“ความเชื่อใจที่มีให้กัน เขามีให้เรา และเราก็มีให้เขา ทำให้ไม่เกิดความระแวง”

นเรามักทักว่าความรักเกิดจากพรหมลิขิต ชีวิตคู่ถ้าอยู่แล้วใช่ก็ไม่มีอะไรมาขวางกั้น การเจอกันของคนสองคนอาจไม่ใช่เรื่องบังเอิญ

เหมือนเรื่องราวหวานของคุณจ๋า-วีณา เทียนไชย สาวชาวเพชรบุรี ภรรยาคนเก่งของ พ.ต.อ.พิรพล อัจกลับ ผู้กำกับการสืบสวนภูธรจังหวัดบึงกาฬ ที่สามารถสร้างนิยายรักในวัยอันต่างกัน แต่สร้างความเชื่อมั่นว่าจะอยู่ร่วมทางดูแลกันจนวันสุดท้ายของชีวิต

เธอเกิดอำเภอท่ายาง แหล่งชุมนุมนักเลงเมืองเพชร ตอนเด็กเรียนโรงเรียนหนองยางชุม ไปต่อมัธยมโรงเรียนหนองชุมแสง ฝันอยากเป็นนักธุรกิจ มองว่าเป็นอะไรที่ส่วนตัวดี ไม่ชอบเป็นลูกจ้างใคร แต่สุดท้ายต้องไปยึดอาชีพพนักงานอยู่บริษัททำโรงงานสัปปะรดส่งออก

แล้ววันหนึ่งโชคชะตาก็พาเนื้อคู่เป็นชายวัยกลางคนมาส่งถึงบ้าน

คุณจ๋าเล่าว่า เขามาติดต่อซื้อที่ดินของลุงที่อยู่ใกล้กัน ลุงเลยเรียกให้ไปทำกับข้าวเลี้ยง ตอนแรกว่าจะไม่ไป แต่พ่อคะยั้นคะยอให้ไปช่วย เจอกันครั้งแรกไม่คิดอะไร ไม่รู้ว่าเป็นตำรวจ คิดว่าเป็นนักเลงด้วยซ้ำ เพราะลุงเป็นนักเลงเก่า ทำไปทำมาเขาก็มาคุยกับเรา บอกเราว่า ทำกับข้าวอร่อย โดยเฉพาะน้ำจิ้มซีฟู๊ดรสเด็ดเลยอยากทำความรู้จัก

ไม่นานฝ่ายชายเริ่มแวะเวียนมาดูที่ดิน ซึ่งตกลงจะซื้อแล้วแน่นอนบ่อยขึ้น ทว่าคราวนี้ไม่แวะบ้านเจ้าของที่กลับเบนหน้ามุ่งไปยังบ้านของเธอ อ้างอยากลิ้มรสฝีมือทำกับข้าว คุณจ๋าบอกว่า เริ่มรู้แล้วว่าเขามาแบบไหน และรู้ว่าเขาเป็นตำรวจ เป็นรองผู้กำกับการโรงพักกุยบุรี ประจวบคีรีขันธ์ เราก็คุยกับพ่อแม่ว่า มันไม่ปกติแล้ว มาหามากินข้าวบ่อยขึ้น แต่พ่อแม่ไม่ว่าอะไร บอกแล้วแต่เรา “จ๋ายอมรับว่า ไม่ชอบตำรวจเลย ที่บ้านไม่ค่อยถูกกับตำรวจเท่าไหร่ เพราะที่บ้านมีเรื่องบ่อย ถูกมองเป็นนักเลง เนื่องจากลุงนักเลงเก่าจะไม่ค่อยกินเส้นกับตำรวจ ทั้งที่ดูตอนแรก ก็ไม่รู้ว่าเป็นตำรวจ เหมือนนักเลงมากกว่า เขาดูครึม มาดเข้ม”

“พอมารู้ว่าเป็นตำรวจก็ชั่งใจอยู่นิดหนึ่ง เพราะในความคิดจ๋า ตำรวจไม่ดีเลย เลยไม่ชอบ แต่โบราณว่า เกลียดอะไรมักได้อย่างนั้น พอได้คุยได้สัมผัสตัวตน เขาก็ไม่เหมือนตำรวจในความคิดจ๋า พี่เขาเป็นคนจริงจัง ใจดี เป็นคนที่ไม่เห็นแก่ตัว น่ารัก แค่อายุห่างกับเรา ตอนแรกก็คิดเหมือนกันว่า เรื่องช่วงอายุอาจจะไปด้วยกันไม่ได้” สาวเมืองเพชรย้อนตำนานรัก

เธอบอกว่า ด้วยความที่ได้คุยกันแล้ว  เขาก็อบอุ่นดี ดูแล้วเราไว้ใจได้ ตอนแรกๆ ก็ไม่รู้ว่าจะเจ้าชู้หรือไม่ รู้จักกันเขาก็ยอมรับเองว่า เคยมีครอบครัว แต่เลิกราหย่ากันไปกลายเป็นพ่อม่ายลูกติด เหมือนให้เรายอมรับ เราก็ถามเพื่อความมั่นใจว่า เลิกกันจริงหรือ ถ้าเกิดเราจะเข้าไปเขาต้องเคลียร์นะ เขาก็ยืนยัน และอยากให้เรามาช่วยกันดูแลไร่ที่เขาซื้อจากลุงด้วย พอเจอประโยคนี้เราก็ชะงักเหมือนแค่หาคนมาดูแลที่ดินแทน ไม่ได้จริงจัง

หลานสาวนักเลงเก่าดงมือปืนท่ายางลังเลอยู่ไม่น้อย แต่พอคุยกันมากขึ้น รู้สึกว่า ฝ่ายชายเป็นคนไม่เจ้าชู้ รักครอบครัว ตัดสินใจคบกันจริงจัง ฝ่าอุปสรรคลูกสาวของเขาที่จะหวงพ่อมาก กระทั่งร่วมลงเอยเป็นครอบครัวเดียวกัน “เห็นเขาเป็นคนดีเลยแพ้ใจเขา” คุณจ๋าให้เหตุผลที่เลือกสามีอายุห่างกันถึง 22 ปีไม่ได้เป็นขวากหนามขวางความรักสาวรุ่นอย่างเธอ

ภรรยาผู้กำกับนักสืบภาคอีสานยืนยันว่า คบกัน อยู่ด้วยกัน แม้ไม่ได้แต่งงานกัน แต่คิดไม่ผิด ยังรู้สึกว่าโชคดีด้วยซ้ำ มีอะไรเกิดขึ้นดี ๆ มากมายในครอบครัว ได้สร้างบ้านบนที่ดินของลุงเก่า ปลูกพืชผล และสวนยาง ได้ทายาทตัวน้อย 2 คน คือ น้องเมย์-พณิตา อัจกลับ ปัจจุบันอายุ 8 ขวบ และน้องสมาร์ท-พิรณัฐ อัจกลับ ลูกชายวัย 7 ขวบ พอมีลูกชีวิตก็เปลี่ยนไปตรงที่ว่า เรายุ่งกับลูกมากขึ้น ไม่ต้องไปยุ่งกับเขามาก  แต่อยู่ด้วยกันก็ไม่ทะเลาะกัน มีขึ้นเสียงบ้าง เวลาเขาดุลูกเท่านั้น

แม้ครั้งหนึ่งสามีต้องย้ายจากนครบาลกระเด็นไปอยู่ถิ่นอีสาน เธอไม่ได้มีโอกาสตามไป แต่เกิดรู้สึกว่า ผูกพันกันมากขึ้น ไม่ได้ความห่าง ยิ่งมีความรู้สึกว่า รักกันมากขึ้นมากกว่า จะมีบ้างตรงที่น้อยใจ ทำไมสามีต้องโดนอย่างนี้ คิดว่า เขาเป็นคนดี เป็นคนทำงาน ทำไมต้องไปไกล เราก็เลยห่วงเวลาเขาทำงาน เมื่อก่อนอยู่โรงพักก็ไม่เท่าไหร่ แต่เดี๋ยวนี้อยู่สายสืบก็ห่วง เวลาไปจับคนร้าย

“ความจริงจ๋าไม่ยุ่งเรื่องงานของเขา ก็เข้าใจระบบตำรวจบ้างว่า เขาเป็นยังไง แต่จ๋านึกถึงว่า เขาเป็นคนเก่ง คนทำงาน ทำไมกลับเอาไปอยู่ในที่ซึ่งอาจไม่ได้ใช้ความสามารถอย่างเต็มที่ ตอนนั้นลูก 2 คนกำลังเข้าโรงเรียน ก็คิดว่า เขาจะอยู่ยังไง ส่วนจ๋ารู้สึกเหมือนกันว่า จะอยู่ยังไง 3 คนแม่ลูก พออยู่ๆ กันมาก็ต้องปรับตัว ใช้ชีวิตปกติ เวลาเขาไม่อยู่ อะไรที่เขาเคยทำให้ จ๋าก็ต้องทำเอง เหมือนฝึกความเข้มแข็งของเราด้วย แต่เขาก็โทรหาทุกวัน วันละ 3-4 ครั้ง”

อย่างไรก็ดี คุณจ๋าได้แรงใจจากสามีส่งให้เรียนต่อคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ตามความฝันด้วย เจ้าตัวเล่าว่า อยากเรียนต่อ เพราะเคยเก็บเงินเรียนสมัยที่จบมัธยมปลาย ไม่อยากรบกวนพ่อกับแม่ พวกเขาต้องส่งเสียน้องอีก 2 คนเรียน เราเลยไปทำงานก่อนและเก็บเงิน เผอิญมาเจอเขาทำให้ไม่ได้เรียน เมื่อมีโอกาสถึงลงเรียนนิติศาสตร์ คิดว่าเรื่องกฎหมายเป็นอะไรที่เราควรจะรู้ เพราะเมื่อก่อนที่บ้านมีเรื่องกับตำรวจเยอะมาก จำเป็นต้องมีความรู้เรื่องกฎหมาย พอมีโอกาสเลยเข้าไปเรียนดีกว่า

สาวสวยจากเมืองเพชรบุรีเล่าอีกว่า จริงๆ สามีอยากให้เรียนต่ออีกด้วยซ้ำไป แต่ด้วยธุรกิจตอนนี้เราต้องดูแล กำลังวางแผนทำร้านกาแฟ ร้านอาหาร เราคนเดียวเป็นแกนหลัก เป็นเชฟเอง ทำเองทุกอย่าง โดยเฉพาะกับข้าว เราไม่ใช่คนปักษ์ใต้ แต่ทำอาหารใต้ได้ ที่บ้านยังได้สูตรซาลาเปาจีนโบราณกะจะเอามาทำเป็นรายได้เสริมแบ่งเบาภาระสามี

เธอยังบอกถึงหลักครองชีวิตคู่ฝากถึงครอบครัวตำรวจด้วยว่า มีหลักคือ ความเชื่อใจที่มีให้กัน เขามีให้เรา และเราก็มีให้เขา ทำให้ไม่เกิดความระแวง บางทีมันก็มีนะ มนุษย์มีสิ่งพวกนี้อยู่แล้ว แต่พอเราเริ่มระแวง เวลาเขาหายไป ไม่ถึงขั้นไม่ติดต่อ เช่น ถ้าวันนี้เขาไม่โทรมา จากปกติโทรวันละ 3-4 รอบ มันจะมีเหตุเล็กๆ น้อยๆ ทำให้เราคิด แต่เราก็คิดถึงกลับไปข้างหลังว่า เมื่อก่อนเขาไม่ใช่คนแบบนี้ แล้ววันนี้เขาจะเป็นหรือ ทำให้เราไม่ฟุ้งซ่าน เพราะไม่ได้เห็นกันทุกวัน ไม่รู้ว่าเขาไปทำอะไร

“ด้วยหน้าที่ของเขาก็รู้อยู่แล้วว่า ต้องทำอะไร ส่วนเราก็รู้อยู่แล้วว่า หน้าที่เราคืออะไร ต้องปล่อยๆ เขาไป ทำหน้าที่ของแม่ของลูกให้ดีที่สุด เลี้ยงลูกให้ดี เมื่อเขาไว้ใจเราแล้วว่า เราจะเลี้ยงลูก สั่งสอนให้ได้ดี ก็ทำตรงนี้ให้ดี ก็ถือว่าโอเคอย่าไปอะไรกับเขาเยอะ ยิ่งจะมีปัญหากันมากกว่า” คุณจ๋าทิ้งประสบการณ์เป็นแงคิด

 

RELATED ARTICLES