ถึงวันที่ต้องกล่าวอำลา
เวลาอายุข้าราชการของหลายคนกำลังหมดไปใน ค่ำคืนสุดท้าย ปีงบประมาณ 2563 เหลือไว้เพียงความทรงจำกับการกระทำสมัยยังมีบทบาทและอำนาจอยู่
ไม่นานหลายคนอาจรู้เมื่อ “ยามไร้หัวโขน” จะโดนจองกฐินหรือไม่
สำหรับ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา แม่ทัพสูงสุดที่ครอบครองสถิติบนเก้าอี้ “พิทักษ์ 1” ยาวนานเป็นประวัติศาสตร์ 5 ปี นับตั้งแต่ “ปลดแอก” พ้นร่มเงา เจ้ากระทรวงคลองหลอดไปขึ้นตรง นายกรัฐมนตรี
วันนี้พิสูจน์ให้เห็นเส้นทางที่ฝ่าลมมรสุมอำนาจ แต่ไม่อาจ ล่มนาวาทัพ จวบกระทั่งวันสุดท้ายในชีวิตราชการเป็นบันทึกตำนานอีกหน้ากลาง อาณาจักรดาวแปดแฉก
วันพรุ่งนี้ วันที่ไม่มี “หัวโขน” ของ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา จะกลายเป็นที่มาของคำว่า “อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ” อย่างเต็มตัว
พระเดช พระคุณที่ทำไว้เสมือนบทพิสูจน์ความจริงใจของคนใกล้ชิดที่เคยตามติดเป็น “บริวารข้างกาย” จะหนีหน้าห่างนายไปกี่ชีวิต
ว่าแล้วขอยกบทความเรื่อง “หัวโขน” ที่ พล.ต.ต.ไอยศูรย์ สิงหนาท อดีตผู้บัญชาการประจำกองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดนระบายไว้
“เพราะหัวโขนที่เคยมีมิใช่หรือ เพื่อนหารือเรื่องทุกข์ร้อนก่อนดับหาย
เพราะหัวโขนที่เคยเห็นเป็นช่วงวาย เพื่อนจึงหน่ายแนะและไล่ให้ถอดวาง
เพราะหัวโขนคุณค่านี้มีใครเหมือน เพื่อนลืมเลือนเคยมีโขนอยู่เคียงข้าง
เพราะหัวโขนขาดอำนาจเพื่อนอาจจาง เพื่อนลืมอย่าง“ความภูมิใจ”ในหัวโขน”
พล.ต.ต.ไอยศูรย์ฝากถึงเพื่อนจะไม่มีความรู้สึกภูมิใจในการที่เพื่อนอย่างเขาเคยมีหัวโขน ซึ่งปัจจุบันไร้ตำแหน่งบทบาทอำนาจหน้าที่ แต่ความความสัมพันธ์กับบุคคล หน่วยงาน และสถานที่ต่าง ๆ ยังคงมีอยู่คู่อดีตคนเคยมีหัวโขนอย่างเขา
“ที่สำคัญ ผมยังไม่เคยเห็นใครสวมใส่หัวโขนตลอดเวลาเมื่อเกษียณอายุราชการหรือพ้นจากตำแหน่งหน้าที่การงานไปแล้ว”
เพราะ…เสียงของคนข้างหลังดังไปทั่ว
ดีหรือชั่ว คือ ตัวเราเขารู้แน่
ดีเขารักผูกพันไม่ผันแปร
ชั่วว่าแย่อย่ามาหาอีกเลย
สุดท้ายผู้เขียนขอให้ทุกคนโชคดีในการใช้ชีวิตข้าราชการบำนาญกันครับ