“คนที่รู้จักผมดี แล้วจะรู้ว่าผมเป็นอย่างไร”

 

หลายต่อหลายครั้งที่ พ.ต.ท.สันธนะ ประยูรรัตน์ อดีตรองผู้กำกับสันติบาลออกหน้ามาเปิดโปงความไม่ชอบมาพากลในวงการสีกากีที่ตัวเขาเองเคยคลุกคลีมาเกินกว่า 30 ปี ด้วยการแฉพฤติกรรมส่วยหลากรูปแบบบนเส้นทางธุรกิจ “สีเทา” ที่องค์กรตำรวจเข้าไปยุ่งเกี่ยวเรียกเก็บผลประโยชน์ โดยเฉพาะบ่อนการพนันอมตะหลายแห่งกลางกรุงที่อยู่ยงคงกระพันเพราะมีตำรวจเอี่ยวอยู่เบื้องหลัง

ไม่แปลกที่ พ.ต.ท.สันธนะ จึงถูกเหม็นหน้าจากอดีตเพื่อนร่วมอาชีพ รวมถึงเจ้าพ่อวงการพนันที่ถูกเปิดโปง กระทั่งกลายเป็นความขัดแย้งที่ทำให้นายตำรวจเก่าคนนี้มีศัตรูมากพอ ๆ กับมิตร

ถึงขั้นถูกมือสังหารระดับพระกาฬตามประกบยิงใจกลางกรุง ส่งผลให้ลูกน้องเสียชีวิตคารถ

COP’S MAGAZINE จึงอยากพาท่านผู้อ่านไปเจาะใจถึงตัวตนที่แท้จริงของ พ.ต.ท.สันธนะ ประยูรรัตน์ อดีตนายตำรวจคนดังที่ใครหลายคนอาจจะไม่อยากไปข้องแวะพูดคุยด้วย

ทั้งที่ยังไม่เคยรู้จักตัวจริงของเขาเลยสักนิด

“ผมไม่เคยรังแกคนดี ไม่คิดทำลายองค์กรตำรวจ เพราะพ่อ พี่ชาย และน้องชาย ของผมก็เป็นตำรวจ สิ่งที่ผมทำ เชื่อว่าชาวบ้านน่าจะได้ประโยชน์ ส่วนคนที่เสียผลประโยชน์คือคนไม่ดี” เป็นประโยคแรกของบทสนทนาที่ค่อนข้างมีเหตุผลชัดเจนในตัวอดีตรองผู้กำกับสันติบาลที่ต้องออกจากชีวิตราชการเพราะพิษบ่อนการพนัน

พ.ต.ท.สันธนะบอกว่า วิถีชีวิตพาไปให้ตัวเองรับราชการตำรวจ ทั้งที่ตอนเด็กเรียนอยู่โรงเรียนอัสสัมชัญกรุงเทพ น่าจะจบออกไปประกอบธุรกิจมากกว่า สุดท้ายลงเอยไปเข้าเตรียมทหาร เลือกเหล่าตำรวจเหมือนพ่อและพี่ชาย แต่ไม่เคยคิดทะเยอทะยานเป็นนายพล ขอแค่พันตำรวจเอกก็ถือว่าสูงสุดในชีวิตแล้ว

พอเอาเข้าจริง ๆ กับไปไม่ถึงจุดนั้น

“ผมพอใจนะ เพราะเริ่มรู้ว่า ผมอยู่กับเขาไม่ได้ สิ่งเหล่านี้อยู่ฝังอยู่ในสภาพจิตใจผมมานานแล้ว การที่เราได้สัมผัส ฝ่ายปฏิบัติการมาตลอด ต้องรับนโยบายมาจากข้างบน บางคดีจะเชือดคอหอยแล้ว ผู้บังคับบัญชาสั่งมาต้องหยุด ก็คือเลิก ผมออกไปทำงานในพื้นที่ ย้ายตัวเองทุกปี เหตุผลเพราะต้องการไปทั่วประเทศเพื่อจะรู้ว่า เหนือใต้ ตะวันออก อีสาน หรือตะวันตก คืออะไร มองทะลุทุกอย่างเพื่อศึกษา ได้เห็นนักการเมืองที่ทุกวันนี้เป็นรัฐมนตรี สมัยที่ผมรับราชการเห็นกระทั่งพ่อเขา  เห็นครอบครัวว่า การที่เขาเติบโตขึ้นมาเพราะอะไร แบบไหนอย่างไร บางคนผมศรัทธา แต่บางคนอย่ามาคุยกับผม เพราะผมเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง”

“ดรรชนีชี้วัดของผม ไม่ได้เอาผลประโยชน์มาเป็นตัวตั้ง เงินซื้อผมไม่ได้ ผมมีจุดของผม ทุกวันนี้กระแสสังคมจะพูดกับผมอย่างไร พูดไป แต่ผมจะบอกกับคนของผมทุกคน เขาไม่ได้มาให้เรากินนะ เขาไม่ได้มาเลี้ยงเรา ตรงกันข้ามเราก็ไม่เคยไปรังแกเขา ไม่เคยไปเบียดบังเขา มีแต่พวกเขาเสียอีกที่เดือดร้อนแล้วมาหาผม ไม่ว่าจะเรื่องทางการเงิน หรือเรื่องปัญหาที่เขามีกัน แน่นอนเหมือนเราสร้างศัตรูทางอ้อม ผมก็ไม่ได้ว่า วิถีใครวิถีมัน ต้องเข้าใจผม ถ้าจะวิพากษ์ผม ถามก่อนว่า คุณรู้จักผมมั้ย เคยสัมผัสผมมั้ย”

อดีตรองผู้กำกับหนุ่มเล่าอีกว่า สมัยที่เคยเป็นสารวัตรอยู่กองปราบปรามสามยอด มีเงินเข้ามาเยอะมาก ตัวเองต้องเป็นคนบริหาร มีวินัยในการดูแลค่าใช้จ่ายทั้งหมด วันหยุดเสาร์อาทิตย์แทนที่จะได้ไปเที่ยวพักผ่อนตามประสาวัยรุ่นต้องมานอนเฝ้าเงินสดเป็นล้าน แต่หากวันหนที่อยากพักจริง ๆ จะเดินทางไปต่างประเทศ ไปคนเดียว แสวงหาโลกภายนอก ตั้งแต่สมัยเป็นร้อยตำรวจตรี พยายามศึกษาธุรกิจรูปแบบต่าง ๆ เอามาทำเป็นธุรกิจของตัวเอง เพราะอาชีพตำรวจคงจะอยู่ไมได้ เตรียมการทุก 10 ปี มองอนาคตไว้ล่วงหน้า

“ อยู่กองปราบ เรื่องผลประโยชน์มารวมอยู่ผมหมด ถามว่า ผู้บังคับบัญชาย้ายเข้ามาใหม่ตรวจสอบผม บอกอะไรก็คุณ อะไรก็คุณทุกอย่าง ผมก็แค่ตอบไปว่า ถ้าตรวจสอบว่าอะไรเข้ามาที่ผม ก็ไม่รู้จะเอาเงินทองไปไว้ที่ไหน เพราะฉะนั้นอย่าถามผมนะว่า ผมจัดสรรปันส่วนแบ่งจ่ายใครไปเท่าไหร่ ผู้บังคับบัญชาบางคนประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตมีเงินในบัญชี 7 หลัก สมัยก่อนถือว่าเยอะ ก็เราเป็นคนจัดสรรดูแลให้ ผมก็รับ ถ้าสิ่งที่ผมทำเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง จะทำอะไรผมก็ทำ แต่อย่ามากดดันถามว่า เอาไปตรงไหนอย่างไร พวกผมก็คือพรรคพวกจะให้ผมไปบอกคนนั้น ได้อย่างนั้น คนโน่นได้อย่างนี้ อย่าถาม ผมทำไม่ได้ แล้วท่านก็ย้ายผม” พ.ต.ท.สันธนะบอก

“ชีวิตผมคืออย่างนี้ ตรงนี้ ไม่ต้องประกาศ ไม่ต้องสร้างภาพ คนที่รู้กจักผมดีแล้วจะรู้ว่าผมเป็นอย่างไร ทุกคนอยู่กับผม ไม่ได้อยู่เพียงร่าง แต่อยู่ด้วยจิตวิญาณ ผมเสียคนของผมไป ผมถามว่าคนที่ผมเสียไป ไม่ใช่เพิ่งมาพูดตอนนี้นะ เขาเคยพูดกับผมมานานแล้ว พร้อมเอาชีวิตแลกให้ผมได้ เพื่อที่จะให้ผมอยู่ต่อ ผมถามว่า ถ้าคุณจะเป็นเจ้าพ่อระดับไหน คุณจะเป็นนักธุรกิจร่ำรวยระดับเศรษฐีพันล้าน คุณจะมีคนแบบผมมั้ย ผมไม่ได้ว่าผมเป็นคนดี แต่ผมผูกพันกับพวกเขา และไม่ใช่มีแค่คนเดียว ยังมีอีกหลาย ๆ คน ที่พร้อม เพราะฉะนั้น ใครคิดทำลายผมไม่ได้หรอก สิ่งที่ผมทำไป ไม่เคยตักตวงเก็บผลประโยชน์เหล่านั้นมาสร้างความสุขให้แก่ตัวเอง คนของผม เวลาไปต่างประเทศก็นอนโรงแรมห้าดาวกับผม เวลาไปทานอาหารชั้นดี ถ้าเขากินได้ ก็นั่งกินกับผม มีส่วนร่วมทุกอย่าง ให้เขามีใจมาให้เราเอง ไม่ได้ซื้อใจ”

“เหมือนผม ซื้อผมไม่ได้ ใครบอกว่ามีปัญหาตรงนั้นตรงนี้แล้วบอกว่าเคลียร์ผมแล้ว เอาอะไรมาเคลียร์ผม ไม่มี คนอย่างผม ถ้าขายได้ ซื้อผมได้ ผมก็จบเหมือนกัน ใครจะว่าอะไรก็ว่าไป แต่เขาไม่รู้จริง ไม่ได้มีโอกาสมาคุยกับผม ไม่รู้จักผมด้วยซ้ำไป ทั้งที่ผมไม่เคยถือตัว ไม่เคยรังเกลียด อยากจะเจอผมตรงไหน ยังไงก็ได้ ถ้ามีใจอยากจะพบผม ตรงไหนก็ได้สำหรับผม เปิดกว้างสำหรับทุกคน”

รองสันธนะบอกว่า  ความสุขจริงๆของไม่ใช่ทรัพย์สินเงินทอง ไม่ใช่ข้าทาสบริวาร แต่มันคือตัวเรา แฮปปี้ไหมในสถานการณ์แบบนี้ บางคนต่อให้มีอำนาจล้นฟ้า ถามว่าทุกวันนี้กลับไปนอนบ้านทุกวันมีความสุขไหม ต้องมานั่งระแวดระวัง หวาดระแวง “ แต่ผมไม่เคยประมาทไม่ว่าในเหตุการณ์ไหน หลายคนเราตัดสินเขา เขาก็อย่างตัดสินเรา คนไม่ดี มันคิดไม่ดีกับเราแน่ คนไม่ดีคือคนไม่ดี ไม่รู้ตัวว่า ถูกประณามไม่ดี เข้าใจว่าสิ่งที่เขาทำมันดี การที่ได้รับอภิสิทธิ์ ได้รับอำนาจบาตรใหญ่ ทำลายล้าง รังแกคนนั้นคนนี้ เขาไม่รู้สึก อย่างผมเป็นคนที่สะกิดปั๊บรู้สึกเลย รู้สึกไว ผมไม่ได้มีหน้าตาทางสังคม  เราเป็นเรา เรารู้ตัว วิถีของเรา มาทะลุทะลวงผมได้ทุกอย่าง ตอบได้ทุกคำถาม เพราะไม่มีอะไรเคลือบแคลงเหมือนบุคคลเหล่านั้น”

“ที่ผ่านมากฎหมายทำอะไรไม่ได้ อำนาจทำอะไรไม่ได้ เหล่านี้ที่ผมทำ กระทบกับคนไม่ดี คนที่มันเลวร้ายในสังคม  ชีวิตผมไม่เคยกลัวอะไร เกรงอะไร นอกจากคนดี กับความดีที่เขามี ผมอยากให้คนดี ๆอยู่ในสังคม ต้องรักษาเขาไว้ ผมถึงบอกว่า เราต้องเข้าไปขวางคนไม่ดี ไม่ใช่เห็นเขาว่าได้ประโยชน์แล้วจะต้องมาให้ผม ขวางไม่ให้มันเติบโต สามารถเอาคนรุ่นหลังเข้ามาสืบทอด ผมมองอย่างนี้ ทำให้คนรุ่นใหม่เห็นว่า คนโตขึ้นมาในเวทีนี้ไม่ถูกต้อง ไม่ควรที่จะทำ ควรจะปรับรูปแบบวิถีชีวิต ผมอยู่มา 30 ปีในวงการนี้ มันไม่ใช่ มันเปลี่ยนได้ โลกมันเปลี่ยนแปลงไปหมด สมัยก่อนพูดกันวันนี้ วันเดียวมันก็จบ แต่สมัยนี้มันไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษ ไม่มีความเป็นลูกชาย มันไม่จบ แถมลอบกัดอีกต่างหาก ผมอยู่เพื่อจะต้านสิ่งเหล่านี้” พ.ต.ท.สันธนะพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

อดีตนายตำรวจสันติบาลที่ถูกให้ออกจากราชการยังเล่าอีกว่า ทุกคนในครอบครัวเข้าใจ เราเชื่อว่าถ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง ต้องคุ้มครองเรา เพราะเรามีเจตนาดี ถ้ามันจะจบก็คือจบ ก็พร้อม เอาว่า สุดยอดของชีวิตสัมผัสมาหมดแล้ว ถึงเวลาที่จะจบ ก็จบ ไม่ได้ว่าอะไร แต่ ณ วันที่มีลมหายก็จะเป็นอย่างนี้ต่อไป  ไม่ได้สร้างภาพ ไม่ได้มีการถ่ายทำ ทุกอย่างเป็นภาพจริง

“ที่ผมมีเรื่องคราวนั้น มันก็ตำรวจด้วยกันทุกคน บางคนเดือดร้อนก็มาขอเรา ผมก็เป็นตำรวจอยู่ เด็กพวกนี้อาจไม่รู้จักผม ถามว่าชั้นยศก็พันตำรวจโทเหมือนกัน แต่พันตำรวจโทของผม กับของเขามันต่างกันสิบกว่าปี นี่คือองค์กร เป็นไปได้อย่างไร เหมือนเพื่อนผมเป็นนายพลตั้งกี่สิบคน แต่บางคนสารวัตร รองผู้กำกับยังมี ผมถึงบอกว่า ถ้าผมเจอรุ่นหลัง ๆ ผมมาเป็นใหญ่เป็นโต ผมจะขอย้าย ผมโค้งไม่ได้ แต่ถ้าเป็นรุ่นพี่ผมจะเตี้ยต่ำต้อยอย่างไร กราบที่ตักผมก็ทำได้ คนที่โตมาในลักษณะนี้ถามจริง ๆ เหอะ นายฝีมือแบบไหน ก็รู้กันอยู่ นายไม่ได้เติบโตมาเพราะการทำงาน นายอย่ามาอะไรกับเรา อย่ามายุ่งกับเรา”

ความรู้สึกในวันที่ถูกคำสั่งออกจากราชการ พันตำรวจโทคนดังบอกว่า “ผมแฮปปี้นะ ไม่ติดยึดอะไรอยู่แล้ว ก็โอเค ดีเหมือนกันที่ผมจะพ้นจากองค์กรนี้เสียที สังคมจะได้เปิด ผมเป็นคนเอาระบบส่วยเข้ามาจริง แต่จัดสรรให้องค์กรมันเดินหน้าไปได้ ณ วันนี้ไม่ใช่ บางคนเอาเข้ามาเป็นของตัวเอง เอาไปซื้อรถส่วนตัวคันละเป็นล้าน เอามาแต่งตัว เลี้ยงเมียน้อย ไปเมืองนอก เอาเปรียบคนอื่น ในเมื่อผมเอาระบบนี้เข้ามาในองค์กร ผมก็พร้อมจะทำลายมันทิ้ง เพราะมันไม่มีความชอบธรรมแล้ว”

“ขอยืนยันว่า ผมไม่ได้ทำลายองค์กรตำรวจ ผมเคยไปแตะต้องอะไรกับคนดี ๆ มั้ย ผมเป็นของผมแล้ว ณ วันนี้ ชีวิตเป็นของผมแล้ว ตัวตนของผมที่แท้จริง คือวันนี้ ส่วนสังคมจะมองยังไงก็แล้วแต่ ใครจะมามองผมเป็นมาเฟีย ก็พูดไป ไม่เป็นไร สิ่งที่ผมพูด ถ้าเรื่องไม่จริงเอามาพูดตัดสินผมได้ คนวงในอาจรู้ ส่วนคนข้างนอกเขาจะรู้มั้ย ถึงเวลาที่เขาจะรับรู้ ในเมื่อคนในองค์กรไม่ทำให้ดี ทั้งที่มีสิ่งดี ๆ เหนือกว่าองค์กร แต่ไม่ทำให้เป็นประโยชน์ ไม่ทำให้ดี  ต้องเอาสื่อเข้ามาเปิดให้สังคมได้รับรู้ เป็นมิติที่สังคมควรต้องรับรู้ ตัวตนผม คือตัวตนผม จริงก็คือจริง สังคมเป็นคนตัดสิน ไม่ได้มาทำลายใคร แต่ระบบต้องเปลี่ยนไป โลกมันเปลี่ยน ระบบก็ต้องเปลี่ยน องค์กรต้องเปลี่ยน บางคนให้นิยมคำว่ามาเฟียกับผม แล้วรู้ตัวตนที่แท้จริงของผมแล้วเหรอ”

เมื่อเอ่ยถึงผู้นำองค์กรสีกากีคนใหม่ พ.ต.ท.สันธนะมองว่า  พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส เหมาะไหมในสถานการณ์แบบนี้ที่ต้องการผู้นำเด็ดขาด มีประสบการณ์ จึงเหมาะสม เพราะเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ต้องให้ลองทำไป ต้องใช้ผู้นำในลักษณะนี้ ในยามสถานการณ์แบบนี้

“ผมก็ดูท่านนะ เพราะเวลาท่านไม่มาก องค์กรนี้บอกไว้อย่างหนึ่งว่าอย่าไปคาดหวัง ถ้ารักใคร รักจริง พอทิ้งก็ทิ้งจริง เหมือนผู้ใหญ่หลาย ๆ คนที่ผมนับถือ บางคนหมดจริง ๆพอพ้นจากองค์กร ผู้ใหญ่บางคนดีมาทั้งชีวิตราชการ ดีมาตลอด พอสุดท้ายก่อนที่จะเกษียณ เปลี่ยนไปหมดแล้วก็ล้มเหลว จบไปพร้อมกับชีวิตราชการ”

ทั้งหมดเป็นแค่เศษเสี้ยวส่วนหนึ่งของชีวิตที่โลดโผน ผ่านขวากหนามอุปสรรคจนต้องถอดเครื่องแบบสีกากีแต่ไม่คิดทำลายองค์กรตำรวจที่ตัวเองใช้ชีวิตมานานเกือบ 30 ปี

 

 

RELATED ARTICLES