“ตั้งแต่เราตัดสินใจแต่งงาน นั่นคือ เราเลือกแล้ว”

ผ่านอุปสรรคขวากหนามความรักมาไม่น้อย

กว่า คุณยู้-ปิยาภรณ์ เวศย์วรุตม์ จะลงเอยเป็นคู่ชีวิต พ.ต.ท.เด่นหล้า รัตนกิจ รองผู้กำกับการฝ่ายอำนวยการ 1 กองบังคับการอำนวยการ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง นักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่น 54

เธอเป็นลูกนักธุรกิจเจ้าของดีลเลอร์รถยี่ห้ออีซูซุ ดูแลสาขาจังหวัดนครปฐม เริ่มวัยเรียนชั้นประถมศึกษาที่อุดมวิทยา อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี เป็นโรงเรียนประจำ ก่อนมาจบมัธยมโรงเรียนราชชินีบูรณะ จังหวัดปฐม ไปต่อปริญญาตรีคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง และปริญญาโทคณะรัฐศาสตร์ การเมืองการปกครอง มหาวิทยาลัยเดียวกัน

“จริงๆ ตอนเด็กๆ ก็ไม่ได้ มีเป้าหมายว่า อยากเป็นอะไร เพราะที่บ้านมองว่าอยากให้ช่วยกลับมาสานต่อธุรกิจครอบครัวที่มีอยู่หลายสาขา แบ่งให้พี่น้องทุกคนไปดูแล ยู้เลยได้มาดูแลสาขาที่นครปฐม” นักธุรกิจสาวเจ้าของดีลเลอร์รถยี่ห้อดังว่า

ชีวิตวุ่นวายอยู่กับงานของตระกูล ทำให้ไม่มีเวลาค้นหาความรัก กระทั่งวัยย่างเข้า 30 ความที่รักชีวิตโสด สนุกกับงาน เป็นเหตุให้เพื่อนต้องสวมบทแม่สื่อแนะนำให้รู้จักสารวัตรหนุ่มสังกัดทางหลวง “ยู้ยอมรับว่า ความคิดตอนนั้น รู้สึกว่า ถ้าคนที่จะมาคบหาจะดูแลเราได้ไหม กลัวเขาจะยังไม่พร้อมดูแลเรา ยู้ถึงไม่คิดมีครอบครัว”

สุดท้ายเพื่อนที่มีแฟนเป็นนายตำรวจทาบทาม พ.ต.ท.เด่นหล้า ให้รู้จักเพราะกำลังอยู่ในช่วงโสดเหมือนกัน คุณยู้บอกว่า ไม่ได้ชอบตำรวจ เพราะที่บ้านทำธุรกิจ ไม่ค่อยชอบตำรวจอยู่แล้ว พ่อจะเป็นฝ่ายค้านหัวชนฝา แต่เขาจะเข้าทางแม่ ไปให้แม่เจอบ่อย ๆ ทีแรกนึกว่าจะยาก  แม่กลับไม่ขวาง เพราะปกติจะช่วยสกรีนให้อยู่แล้ว

เธอย้อนวันวานแห่งความรักว่า เพื่อนแนะนำในงานแต่งเพื่อนอีกคน บอกเขาว่า เรายังโสดแล้วเอารูปให้ดู เขาเป็นตำรวจทางหลวงอยู่ประจวบคีรีขันธ์อาศัยช่วงมีประชุมกองกำกับเลยนั่งรถทางหลวงมาดูตัวจริงถึงโชว์รูม เขาสารภาพว่า ตอนแรกคิดว่าเป็นผู้จัดการ ไม่คิดว่าเป็นเจ้าของ เจอหน้าก็ไปประชุมต่อ เขามาบอกตอนหลังว่า ตัวจริงกับในรูปอาจต่างกัน ต้องมาดูให้เห็นว่าถูกชะตาไหม

นับจากวันนั้น ทั้งคู่เริ่มสานสัมพันธ์กันอย่างรวดเร็จด้วยวัยที่เป็นผู้ใหญ่กันแล้ว คุยกันแล้วใช่ก็ตกลงปลงใจคบหากัน ทว่ากลับเจออุปสรรคตรงที่พ่อฝ่ายหญิงไม่ชอบ ตั้งเป้าเป็นกำแพงกว่าจะฝ่าด่านได้ต้องใช้เวลาพอสมควร “คิดดูล่ะกันว่า กำลังวางแผนจะแต่งงานแล้ว แต่คุณพ่อไม่อนุญาต ยู้ก็ตัดสินใจถึงขั้นประกาศว่า ถ้าไม่แต่งก็จะคบกันไปแบบนี้ ปัญหามันหนักมากช่วงนั้น แม้ว่า คุณแม่จะถูกชะตา แล้วด้วยปีถือว่า ไม่ชง เอาชินแสมาดูฤกษ์แต่งงานด้วยซ้ำ”

คู่รักนายตำรวจหนุ่มเล่าต่อว่า เหตุที่เลือกเขา เพราะคุยกันง่าย คบกันไม่เกิน 2 ปี ตกลงปลงใจจะแต่งงาน คิดว่า โอเคแล้ว ดูใจกันระดับหนึ่ง จากที่แรกๆ ที่เจอ เขาเทคแคร์ดี แล้วดูเป็นผู้ชายอบอุ่น ดูแลเราได้ แม่ถึงกับต้องไปดูฤกษ์ให้เลย เอาชินแส มาดูดวงชะตา แต่พ่อพูดกลางวงเลยว่าไม่ให้แต่ง ทั้งที่พ่อปกติเป็นคนที่ตามใจมาก ไม่บังคับลูก

คุณยู้ว่า ตอนนั้นชะงักกันไป เลื่อนฤกษ์แต่งไปเป็นปี ตอนแรกจะแต่งปลายปีก็เลื่อนไปอีกปี ช่วงเวลานั้น พ่อจะมีเวลาไปเช็กผู้ใหญ่ที่นับถือว่า เขาเป็นคนแบบไหน ตอนนั้นก็มีท้อบ้างที่โดนพ่อเบรก เราก็อยากให้เขาเอาชนะใจพ่อ เขาเลยแวะมาเยี่ยมบ่อย ๆ แล้วจะเป็นคนพูดตรง ๆ บอกกับพ่อตอนหลังว่า เลือกแล้ว ในที่สุดก็ผ่านอุปสรรคพ่อตาได้สำเร็จ

เมื่อเปิดไฟเขียว นายตำรวจหนุ่มจัดแจงเชิญ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ขณะนั้นเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มาเป็นเถ้าแก่สู่ขอ ขณะที่ พ่อตาเชิญ ไชยา สะสมทรัพย์ มาเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายเจ้าสาว พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ถึงขนาดย้ำกับลูกน้องตัวเองว่า “อย่าทำให้เสียชื่อนะ” ก่อนจะนั่งรถมาทำพิธีสู่ขอถึงจังหวัดนครปฐม

แต่งงานเริ่มต้นชีวิตครอบครัว คุณยู้บอกว่า ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมาก สามียังอยู่ประจวบคีรีขันธ์ สุดสัปดาห์จะกลับมาหาที ไม่ก็เราไปหา เป็นแบบนี้ตลอดทั้งปี เหมือนตอนเป็นแฟนกันจนมีลูก สามีขึ้นเป็นรองผู้กำกับการอยู่กองปราบปรามพอดี ทำให้มีเวลาครอบครัวมากขึ้น อยู่ด้วยกันมากขึ้น แต่ก็เริ่มเห็นข้อเสียกัน ซึ่งต้องปรับกันไป หลายอย่างเราจะไม่ก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวกัน ทำให้เราก็ต่างมีโลกส่วนตัวของตัวเอง อย่างเรื่องโทรศัพท์ เราก็ไม่ต้องแบบไปแอบดูว่า เขาจะคุยกับใคร เขาจะไปไหน ถ้าเขาบอกว่าจะไปกินเลี้ยง เราก็จะไม่โทรจิก โทรตามตลอดเวลา เพราะไม่ได้ไปกับเขา เราก็ต้องอยู่บ้านดูลูก เลี้ยงลูกเอง

คุณยู้ ให้กำเนิด น้องพราว-รพริบพราว รัตนกิจ ลูกสาววัยกำลังน่ารักเป็นโซ่ทองคล้องดวงใจ เธอว่า การเป็นครอบครัวตำรวจ ต้องใช้หลักประคับประคองกัน คือ พูดให้น้อย ให้อภัยเยอะๆ เพราะเรารู้สึกว่า บางทีเรายังผิดพลาดได้ ดังนั้น เขาก็คงต้องมีบ้าง ตั้งแต่แต่งงานกันมา ก็ยังไม่เคยเจอเรื่องอะไรหนักๆ อย่างคู่อื่นเขา เช่น เรื่องผู้หญิงอะไรแบบนี้

“จะด้วยยังไงก็แล้วแต่ เขาก็ยังเป็นพ่อที่ดี เป็นสามีที่ดีอยู่ ก็ไม่เคยคิดว่า คิดถูกหรือคิดผิด เพราะเราคิดว่า ตั้งแต่เราตัดสินใจแต่งงาน นั่นคือ เราเลือกแล้ว ถ้าหลังจากนั้นจะดีหรือไม่ดี ก็ไม่โทษใคร เพราะเราเลือกแล้ว ทุกอย่างก็คงต้องประคับประคองกันไป แบบว่า เราแต่งงานกันด้วยอายุมากแล้ว อะไรที่ต่างคนต่างยอมกันได้ก็น่าจะดีกับชีวิตมากกว่า”

ถามว่า รู้สึกอย่างไรกับภาพพจน์ตำรวจที่ถูกมองไม่ดี สาวเจ้าของดีลเลอร์รถอีซูซุสาขานครปฐมว่า ในฐานะเป็นภรรยาตำรวจ จากเดิมที่บ้านไม่ชอบตำรวจ คิดว่าตำรวจไม่ดีแน่ๆ เลย แต่พอมีครอบครัวเป็นตำรวจ แล้วรู้สึกว่า ไม่แฟร์ เพราะตำรวจต้องทำงานเยอะ แล้วคนอื่นที่มาว่า ก็ตัดสิน โดยที่ยังไม่ได้สัมผัส หรือมาเห็นตัวตนของตำรวจ แต่เราก็จะเลี่ยง ไม่อ่านพวกโซเชียล เพราะรู้สึกว่าทำให้เครียด บางทีใครว่า ก็จะคิดว่า รู้จริงๆ หรือเปล่า ข้อมูลที่ได้มาเนี่ย

คุณยู้ย้ำว่า ตำรวจน่าสงสารนะ ยิ่งแบบพวกที่ยศเป็นชั้นผู้น้อย ยิ่งน่าสงสาร เราก็รู้สึกอย่างนั้น เพราะตำรวจเหล่านี้ทำงานเยอะ แล้วครอบครัว หรือข้างหลังบ้านก็ต้องรับภาระทุกอย่าง หนักด้วย เราก็อิน คิดว่าไม่แฟร์ หลังๆ ครอบครัวเราเองก็เริ่มเข้าใจ  อีกอย่างหนึ่ง เขาจะเข้าใจแล้วว่า เงินเดือนตำรวจ ไม่ได้เยอะ เราเองจะคิดตลอดว่า ต้องช่วยกันสร้างครอบครัว กลายเป็นว่า อะไรประหยัดได้ ก็ต้องประหยัด ไม่ใช่จะใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย ก็ต้องช่วยกันหลายอย่าง

“มันก็รู้สึกว่าเหนื่อยมากเหมือนกันนะ พอฤดูกาลแต่งตั้งโยกย้ายยิ่งเครียดเลย แรกๆ ที่เพิ่งแต่งงาน  ยู้ไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมต้องขนาดนั้น บางทีทำงานทั้งวันทั้งคืน ห้ำหั่นกันขนาดนั้นเลยหรือ จนเขาก็ต้องอธิบายว่า มันเป็นยังไง ตำรวจก็เหมือนกับหลายอาชีพ หลังๆ ก็รับฟัง ให้กำลังใจ เพราะดูจะเครียดกันทุกคน สามีก็เครียดหนัก เลยไม่อยากจะสร้างอะไรให้เครียดเพิ่ม ยู้ก็จะมาดูลูก เลี้ยงลูกดีกว่า เพราะถือว่า มีลูกแล้ว”

สะใภ้บ้านรัตนกิจทิ้งท้ายว่า เราต้องให้กำลังใจกัน  ส่วนใหญ่ก็จะไม่พูดอะไรเยอะ จะแบบว่า ถ้ามีอะไรก็บอก ให้คิดว่ายังไงก็ยังมีเรา เราจะช่วยทุกอย่างที่เราพอทำได้ แต่สไตล์เขาก็จะเป็นแนวไม่ค่อยมาเล่าให้เราฟังเยอะด้วย มีเพื่อนๆ เขาก็จะช่วยเหลือกัน ส่วนภรรยาถ้าเข้าไปมากก็จะทำให้รู้สึกกดดัน ยิ่งเราก็ไม่ใช่ทางนั้น ดูแลกิจการที่บ้านก็เหนื่อยแล้ว ยิ่งตอนนี้มีลูกด้วยก็ยิ่งไม่มีเวลาไปไหน

RELATED ARTICLES