สัญญาณระฆังดังแล้ว

สัญญาณเป่านกหวีดให้ “เหล่านักวิ่งสีกากี” ออกจากจุดสตาร์ตดังขึ้น

หลังจดใจจ่อรอคอยแม่ทัพเคาะระฆังมานาน

ทว่าเที่ยวนี้หลายคนอาจคลำทางไม่ถูก ตามยุคสมัยที่เปลี่ยนไป คาดเดาใจ “ผู้นำคนใหม่” ลำบาก

พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เพิ่งนั่งเก้าอี้บริหารงานได้เต็มตัวเพียงเดือนเดียว ที่ผ่านมาแทบไม่ได้เลือกขุนพลที่เป็นมือไม้ของตัวเองสักเท่าใดนัก ดังนั้นเป็นโอกาสสำคัญที่จะขยับขยายสลับค่ายเปลี่ยนขั้วระดับ “นายกอง”

“อาจไม่ได้ทุกคน แต่จะพยายามทำให้ดีที่สุด”เจ้าตัวเคยว่าไว้

ตามแนวคิดอยากจัดทัพหานักรบชำนาญสมรภูมิตามที่แต่ละคนถนัดและเหมาะสม

หาใช่เป็นพวก “ปลาผิดน้ำ” แต่งตั้ง “ผิดฝา ผิดตัว” มั่วกันจนเละเฉกเช่นอดีต

ดังนั้น เมื่ออุณหภูมิของสถานการณ์การชุมนุมเรียกร้องทางการเมืองคลี่คลายลงเล็กน้อย เจ้าของรหัส “พิทักษ์ 1” ถึงตัดสินใจออกบันทึกข้อความเรื่องการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจดำรงตำแหน่งระดับ สารวัตร ถึงรองผู้บังคับการ วาระประจำปี 2563

ตามอำนาจที่ตัวเองอยู่ในมือและยึดถือตามกรอบระเบียบกติกาที่เกี่ยวข้อง

“ขีดเส้นตาย” กองบัญชาการและกองบังคับการหน่วยขึ้นตรงในสังกัดสำนักงานผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติระดับผู้กำกับและรองผู้บังคับการให้ดำเนินการจัดส่งบัญชีข้อมูลเสนอแต่งตั้งไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ผ่านกองทะเบียนพล) ในวันที่ 13 พฤศจิกายน 2563

ส่วนระดับสารวัตรและรองผู้กำกับการให้จัดส่ง ภายในวันที่ 20 พฤศจิกายน 2563

กองบัญชาการที่มิได้สังกัดสำนักงานผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ระดับรองผู้กำกับและรองผู้บังคับการให้จัดส่งบัญชี ภายในวันที่ 13 พฤศจิกายน 2563 เช่นกัน

แต่ระดับสารวัตรและรองผู้กำกับการที่เป็นอำนาจของ ผู้บัญชาการ ให้ดำเนินการจัดทำบัญชีแต่งตั้งให้เสร็จสิ้น ในวันที่ 25 พฤศจิกายน 2563 แล้วส่งไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ผ่านกองทะเบียนพล) เพื่อตรวจสอบความซ้ำซ้อนของตัวบุคคลกับตำแหน่งที่ได้รับการแต่งตั้ง

ก่อนให้มีคำสั่งแต่งตั้งพร้อมกันทุกหน่วย ในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2563

คำสั่งแต่งตั้งมีผลบังคับใช้พร้อมกันในวันที่ 16 ธันวาคม 2563  

สำหรับ “กฎเหล็ก” ในการพิจารณาของยุค พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข คุมบังเหียนแทบไม่ได้เปลี่ยนหลักเกณฑ์เดิมที่ปฏิบัติมาก่อนหน้า

ข้าราชการที่อยู่ กลุ่มอาวุโสร้อยละ 33 ให้เสนอหรือดำเนินการแต่งตั้งเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นทุกราย

เว้นแต่รายใดถูกตั้งกรรมการวินัยร้ายแรง ถูกดำเนินคดีอาญา หรือพิจารณาแล้วเห็นว่า ข้าราชการตำรวจรายดังกล่าวไม่มีความเหมาะสมที่จะได้รับการพิจารณาเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นด้วยเหตุผลด้านการปฏิบัติงาน ให้พิจารณาเสนอและดำเนินการปรับย้ายไปดำรงตำแหน่งที่มีปริมาณและคุณภาพงานน้อยลง

ผู้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าสถานีระดับผู้กำกับ เมื่อดำรงตำแหน่งเดียวกันติดต่อกันครบ 4 ปี ให้เสนอแต่งตั้งไปดำรงตำแหน่งอื่นทุกราย

ข้าราชการตำรวจที่ได้รับการแต่งตั้งวาระประจำปี 2562   ให้ดำเนินการ “เฉพาะที่จำเป็น” หากหน่วยจะเสนอแต่งตั้งให้ระบุเหตุผลความจำเป็นโดยละเอียด

ข้าราชการตำรวจที่มีการฝ่าฝืนมาตรการในการป้องกันและแก้ไขปัญหาแข่งรถยนต์และรถจักรยานยนต์ในทาง การควบคุมสถานบริการ สถานประกอบการที่เปิดให้บริการในลักษณะที่คล้ายสถานบริการ บกพร่องในการป้องกันและปราบปรามอบายมุข ตลอดจนความผิดที่เกี่ยวเนื่องกับการค้ามนุษย์ ให้พิจารณาเสนอแต่งตั้งสับเปลี่ยนหมุนเวียนไปดำรงตำแหน่งอื่นนอกพื้นที่ทุกราย

การแต่งตั้งข้าราชการตำรวจให้ดำรงตำแหน่งในกลุ่มงานสอบสวนที่ทำหน้าที่สอบสวนคดีความมั่นคงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่กำหนดตามมติอนุกรรมการข้าราชการตำรวจเกี่ยวกับการบริหารทรัพยากรบุคคลในการประชุมครั้งที่ 5/2563 เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2563

ให้พิจารณาข้าราชการตำรวจที่ขอรับการแต่งตั้งและมีความพร้อมปฏิบัติหน้าที่

แต่หากการพิจารณาที่ไม่เป็นไปตามแนวข้างต้นให้รายงานเหตุความจำเป็นเสนอผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติพิจารณาก่อนมีคำสั่งแต่งตั้งทุกราย

ตำแหน่งของกองกำกับการสืบสวนสอบสวนตำรวจนครบาล 1-9 สังกัดกองบัญชาการตำรวจนครบาล และกองกำกับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรจังหวัดสังกัดกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 1-9 และตำแหน่งผู้กำกับการ (สอบสวน)สังกัดกลุ่มงานสอบสวน กองบังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจนครบาล กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 และกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 ที่จะต้องยุบเลิกตามมติคณะกรรมการข้าราชการตำรวจในการประชุมครั้งที่ 6/2563   เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2563 ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแต่งตั้งข้าราชการตำรวจที่ดำรงตำแหน่งดังกล่าวไปดำรงตำแหน่งอื่นทุกราย

การดำเนินการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจระหว่างส่วนราชการหรือหน่วยงานให้ประสานทำความตกลงกันไว้เป็นหลักฐานให้ชัดเจน ให้ถือปฏิบัติตามคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ 297/2562 ลงวันที่ 10 พฤษภาคม 2562 เรื่องการมอบหมายอำนาจการสั่งแต่งตั้งข้าราชการตำรวจโดยเคร่งครัด

เหล่านี้คือ บทพิสูจน์อำนาจของ “แม่ทัพ” จะมีสิทธิขยับ “ขุนพล” ได้เต็มไม้เต็มมือตามใจปรารถนาแค่ไหน

แล้วจะบริหารจัดการอย่างไรกับ “ใบสั่ง”และ “ตั๋วฝาก”ที่มากจนทะลักสำนักปทุมวัน

แบบบัวไม่ช้ำ น้ำไม่ขุ่น !!!

 

 

RELATED ARTICLES