“ผมไม่จำเป็นต้องเคลียร์อะไร เพราะผมไม่ได้ทำอะไรผิด”

ถูกมองเป็นมาเฟียทหารคุมผับเมื่อหลายสิบปีก่อน ถึงวันนี้ยังโดนข้อครหาอยู่เบื้องหลังกองกำลังเสื้อแดงเนื่องจากเปิดบริษัทรักษาความปลอดภัยคุมพื้นที่ห้างอิมพีเรียลเวิลด์ ลาดพร้าว หรือบิ๊กซี ลาดพร้าว รังใหญ่ของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)

อดีตนักรบสมรภูมิเวียดนามถึงกับส่ายหัวเมื่อโดนสังคมมองภาพเขาเป็นแบบนั้น

ร.อ.พิกุล แย้มทัพ กรรมการผู้จัดการบริษัท ฮาเลเดียม จำกัด ดำเนินธุรกิจด้านรักษาความปลอดภัยมานานหลายสิบปี ตั้งแต่รับราชการทหารอยู่กองพลทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยาน ลูกน้องคนสนิท พล.อ.สำเภา ชูศรี อดีตผู้บัญชาการทหารบก วันนี้ถอดเครื่องแบบเกษียณตัวเองมาเป็นพลเรือนเต็มขั้น

ผู้กองพิกุลเล่าปูมหลังว่า เกิดอำเภอสรรคบุรี ชัยนาท พ่อแม่เป็นชาวนาชาวสวน ต่อสู้ชีวิตมาตั้งแต่เด็ก จบมัธยมปลายโรงเรียนคุรุประชาสันต์แล้วอยากเป็นทหารเลยไปสมัครสอบเข้าศูนย์สงครามพิเศษ ลพบุรี “การเป็นทหารเป็นการรับใช้ชาติ คนบ้านนอก การรับราชการถือว่าเป็นเกียรติ พ่อแม่ผมก็อยากให้เป็นทหารมากกว่าตำรวจ  ผู้ใหญ่สมัยเก่าภาพของตำรวจจะไม่เหมือนทหาร เด็ก ๆ ก็กลัวตำรวจ”

เขาสอบเป็นพลทหารหน่วยรบแล้วไปต่อนายสิบหน่วยขึ้นตรงของหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ ติดยศ ส.ต.สมัครไปรบสงครามเวียดนามในนาม “กองพลเสือดำ” ต่อจาก “จงอางศึก” ฝังตัวอยู่ในสมรภูมิเวียดกงนาน 1 ปีกับ 5 วัน ปฏิบัติการร่วมทหารของสหประชาชาติลาดตระเวน ต่อสู้ ปะทะ หลากหลายรูปแบบตั้งแต่วันแรกที่ลงจากเครื่องบินก็ถูกนักรบเจ้าถิ่นยิงถล่มแล้ว

เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจกลับเมืองไทยได้ย้ายตาม พล.ต.เชิดชาย ธีรัทธานนท์ ไปอยู่เหล่าปืนใหญ่ที่กองพลทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยาน เลื่อนยศเป็น ส.ท. ไต่เต้าเป็น ส.อ. ติดจ่า ก่อนสอบเป็นนายทหารจนเกษียณอายุราชการในสังกัดฝ่ายข่าวกรองของหน่วย

ทว่าชีวิตของ ร.อ.พิกุล กลับมาโลดโผนอยู่นอกค่ายเข้าสู่ยุทธจักรคนกลางคืน ไปรับงานรักษาความปลอดภัยคุมผับ เธค ในเมืองหลวงที่กำลังเฟื่องฟูสุดขีด ตั้งแต่ เดอะพาเลซ บูมสเตชั่น และอาฟเตอร์ดาร์ก ทำหน้าที่สายตรวจพิเศษเป็นรายได้เสริมที่บรรดาทหารยุคนั้นเลือกเส้นทางเดินจนติดเป็นภาพ “มาเฟียมีสี” อวดเบ่งบารมีอยู่ตามสถานบันเทิงยามราตรี

“สำหรับผมไม่ใช่คนแบบนั้น” ร.อ.พิกุลบอก

“ผมจะเป็นคนทำหน้าที่ระงับเหตุไม่ให้มีเรื่องระหว่างลูกค้ากับคนเมา หรือแม้กระทั่งคนคุมที่เป็นการ์ดด้วยกันเอง เป็นคนเคลียร์ ลูกน้องจะฟังเรา มีประมาณ 80 นายเป็นทหารทั้งหมด คุมอยู่ ดูแลตรงนี้มาคอยแยกแขกที่เมาแล้วก่อเหตุ สมัยนั้นมาเฟียผู้มีอิทธิพลเจ้าพ่อเยอะมาก แต่ผมไปคุมที่ไหนจะไม่มีเรื่อง เพราะจะอะลุ่มอล่วยเก่ง”

นายทหารนอกราชการเล่าว่า ที่หันเหไปเพราะเคยทำงานอยู่กองกำลังรักษาพระนคร ได้รับความเชื่อถือจากเจ้าของกิจการสถานบันเทิงต่าง ๆ ว่า เวลาเราไปทำงานจะไม่มีปัญหา อยู่แบบมีคุณธรรม นักเลงไม่เอา พวกไล่แขกไม่เอา มีแต่เคลียร์แขก ทำอยู่กับบริษัทอื่นหลายปีเริ่มรู้ช่องทางถึงตัดสินใจมาตั้งบริษัทรักษาความปลอดภัยเป็นของตัวเอง “สุดท้ายมีคนมามองหาว่า ผมเป็นมาเฟีย แต่จริง ๆ ไม่ใช่ ผมไม่เคยทำใครเดือดร้อน เคยมีแต่ช่วย ช่วยพี่ช่วยน้องช่วยคนไม่มีงานทำ ถึงตรงนี้ก็อยากจะยืนยันอีกครั้งว่า ผมไม่ใช่มาเฟีย”

“ผมรู้ว่ารับราชการก็มีแค่เงินเดือน ถ้าเสี่ยงมาเปิดบริษัทรักษาความปลอดภัยจากประสบการณ์ที่เรามีพวกเยอะมีพี่น้องมีเจ้านายเยอะ รวมทั้งรู้จักงานรักษาความปลอดภัยเป็นอย่างดี ผมว่าน่าจะผ่าน สะสมประสบการณ์มานานพอสมควรจากการที่เป็นลูกน้องเขาถึงมาเปิดบริษัทเอง” ร.อ.พิกุลเล่าถึงจุดเริ่มต้นของบริษัทรักษาความปลอดภัย

บริษัท ฮาเลเดียม จำกัด เปิดทำงานครั้งแรกมีพนักงานรักษาความปลอดภัยแค่ 42 คน ได้ ดร.ถนอม อังคณะวัฒนา เจ้าของตลาดไทให้โอกาสบริษัทของเขาเข้าไปดูแลความเรียบร้อยเป็นสถานที่แรกที่แจ้งเกิดของฮาราเดียม การันตีคุณภาพงานของผู้ชายชื่อ “พิกุล แย้มทัพ”บอสใหญ่ของบริษัทที่ขณะนั้นยังรับราชการอยู่

เขายอมรับว่า กว่าจะได้รับความน่าเชื่อถือ ลำบาก และเหนื่อยมาก เป็นบริษัทเด็ก ๆ บริษัทเล็ก ๆ อยู่ที่เจ้าของจะเชื่อถือใคร ไม่ใช่จะมีของเราเจ้าเดียว ใครมีศักยภาพมีผลงานอยู่กับเจ้าของจะตัดสินใจว่าจ้าง หากเขาเห็นว่าดูแลแล้วปลอดภัยทรัพย์สินไม่หาย ป้องกันชีวิต และทรัพย์สินเขาได้ เขาก็เลือกเข้าไปทำ

ทหารนักรบที่ผันตัวมาเปิดบริษัทบริการด้านรักษาความปลอดภัยวางนโยบายในการทำงานว่า ต้องดูแลความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินของผู้ว่าจ้างเหมือนเป็นของเราเอง หากทรัพย์สินเกิดความเสียหาย ถือว่าเราเกิดความบกพร่อง จำเป็นต้องคัดกรองลูกน้องอย่างดี “ตอนแรกที่เปิดบริษัท หวังอยากจะได้ลูกน้องที่เป็นทหารเข้ามาทำงาน เพราะจะดูเข้มแข็ง แต่กลับตาลปัตรเมื่อไม่มีทหารมาสมัครทำงานเลย จะว่าไปแล้ว พวกทหารที่มาทำก็อู้เก่ง สู้ประชาขนไม่ได้ เหมือนเป็นพวกรู้มาก กลายเป็นว่า ประชาชนธรรมดาที่มาสมัครเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยกับดูแลควบคุมง่ายกว่า”

“เราอบรมเขา เน้นว่า การที่จะมาเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัย ไม่ใช่บุคคลธรรมดา เราต้องเหนือกว่าบุคคลธรรมดา เป็นอาชีพที่มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี ไม่ใช่แขกยาม เป็นผู้ช่วยเจ้าพนักงานเวลาเจอคนร้ายก็ช่วยจับกุม เจอคนทะเลาะวิวาท เราก็เข้าระงับเหตุ ไกล่เกลี่ย หากตกลงกันไม่ได้ก็เรียกตำรวจมา พยายามปลูกจิตสำนึกให้เขารู้สึกมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี มีความสามารถ และแข็งแรงกว่าคนอื่น” ร.อ.พิกุลบอกเคล็ดในการกระตุ้นใจลูกน้อง

ฮาเลเดียมได้สิทธิคุมงานรักษาความปลอดภัยอยู่ตลาดไทได้พักใหญ่จนผู้ก่อตั้งตลาดเสียชีวิต มีการเปลี่ยนมือผู้บริหาร บริษัทของผู้กองพิกุลพลอยหมดสัญญาจ้างไปด้วย เขาต้องหอบลูกน้องที่ตอนนั้นมี 60-70 คน ขยับขยายไปหาที่อื่นทำ โชคยังดีที่ได้สิทธิรักษาความปลอดภัยห้างอิมพีเรียลเวิลด์ ลาดพร้าว เป็นจังหวะที่กลุ่มเก่าเป็นทหารเรือมีปัญหา พรรคพวกถึงแนะนำให้มาสู้ดู

ร.อ.พิกุลบอกว่า เขาให้โอกาสไปพรีเซ็นต์งานที่เราได้ฝึกกำลังพลมา ฝึกอย่างไร อบรมให้รู้จักหน้าที่อย่างไรก่อนเข้ามาทำงาน เราจะเน้นว่า หน้าที่ของเราไม่ใช่งานป้องกันและปราบปรามอย่างเดียวต้องเป็นงานบริการด้วย เหมือนกับหนักไปทางงานบริการ แต่เมื่อมีเหตุเราต้องควบคุมสถานการณ์ให้ได้ ส่วนมากลูกน้องจะรู้ข้อมูลว่า เราชอบแบบไหน เราจะกำชับเสมอว่า ถ้ามีเหตุ อย่าหนีเหตุ ต้องเอากำลังเข้าไปสมทบควบคุมสถานการณ์ให้ได้ ไม่ใช่ทิ้งงาน ไม่เช่นนั้นทรัพย์สินของเขาจะเสียหาย

ห้างอิมพีเรียลเวิลด์ยุค 10 กว่าปีก่อนกลายเป็นชุมทางนักเรียนนักเลงยกพวกทะเลาะวิวาทกันเป็นประจำแทบทุกวัน มีการจัดคอนเสิร์ตบนห้างก็ไม่วายเกิดเรื่องวัยรุ่นยกพวกตะลุมบอนกลายเป็นที่เอือมระอาแก่ลูกค้าที่ไปช็อปปิ้ง เป็นจังหวะที่บริษัทรักษาความปลอดภัยของ ร.อ.พิกุล เข้าไปรับงานใหม่พอดี เขาถึงใช้ประสบการณ์ประดุจดั่งนักรบเก่าปรับแผนวางมาตรการรับมือ

พนักงานรักษาความปลอดภัยของฮาเลเดียมจะถูกระดมไปตั้งแถวรับมือกลุ่มนักเรียนนักเลงเหมือนตำรวจช่วงเวลาวิกฤติ ร.อ.พิกุลจะอธิบายแก่ลูกน้องทุกคนว่า ไม่ต้องไปกลัว ให้ใช้ยุทธวิธีรบแบบทหารที่ตัวเองผ่านประสบการณ์มา คือแบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน เขาจะสอนลูกน้องให้สู้อย่างเดียวเพื่อจะข่มพวกนั้นให้ได้ เหตุเพราะกล่มนักเรียนนักเลงพวกนี้จะไม่กลัวตำรวจ แต่กลับกลัวพนักงานรักษาความปลอดภัยของที่นี่

“พวกผมไม่ยอม เวลาคอนเสิร์ตเลิกจะควบคุมสถานการณ์ตั้งแต่ลานจอดไปถึงบันไดเลื่อน คุมเข้ม ถ้ามีเรื่องจะเข้าระงับเหตุทันที พยายามกันนักเรียนต่างสถาบันให้ออกห่างที่สุด ได้รับความร่วมมือจากตำรวจโรงพัก และตำรวจ191  ให้สิทธิตรวจค้นจับกุมร่วมกับตำรวจได้ทันทีเพื่อปราบกลุ่มนักเรียนอันธพาลเหล่านี้จนได้รับความไว้วางใจมาถึงทุกวันนี้” ผู้บริหารพนักงานรักษาความปลอดภัยในห้างดังลาดพร้าวบอกอย่างภูมิใจ

นายทหารวัยเกษียณบอกอีกว่า เราจะบอกพนักงานรักษาความปลอดภัยเสมอเวลามีเหตุอะไรก็จะเข้าจับกุมก่อน แต่ต้องมีหลักฐานว่าผิดจริง มีเจ้าทุกข์ยืนยัน ห้ามกลั่นแกล้งเขา เพราะเคยมีตัวอย่างจับไปแล้วไม่มีเจ้าทุกข์ทำให้ภาพลักษณ์ของบริษัทไม่ดีไปด้วย บางทีก็ถูกฟ้องเนื่องจากไปใส่กุญแจมือเขา โดนข้อหากักขังหน่วงเหนี่ยว กลายเป็นบทเรียนที่นำไปสอนพนักงานในการควบคุมผู้ต้องสงสัยไม่จำเป็นต้องใส่กุญแจมือเขา ถ้าไม่ใช่ฆ่าคนตาย

“คดีฆ่าคนตายพวกผมก็เคยจับ ได้รับประกาศเกียรติคุณจากกองบังคับการตำรวจนครบาล 4 ด้วย เหตุเกิดสด ๆ ร้อน ๆ คนร้ายยิงคนตายที่ศูนย์อาหารของห้าง ลูกน้องผมปิดล้อมด้วยมือเปล่า ไม่ให้คนร้ายหนีขึ้นรถแท็กซี่ออกจากห้าง คนร้ายไม่กล้ายิงใคร เนื่องจากกำลังพนักงานรักษาความปลอดภัยวันนั้นมีมากถึง 60 นาย พวกเราฝึกอบรมมาอย่างดีไม่ให้กลัวเหตุ แต่ต้องทำให้ดี ประพฤติดี อย่าไปเกเร ทำร้ายคนอื่นเขา”

แม้จะมีผลงานดีเยี่ยม ได้รับประกาศเกียรติคุณชมเชยมากมาย ถึงสุดท้ายตัวเขากลับถูกมองไม่ดี อันมีผลจากความขัดแย้งทางการเมืองต่างความคิดผลักให้คนไทยต้องแบ่งแยกสี ห้างอิมพีเรียลเวิลด์ถูกแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติเช้าพื้นที่เปิดสถานีโทรทัศน์ของคนเสื้อแดงเสมือนฐานบัญชาการของกลุ่มแกนนำท่ามกลางบรรยากาศที่คุกรุ่นสมัยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์

“เขามองว่าผมไปเกี่ยวข้องด้วย ผมจะบอกว่า ไม่เกี่ยวข้อง ไม่เคยยุ่ง ผมมีหน้าที่รักษาความปลอดภัยทรัพย์สินของห้าง เวลามีการชุมนุมเราก็ต้องคอยดูแล เพราะกลัวมีม็อบต่างสีเข้ามาปะทะกัน ผมเป็นกลาง แต่มองว่า ผมเป็นคนเสื้อแดง มองว่า ผมเป็นฝ่าย นปช. ผมก็เคยเรียนไปแล้วว่า ผมได้รับการจัดจ้างมาดูแลรักษาความปลอดภัยที่ห้างนี้ ใครก็ตามที่กระทำความผิด ผมควบคุมตัวแล้วเรียกตำรวจมาดำเนินการ ไม่ใช่ใช้กำลังโดยพลการ ลุแก่อำนาจ แม้ลูกน้องบางคนจะไปร่วมชุมนุม ก็เป็นสิทธิส่วนบุคคล เขาไปหลังเวลาเลิกงานเป็นสิทธิที่เขาจะทำได้ แต่ใครจะมามองว่า ผมมีเอี่ยวด้วยก็ไม่เป็นไร” ผู้กองทหารคนดังแจงรายละเอียด

“วันที่กระชับพื้นที่ บริษัทผมถูกหมายค้น หาว่า ผมสะสมอาวุธ แต่ค้นแล้วก็ไม่เจออะไร ผมรู้ว่าตำรวจทำตามหน้าที่ ผมก็ไม่ได้ว่าอะไร ลูกน้องก็ไม่มีใครพกปืน มีแต่กระบอง จริง ๆ แล้วเหมือนกับมีตำรวจบางคนเข้าใจผมผิด หาว่าพิกุลแดงเต็มตัวเลย จริง ๆ ไม่ใช่ ผมทำตามหน้าที่ ถามว่า ณัฐวุฒิ รู้จักผมมั้ย ไม่รู้จัก เขาก็อยู่ส่วนเขา นายหัววีระ ผมก็รู้จักแค่เป็นคนดัง แต่เขาก็ไม่รู้จักผม ไปถามได้เลยแกนนำคนเสื้อแดงหลายคนไม่มีใครรู้จักผมหรอก”

หลังมรสุมการเมืองผ่านพ้นไป แม้บางคนยังค้างคาใจในตัว ร.อ.พิกุล แต่อดีตนักรบปืนใหญ่ย้ำว่า “ผมไม่จำเป็นต้องเคลียร์อะไร เพราะผมไม่ได้ทำอะไรผิด วางตัวเป็นกลาง มีหน้าที่รักษาความปลอดภัยแค่นั้นเอง”

ทุกวันนี้ ร.อ.พิกุล มีภารกิจใหม่หนักกว่าเดิม เมื่อกระโดดไปทำหน้าที่เป็นเลขานุการศูนย์มนูธรรม หน่วยอาสาสมัครภาคประชาชนที่ใหญ่สุดในพื้นที่สถานีตำรวจนครบาลโชคชัย เป็นงานจิตอาสาที่เขาพร้อมเต็มใจเสียสละทำเพื่อสังคมร่วมกับตำรวจและอาสาสมัคร 100 กว่าชีวิต

“ผมมีความรู้สึกภูมิใจเหมือนตอนไปเป็นทหารเพื่อรับใช้ประเทศ ได้ช่วยคนรู้สึกว่า ได้กุศล ช่วยคนที่มีความทุกข์ได้กุศลมาก ยิ่งตอนไปช่วยบริจาคสิ่งของผู้ประสบภัยน้ำท่วมตามสถานที่ต่าง ๆ มีแต่คนร้องไห้ ผมว่า ทำให้คนอื่นพ้นทุกข์ มันรู้สึกตัวเองมีสุขมากนะ”

 

 

RELATED ARTICLES