ศรี มีความเป็นเอกเทศ”

“มีคำถามมาเยอะแยะว่า กลัวอิทธิพลคนโน้นคนนี้หรือไม่ ผมบอกเลยว่า ตราบใดผมอยู่ที่นี่ ผมไม่กลัว จะเป็นใครก็แล้วแต่ ถ้าทำผิดกฎหมายผมจับหมด คุณจะใหญ่โตขนาดไหน ผมไม่สน ผมจับ ผมไม่เกรงกลัวอิทธิพล ถ้าคุณเกี่ยวข้องกับยาเสพติด ผมไม่ปล่อยไว้แน่ ไม่ต้องมาพูดว่า เกรงกลัวอิทธิพล ไม่มีหรอกครับ  กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติดไม่เคยเป็นอย่างนี้ เราไม่เคยง้อใคร เรามีงบประมาณ ผมก็ได้รับความกรุณาจากท่านผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติอย่างดี ท่านสนับสนุนมาอย่างเต็มที่ ขาดตกอะไร ท่านก็ให้การสนับสนุน เพราะฉะนั้นคนที่นี่ก็ดี อยู่กันได้” นายพลตำรวจดีกรีนักเรียนนอกน้ำเสียงจริงจัง

 

 ลงภาคสนามกระตุ้นทีมฮึกเหิม เติมแนวคิดปิดทองหลังพระ      

“ผมชอบอยู่ตรงนี้ มีความรู้สึกว่า เป็นตำรวจต้องจับผู้ร้าย ผมก็อยู่หน่วยปราบปรามยาเสพติดกับการที่จะต้องจับพ่อค้ายาเสพติดมาตลอดจนถึงรองผู้บัญชาการ ผมก็ยังออกไปกับลูกน้อง เมื่อมาเป็นผู้บัญชาการยังต้องไป เพราะคนมันเคย อย่างน้อยไปเป็นขวัญกำลังใจลูกน้อง บางครั้งต้องดูเป็นงานๆ ถ้างานมันมีความจำเป็น ถ้าผมไป ลูกน้องได้ใจ เหมือนสมัยก่อน ตอนผมเป็นเด็ก เห็นนายไปด้วย มันรู้สึกฮึกเหิม มีขวัญและกำลังใจ ขณะเดียวกัน ผมไป ผมก็คิดว่า ผมไม่ได้ไปเป็นพระเอกนะ ผมไปเป็นขวัญกำลังใจ คนมันเคยทำ ถึงเวลาก็อดไม่ได้”

   “ถือว่า ผมทำบุญเพื่อประเทศชาติ ผมไปไหน ผมบอกลูกน้องเสมอว่า การทำงานมันก็เหมือนปิดทองหลังพระ คนไม่ค่อยเห็นหรอก แต่ว่า ตัวเองเรารู้ ฟ้าดินรู้ นายรู้ก็พอใจได้แล้ว” เป็นเหตุผลหนึ่งที่สมัยก่อนนายพลลูกหม้อหน่วยปราบปรามยาเสพติดถึงเลือกไม่เปิดหน้าออกตามสื่อด้วยความที่เคยโดนรุ่นพี่มาตั้งแต่อ้อนแต่ออกว่า ทำงานต้องซ่อนตัว อย่าไปเปิดเผยตัวว่า เราเป็นใคร แบบไหน อะไรยังไงจนติดนิสัย ไม่อยากออกตัว ไม่ค่อยให้สัมภาษณ์ ไม่จำเป็นต้องสร้างภาพ

เจ้าตัวย้ำถึงหลักคำสอนของพ่อที่นำไปถ่ายทอดต่อผู้ใต้บังคับบัญชาเสมอว่า  อย่าไปทำคนผิด ถ้าเขาไม่เกี่ยว อย่าไปจับ อย่าไปทำคนบริสุทธิ์ ทำอะไรก็ขอให้ตรงไปตรงมา ขอให้ถูกต้องตามกฎระเบียบ ถ้าไม่ถูกต้องวันหนึ่งหากเรามีเรื่องแล้ว ไม่มีใครช่วยเราหรอก มีแต่ตัวเราเองเท่านั้นที่จะช่วยตัวเราเองได้ ทำอะไรที่ถูกต้อง ตรงไปตรงมา เราจะไม่กังวลใจ สบายใจ

 

ยืนยันจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด หยุดโอกาสคนผิดขอวิ่งเต้นคดี

ส่วนจะนั่งตำแหน่งแม่ทัพทำสงครามยาเสพติดกี่ปีเนื่องจากมีอาวุโสพอจะเลื่อนเก้าอี้สูงขึ้นแล้ว พล.ต.ท.ชินภัทรมองว่า ดวงชะตาลิขิตชีวิตคนเรา ขีดเส้นไว้หมดแล้ว ถึงอย่างไรก็ได้ขึ้นเป็นผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติดตามที่คาดหวังไว้อยากมาทำงานสานต่อถิ่นเก่า อนาคตต้องย้ายไปที่ไหน เราก็ต้องไป ผู้บังคับบัญชาสั่งให้ทำ เราก็ต้องทำ ในสิ่งที่ถูกที่ควร แค่เราอยากทำงานที่เราถนัด เพราะโตจากที่นี่ตั้งแต่เด็ก ขณะเดียวกันต้องยอมรับว่า วิธีการอะไรต่าง ๆ เปลี่ยนแปลงไปเยอะ แต่ว่าหลักการต้องคงอยู่ ภายใต้รากฐานเดิมอยู่ อาจมีวิธีการดำเนินการที่เปลี่ยนแปลงไปเท่านั้น ยืนยันว่า จะทำให้ดีที่สุด ตราบใดที่ยังเป็นผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด

“ผมพร้อมลุยจับอิทธิพล ผมไม่กลัว ใครมาทำผิด ผมจับหมด อย่ามาอ้างโน่น อ้างนี่ ผมไม่สน ถ้าคุณผิดผมจับ ไม่ต้องมาขอ ไม่มีการขอที่นี่ อามิสสินจ้างผมไม่รับ ไม่ต้องห่วง และผมก็ไม่ให้ลูกน้องผมรับด้วย ลูกน้องผมเลี้ยงดูในกองบัญชาการดีพอสมควร ให้เขาอยู่ได้ดีมากกว่าที่อื่นด้วยซ้ำไป สวัสดิการต่างๆ ผมดูแลหมด เพราะว่า ถ้าพื้นฐานมันไม่ดี มันก็ออกทำงานไม่ไหว ถ้าพื้นฐานดี การที่มันจะออกนอกลู่นอกทางมันก็ลดโอกาสจะทำ หรือเสี่ยง เพราะฉะนั้น เราอย่าปล่อยให้พวกเขาอดอยาก นี่เป็นสิ่งที่ผมทำอยู่”

มือปราบยานรกหลานชายอดีตนายกรัฐมนตรีรับว่า ปัญหายาเสพติดในปัจจุบันค่อนข้างรุนแรง แทรกซึมไปทั่ว กระจายไปถึงเด็กและเยาวชนตามสถาบันการศึกษา เป็นเรื่องของทุกภาคส่วนต้องเข้ามาช่วยกัน โดยเฉพาะครอบครัว เด็กหลายคนที่มีปัญหาเสพยาเสพติดเกิดจากครอบครัวแตกแยก และครอบครัวที่มีฐานะร่ำรวย มีเงินทองให้ลูกชายจ่ายแบบตามใจ

ห่วงอนาคตเด็กรุ่นใหม่ใจแตก เพราะพ่อแม่แจกเงินแทนความรัก

พล.ต.ท.ชินภัทรอยากจะฝากถึงเด็กรุ่นใหม่ๆ แม้บางทีพูดไปจะไปกระทบต่อคนอื่น แต่ด้วยความเป็นห่วงอนาคตของเด็กและเยาวชน สมัยนี้การเลี้ยงลูกไม่เหมือนแต่ก่อน ขาดความเข้าใจและเวลาดูแลเอาใจใส่ เลือกให้ลูกด้วยทรัพย์สินเงินทองแทนการมอบความรัก ความอบอุ่นในครอบครัว เหล่านี้มีส่วนทำให้เป็นช่องหลงพิษ เด็กบางคนมีเงิน เห็นยาเสพติดเป็นสิ่งดีงาม ยุคก่อนปัญหายาเสพติดส่วนมากจะเป็นเรื่องของพวกมีอายุทั้งนั้น หรือเฉพาะกับพวกที่มีปัญหาครอบครัว

“เดี๋ยวนี้กาลเวลาก็เปลี่ยนไป บางครั้งพวกที่มีเงินสนุกสนานเลยเถิด ผมเองยังคิดเลยว่า ไปซื้อมาทำไม ไปเล่นมันทำไม ยาเสพติดพวกนี้ อยากเมา คุณก็ไปกินเหล้าซะ กินไปมันก็เมา ถูกกว่ากันเยอะแยะ ไม่โดนจับด้วย กลับไปนั่งเล่นยาเสพติด ผมอยากถามว่า คุณเล่นแล้วคุณได้อะไร ไม่ว่าจะเป็นไอซ์ โคเคน หรือยาบ้า คนมีเงินหน่อยก็จะเล่นของแพง บางครั้งพ่อแม่ไม่ได้ใส่ใจลูกเท่าที่ควร”

ผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติดบอกอีกว่า มีเพื่อนหลายคนหรือคนรู้จักพยายามเข้ามาขอความช่วยเหลือเพราะลูกติดยาเสพติด เราก็อยากถามกลับไปว่า ให้ดูตัวเองก่อน ทำอะไรให้ลูกบ้าง เคยให้ความรัก การดูแลเอาใจใส่ลูกบ้างไหม หรือให้แต่เงินจนออกนอกลู่นอกทาง เงินหมดก็มาแบมือขอ ปัญหาก็ถึงเกิดทุกวันนี้ ถ้าพ่อแม่ใส่ใจให้ความรักความอบอุ่นกับลูกน่าจะเป็นเกราะคุ้มกันภัยจากยาเสพติดได้ดีที่สุด

 

 

 

 

RELATED ARTICLES