ท่ามกลางความขัดแย้งที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้นและชิงชัง
ตำรวจมักลงเผชิญชะตากรรมรับบท “หนังหน้าไฟ” ลุกลามเผาไหม้ผลาญให้เปื้อนมลทินเลอะเครื่องแบบสีกากี
ย้อนความรู้สึกเมื่อครั้ง ผู้ชุมนุมเป่านกหวีด ขับไล่รัฐบาลพาลมาถึงการทำงานของเหล่าผู้พิทักษ์สันติราษฎร์
กระทั่งบุกทำลายป้ายสำนักงานตำรวจแห่งชาติเสียหายย่อยยับเมื่อปี 2556
มีตำรวจสาวของกองสารนิเทศเป็นสื่อสะท้อนความรู้สึกจากใจของตำรวจตระเวนชายแดนวัยใกล้ปลดระวางนายหนึ่งที่เข้ามารับภารกิจควบคุมฝูงชนอยู่ภายในรั้วสำนักปทุมวัน
ขออนุญาตดัดแปลงเรื่องราวดีในครั้งนั้นมาแชร์อีกรอบ
นักรบป่าจากบ้านนอกปลีกตัวออกมานั่งเงียบ ๆ บีบแข้งขา ท่าทางบอกได้ถึงความเมื่อยล้า พาให้เธอเข้าไปนั่งสนทนาด้วย
เจ้าตัวว่า อีกปีกว่าจะเกษียณแล้ว เป็นตำรวจตระเวนชายแดนปกติดทำงานลาดตระเวนดูแลความปลอดภัยให้ประชาชนที่อยู่ตามแนวตะเข็บชายแดน บางทีก็จับพวกตัดไม้ ค้าไม้เถื่อน พวกขนยาเสพติดบ้าง
“แรก ๆ มีแต่หน่วยตำรวจตระเวนชายแดนที่ดูแลและปราบปรามจนชาวบ้านรู้สึกปลอดภัย ไว้ใจ เข้ามาช่วยเป็นแนวร่วมในการดูแลด้วยอีกแรง” เขาเล่าด้วยความภูมิใจในเครื่องแบบนักรบชายแดน
เธอถามเขาว่า จากที่เคยอยู่ต่างจังหวัดแล้วต้องมาเป็นตำรวจควบคุมฝูงชน ต้องปรับตัวยังไงบ้าง เขาระบายความเห็นว่า ตอนลาดตระเวนไปกันเป็นกลุ่มเล็ก ๆ กินนอนตามป่าตามเขา มาอยู่นี่มีเพื่อนมาเยอะนอนในโรงยิมเดียวกัน เบียดหน่อย ร้อนหน่อยแต่ก็ทนได้
พวกเขาเข้าเวรผลัดละ 10 วัน จากนั้นได้กลับไปที่ตั้งพัก 3 วัน เข้าเวรให้ต้นสังกัดต่ออีก 3 วัน ก่อนกลับมาเข้าประจำภารกิจควบคุมฝูงชนใหม่ระหว่างที่สถานการณ์การชุมนุมยังร้อนระอุ
ไม่มีใครยอมรับความคิดเห็นใคร
ตำรวจถูกละเลงสีแห่งความเกลียดชังอยู่ฝั่งตรงข้ามกับผู้ชุมนุม
“ถูกด่าแล้วโกรธไหม ผมทนได้ ไม่ได้เอามาเป็นอารมณ์ ยิ้มใส่ลูกเดียว เป็นตำรวจตระเวนชายแดนเจออะไรมาหนักกว่านี้เยอะ แต่มันไม่สบายใจตรงที่เห็นคนไทยไม่สามัคคีกันนี่แหละ อยากให้เราฟังกันบ้าง ให้อภัยกัน” เขาว่า
“ไม่เคยมองพี่น้องที่มาชุมนุมว่า เป็นศัตรูนะ คิดตลอดว่าเราเป็นคนไทยเหมือนกัน ผมมีหน้าที่ดูแลความปลอดภัยให้ประชาชนทุกคน ขอร้องว่าอย่าทำอะไรรุนแรงเลย เราต่างก็หวังดีต่อประเทศชาติเหมือนกัน” ตำรวจตระเวนชายแดนวัยใกล้เกษียณจริงจัง
เสียงนกหวีดดังลั่นอีกแล้ว
แต่ไม่ใช่ดังจากผู้ชุมนุมข้างหน้าสำนักปทุมวัน มันเป็นสัญญาณดังมาจากหัวหน้าทีมส่งสัญญาณเรียกกำลังควบคุมฝูงชนเตรียมพร้อมรับภารกิจ
ทั้งหมดลุกขึ้นเข้าแถวรวมพลกระชับกระเฉงกับสิ่งที่เรียกว่า “หน้าที่”
ผ่านเรื่องราวครั้งนั้นมา 7 ปี ตำรวจตระเวนชายแดนนายนั้นเกษียณอายุราชการไปแล้ว หนังม้วนเดิมย้อนกลับมาฉายอีกรอบ
รอบใหม่เปลี่ยนตัวนักแสดง ความรุนแรงทางอารมณ์แตกต่างกันไป
ตำรวจยังตกเป็น “หนังหน้าไฟ” หนีไม่พ้น สีแห่งความเกลียดชัง
“เป็นข้ารับใช้แผ่นดิน ไม่ได้เป็นขี้ข้าใคร” นายตำรวจบางคนอยากตะโกนให้ก้องฟ้า
“ไม่ได้เป็นคนเขียนกฏ เป็นเพียงผู้รักษาและก็ต้องทำตามกฎ”
บ้านใคร ใครก็รัก
แต่ต้องหยุดพักตั้งสติ คิดถึง “อุดมคติของตำรวจ”
อดทนต่อความเจ็บใจ !!!