“ผมเคยเฉียดตาย เฉียดคุกเฉียดตะรางมาหลายครั้ง โดนขึ้นบัญชีดำเป็นมาเฟียก็เคย”

  ในแวดวงยุทธจักรนักเลงไม่มีใครไม่รู้จัก “เป็กโก้” หรือชื่อ “นุกูล เสืองามเอี่ยม” ผู้กว้างขวางในซอยสีน้ำเงิน ย่านเตาปูน ผู้คว่ำหวอดอยู่ในวงการหมัดมวยจนหลายคนมองเขาว่าเป็นเซียนกำปั้นระดับมาเฟียใหญ่

เคยถูกตำรวจจับข้องพกพาอาวุธปืนที่ สน.ลุมพินี อีกทั้งโดนขึ้นบัญชีเป็นผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ หลังจากมีบรรดาพ่อค้าแม่ค้าในตลาดศรีเขมาเนรมิตร้องเรียนว่าเขาพาลูกน้องไปข่มขู่รีดไถ่เงิน กระทั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สส.บก.น.2 บุกเข้าค้นบ้านยึดอาวุธปืนได้หลายกระบอกพาส่งพนักงานสอบสวน สน.เตาปูน ดำเนินคดีข้อหาร่วมกันกรรโชกทรัพย์มาแล้ว

ลองสัมผัสชีวิตของเซียนมวยผู้กว้างขวางคนดังย่านเตาปูนในมุมลึก ๆ ของตัวเขาว่า เหตุใดทำไมเขาถึงกลายมาเป็นนักเลงเป็นผู้มีอิทธิพลในสายตาของสังคม (เจ้าตัวให้สัมภาษณ์ไว้ในนิตยสาร COP’S ฉบับเดือนพฤศจิกายน 2550

เป็กโก้ ปัจจุบันอายุ 44 ปี เกิดที่ อ.พนัสนานิคม จ.ลพบุรี ในวัยเด็กชอบการต่อสู้เป็นชีวิตจิตใจ ดังนั้นกีฬาที่ชื่นชอบก็คือมวยไทย ความฝันคืออยากจะขึ้นต่อยมวยสักครั้งหนึ่งในชีวิต แต่ก็ต้องสะดุดไปเสียก่อน เมื่อต้องตามพ่อกับแม่มาค้าขายในกรุงเทพฯ ที่ซอยสีน้ำเงิน เร่ขายหอมกระเทียม และสินค้าทางการเกษตร นับว่าเป็นเจ้าแรกที่บุกเบิกการค้าที่ซอยนี้

แต่หลังจากที่เข้ามาอยู่เมืองกรุงได้ไม่นาน ความฝันที่จะขึ้นต่อยมวยบนสังเวียนผืนผ้าใบก็เริ่มเป็นความจริง เมื่อได้มีโอกาสขึ้นเวทีชกมวยไทยเป็นครั้งแรก ใช้ชื่อว่า “ก้องเกียรติ ช.วิชาญน้อย” สังกัดค่ายพรทวี ต่อยครั้งแรกที่เวทีมวยภูธร ที่ จ.นครราชสีมา

     ไฟต์แรกประเดิมด้วยชัยชนะอย่างสวยหรู

“ส่วนใหญ่ผมจะต่อยมวยตามเวทีต่างจังหวัด ได้ค่าตัวไม่เท่าไหร่  ครั้งแรกได้มาก็เอาไปให้แม่ ดีใจมากเพราะนั่นเป็นเงินที่ได้มาจากน้ำพักน้ำแรงของเราเอง มวยไทยเป็นกีฬาที่ผมชื่นชอบมาก ผมชอบชีวิตการต่อสู้ สู้ชีวิตมาตั้งแต่เด็กๆ ผมต่อยมวยทั้งหมด 70 ครั้งเห็นจะได้ ชนะบ้างแพ้บ้างสลับกันไป ทุกวันนี้ยังมีร่องรอยการต่อยมวยให้เห็นอยู่เลย  หูผมฉีกเนื่องจากโดนคู่ต่อสู้ศอกใส่ เย็บกี่เข็มจำไม่ได้แล้ว” คนดังซอยสีน้ำเงินเล่าความหลัง

พออายุได้ 20 ปี เป็กโก้ก็เลิกต่อยมวย หันมาช่วยพ่อแม่ขายของที่ซอยสีน้ำเงินเหมือนเดิม และได้แต่งงานมีครอบครัว ก่อนที่หันมาเปิดร้านมินิมาร์ทเล็กๆที่ปากซอย ช่วงเวลาที่อยู่ในซอยสีน้ำเงินนั้นเ วลาใครมีเรื่องเดือดร้อนก็มักจะมาขอความช่วยเหลือ ด้วยความที่เห็นเขาเป็นนักมวยเก่าและเป็นคนที่มีรูปร่างสูงใหญ่ แต่เป็กโก้ก็มักจะชอบช่วยเหลือผู้ที่เดือดร้อนเสมอ จากหนึ่งครั้งเป็นสองครั้งจากนั้นก็เป็นหลายต่อหลายครั้งที่จะมีคนมาให้เขาช่วยเหลือยามที่โดนคนรังแก จนใคร ๆยกย่องให้เขาเป็นนักเลงที่ใจถึงคนหนึ่ง

ชื่อของเป็กโก้จึงเริ่มติดปากในฐานะนักเลงคุมซอยที่ไม่มีใครกล้าที่จะตอแยด้วย

เป็กโก้ยอมรับว่า เขายอมไม่ได้เวลาที่เขาเห็นพ่อค้าแม่ค้าที่อยู่ในซอยโดนคนอื่นรังแก ด้วยเหตุนี้เขาถึงยื่นมือเข้าไปช่วยเสมอ “อย่างที่รู้ คนที่อยู่ในซอยสีน้ำเงินส่วนใหญ่เป็นพวกเสือ สิงห์ กระทิง แรด ทั้งนั้น นักเลงก็เยอะ ถ้าผมไม่แข็งก็จะถูกรังแก ผมจึงต้องต่อสู้เรื่อยมา”เป็กโก้กล่าว

ต่อมาชาวบ้านในซอยมาขอร้องให้เป็นประธานชุมชนสีน้ำเงิน 3 ตั้งอยู่ริมทางรถไฟภายในซอย หน้าที่หลักก็คือดูแลลูกบ้านที่อยู่ภายในชุมชน คอยดูแลทุก ๆเรื่องรวมทั้งเรื่องการต่อต้านยาเสพติด ซึ่งตอนนั้นยาบ้าระบาดหนักมากในชุมชนที่เขาดูแลอยู่

“ถ้าผมรู้ว่า บ้านไหนขายยาบ้า ก็จะแจ้งเบาะแสให้ตำรวจท้องที่มาจับ บางทีก็ไปกดดันจนพวกพ่อค้ายาต้องย้ายออกนอกพื้นที่เอง จนตัวผมได้รับรางวัลชุมชนต่อต้านยาเสพติดดีเด่นจากเขตบางซื่อ รางวัลนี้ผมภูมิใจมาก”

ใช่ว่าชีวิตของเป็กโก้จะไม่มีอุปสรรค

   “ผมเคยเฉียดตาย เฉียดคุกเฉียดตะรางมาหลายครั้ง โดนขึ้นบัญชีดำเป็นมาเฟียก็เคย” เป็กโก้เล่าว่าตัวเขาเคยถูกลอบยิงและเคยถูกติดตาม “เมื่อปี 35 ผมเคยโดนลอบยิงที่หน้าบ้านเองเลย  ตอนนั้นผมกำลังจะเข้าบ้าน มีรถจักรยานยนต์มาดักรอที่หน้าปากซอย พอผมขับผ่าน มันก็ยิงใส่ทันที โชคดีที่ไม่โดยผม หลังจากนั้นผมก็โดนยิงถล่มบ้าน จนพรุน นับรูกระสุนไม่ไหวเลย มันเยอะไปหมด อีก 11 ปีต่อมา โดนดักยิงที่หน้าวัดเสาหิน โดนยิงจนรถพรุน แต่ไม่โดนใคร ปี 49 ถูกมือปืนเอาปืนจ่อหัวที่หน้าบ้านผมเอง มันเกือบจะยิงอยู่แล้วโชคดีที่พี่ชายผมย่องมาด้านหลังก่อนที่จะเอามีดฟันจนมันได้รับบาดเจ็บถูกจับส่งตำรวจ”

“ครั้งสุดท้ายก็มีเรื่องกับนักเลงที่จังหวัดนนทบุรี ครั้งนี้ผมโดนยิงที่ขาทุกวันนี้แผลหายดีแล้ว แต่บางครั้งยังเจ็บแผลอยู่เลย” เป็กโก้เชื่อว่า ที่เขารอดตายจากการถูกยิงมาได้เป็นเพราะพุทธคุณของพระเครื่องที่อยู่ที่คอ 3 องค์ ได้แก่รูปหล่อหลวงพ่อทวดวัดช้างไห้จ.ปัตตานี รุ่น 1 เหรียญหลวงพ่อทองสุข วัดโตนดหลวงจ.เพชรบุรี และรูปหล่อหลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน จ.พิจิตร

ส่วนเรื่องที่ถูกตำรวจจับในข้อหาเป็นผู้มีอิทธิพลตัวเขาไม่ขอเอ่ยถึงเพราะว่า คดียังอยู่ในชั้นศาลอยู่ “ทุกวันนี้ผมก็ไม่ได้ย่างกรายเข้าเวทีมวยเลย ได้แต่อยู่เบื้องหลัง  เปิดค่ายมวยร่วมกับ สมมาตร หงษ์สกุล ใช้ชื่อค่ายว่า เกียรตินุกูล อยู่ภายในซอยสีน้ำเงิน มีนักมวยดังหลายตัว อย่างเช่น ศรคม เกียรตินุกูล มีดีกรีแชมป์ถึง 2รุ่น”

สาเหตุหลักที่ทำให้เขาไม่เข้าเวทีมวยเลย เป็กโก้ให้เหตุผลว่า รู้สึกเบื่อกับวงการนี้ที่มีทั้งการล้มมวย การวางยานักมวย าถ้านักมวยคนไหนถูกวางยานั้น หมายถึงอนาคตของนักมวยคนนั้นจะดับวูบลงทันที

เมื่อพยายามหันหลังให้วงการกำปั้นที่ตัวเองรักมาตั้งแต่เด็กแล้ว เป็กโก้ตัดสินใจทำธุรกิจการค้าเกี่ยวกับพืชผลทางการเกษตรกับนักธุรกิจที่ประเทศลาว นำเข้าพืชผลทางการเกษตร โดยขนมาขายตามตลาดสดใหญ่ในประเทศไทย นอกจากนี้แล้วยังได้ลงทุนทำฟาร์มตะพาบส่งออกไปยังประเทศจีน

ทุกวันนี้ เป็กโก้มีความสุขที่ได้ทำธุรกิจทั้งสองอย่าง และมีความสุขกับภรรยาและลูกอีก 2 คน โดยลูกชายรับราชการเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ ส่วนลูกสาวก็ช่วยดูแลกิจการของผู้พ่อ

    “สมัยก่อน ผมยอมรับว่า เวลาไปไหนมาไหนจะมีลูกน้องคอยติดตามนับสิบคน แต่ละคนเป็นนักเลงชื่อดังทั้งนั้น แต่ว่า ปัจจุบันจะมีติดตามก็แค่คนสองคน เพราะว่า ธุรกิจที่ผมทำทุกวันนี้ไม่ได้ไปหักผลประโยชน์กับใคร วงการนักเลงผมก็วางมือแล้ว ไม่จำเป็นที่จะต้องมีคนคอยติดตามมาก”

ยามว่าง อดีตนักเลงใหญ่ซอยสีน้ำเงินก็จะไปเดินดูพระเครื่องแ ละไปหาน้าชาย พยัพ คำพันธ์ ที่ห้างพันธุ์ทิพย์ สาขางามวงศ์วาน “วันนี้ผมหันหลังให้กับวงการนักเลงอย่างเด็ดขาด อยากที่จะคอยช่วยเหลือสังคมบ้างและอยากที่จะอยู่กับครอบครัวโดยเฉพาะลูกหัวแก้วหัวแหวนทั้งสองคน ผมว่าครอบครัวเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับผมมากกว่าสิ่งอื่นใด” เป็กโก้ย้ำหนักแน่นทิ้งท้าย

 

RELATED ARTICLES