“สารวัตรต้น” ยามว่างเล่น “พูลบิลเลียด” วัดความสามารถ

 

พูล หรือพ็อกเก็ตบิลเลียด เป็นคิวสปอร์ตชนิดหนึ่งคล้ายกับสนุกเกอร์ บิลเลียด แทบจะไม่มีผู้ชายคนไหนที่จะไม่รู้จักกับกีฬาชนิดนี้ ที่มักจะใช้วัดระดับความสามารถด้วยความแม่นยำ และความเก๋าเกมส์ ที่ทำให้“สารวัตรต้น” พ.ต.ต.โสรัจ วิชยสุทธิ์ สว.(งานขออยู่ต่อประเภททั่วไป) กก.2บก.ตม.1 สตม.คลั่งไคล้หลงใหลเป็นพิเศษ

เขาเป็นลูกชายคนแรก ของนายชวลิต วิชยสุทธิ์ รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย กับนางวชิราพร วิชยสุทธิ์ อาชีพประกอบธุรกิจส่วนตัว ตัวเขาเองมีความใฝ่ฝันอยากเป็นนักบินตั้งแต่เด็ก ชีวิตผกผันจนกลับกลายมาเป็นตำรวจที่มีความหลงใหลในท่วงท่าลีลาของการเล่นบิลเลียดมาแต่ช้านาน นานจนต้องเท้าความย้อนกลับไปถึงสมัยในวัยเรียนกันเลยที่เดียว

สารวัตรต้นเล่าย้อนถึงที่มาที่ไปว่า จบระดับชั้นประถมศึกษาที่โรงเรียนวัฒนพฤกษา อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี เป็นเด็กเรียนดีระดับต้นของชั้นเรียนเลยก็ว่าได้ และชื่นชอบในการเล่นกีฬาปิงปอง มีดีกรีอันดับที่ 1 ระดับเยาวชนของ อ.ปากเกร็ด ด้วยวัยเพียง 12 ปี เมื่อเข้าเรียน ม.1โรงเรียนชลประทานวิทยา แต่ก็มีเหตุจำเป็นต้องย้ายไปเรียนต่อชั้น ม.2 ที่โรงเรียนสุวรรณารามวิทยาคม ย่านบางกอกน้อย เขตบางขุนนนท์ กทม. ทำให้เริ่มรู้จักกับกีฬาสนุกเกอร์ เพราะการชักชวนของเพื่อนในสมัยเรียนจนเป็นเหตุให้หลงใหลในกีฬาประเภทนี้ บางครั้งถึงขั้นหนีเรียนออกมาเล่นสนุกเกอร์ แต่ก็ไม่ได้ทิ้งการเรียน และยังมีผลการเรียนดีอยู่เสมอ จนถึง ม.4 ได้เข้าสอบคัดเลือกเข้าโรงเรียนเตรียมทหาร เพราะอยากเดินตามฝันเป็นนักบิน ตั้งเป้าจะเข้าทหารอากาศ

“ตอนแรกสอบไม่ผ่าน ต้องเข้าแคมป์ติวเตอร์เพื่อเข้าสอบคัดเลือกอีกครั้งตอนเรียนอยู่ ม.5 ครั้งนี้สอบผ่านเข้าเป็นนักเรียนเตรียมทหาร รุ่นที่ 35 ได้สำเร็จ เลือกเรียนเหล่านายเรืออากาศ เพื่อเดินตามฝันของวัยเด็ก ต้องเป็นนักบินให้ได้ จนถึงเวลาในการแยกเรียนตามเหล่าทัพที่เลือกไว้ เริ่มจากการไปฝึกในค่ายธนะรัตน์ จ.ประจวบคีรีขันธ์ เป็นการฝึกที่หนักมาก ข้ามเขาเป็นลูกๆ ใช้ชีวิตลำบากอยู่ในป่า และอยู่ในกฎระเบียบตลอดเวลา รู้สึกว่า ชีวิตวัยรุ่นขาดหายไป หลังจากฝึกเสร็จก็เข้าประจำอยู่เพื่อฝึกปรับสภาพที่โรงเรียนนายเรืออากาศ ย่านดอนเมือง ได้สร้างวีรกรรมไว้เยอะ ทำพฤติกรรมไม่เหมาะสมจนเป็นที่ต้องตาต้องใจของรุ่นพี่ๆ ตามซ่อมอยู่ประจำ เป็นเหตุต้องหนีออกจากโรงเรียนถึงสามครั้ง ก่อนที่จะตัดสินใจคุยกับทางบ้านขอลาออกจากการเป็นนักเรียนนายเรืออากาศ ดับความฝันการเป็นนักบินของตัวเอง” อดีตนักเรียนนายเรืออากาศย้อนความหลัง

การตัดสินใจลาออกจากนักเรียนนายเรืออากาศในครั้งนั้น ทำให้พ่อแม่เสียใจมาก เขาจึงตั้งใจที่จะเข้าเรียนหนังสือเพื่อทำให้ทางบ้านภูมิใจ กลับไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ สาขานิติศาสตร์ ความรู้สึกเหมือนถูกปลดปล่อยได้กลับมาใช้ชีวิตวัยรุ่นที่ต้องการอีกครั้ง หลงแสงสีออกตระเวนเที่ยวสถานบันเทิงยามราตรีแทบทุกวัน แถมยังอยู่โต๊ะสนุกเกอร์ มากกว่าอยู่บ้านเสียอีก แต่ด้วยความรับผิดชอบที่เคยตั้งใจไว้ สามารถเรียนจนจบระดับปริญญาตรี สาขานิติศาสตร์ ตามที่ทางมหาวิทยาลัยกำหนด 4 ปี เพื่อให้พ่อแม่ภูมิใจ

หลังจากเรียนจบร่วมหุ้นกับเพื่อนๆ เพื่อเปิดผับเล็กๆ ที่มีชื่อว่า Terseed อยู่ภายในซอยพหลโยธิน 19 นานกว่าหนึ่งปีเพื่อสังสรรค์กันเองในหมู่พรรคพวก ทำให้พ่อแม่เริ่มเป็นห่วงอนาคตของของเขาอีกครั้ง บังคับให้ไปเรียนต่อที่ประเทศออสเตรเลีย ทั้งๆที่เจ้าตัวบอกว่า โง่ภาษาอังกฤษเอามากๆ

จนสร้างเรื่องตื่นเต้นขณะที่เครื่องบินลงจอดที่ประเทศออสเตรเลีย เพราะถูกเจ้าหน้าที่ ตม.กักตัวไม่ให้เข้าประเทศ เนื่องจากไม่ผ่านการกรอกใบยินยอมเข้าประเทศด้วยการทำเครื่องหมายแบบมั่วๆ ในช่องที่ไม่ควรทำเครื่องหมาย ต้องอธิบายกันอยู่พักใหญ่ โชคยังเข้าข้างที่มีคนไทยเข้ามาช่วยอธิบายให้เข้าใจ โดยมีพ่อและแม่ที่เดินทางไปถึงก่อนหน้านี้เข้ายืนยัน ไม่อย่างนั้นอย่าหวังเลยว่าจะได้เข้าประเทศของเขา

นายตำรวจหนุ่มเล่าว่า หลังจากนั้นเข้าไปเรียนปรับภาษาที่สถาบัน CET (Center of English Teaching) ที่มหาวิทยาลัยซิดนีย์ ช่วงระหว่างนั้นได้งานเป็นเด็กเสิร์ฟอยู่ร้านอาหารไทยในเมืองซิดนีย์ ทำงานอยู่ได้ 7 วันหนีไม่พ้นวงโคจรเดิม ได้รับข่าวจากเพื่อนว่า จะมีการแข่งพูลตามผับ เป็นของที่ชอบอยู่แล้วเลยตัดสินใจเข้าร่วมแข่งขันด้วยค่าสมัครเพียง 3 เหรียญ เข้าร่วมแข่งขันด้วยความมั่นใจในผีมือที่สั่งสมมานานและพรสวรรค์ของตัวเอง สามารถคว้าชัยชนะรวด รับรางวัลที่ 1 มูลค่ากว่า 200 เหรียญ เป็นเงินไม่ใช่น้อยๆ เลยตัดสินใจออกจากร้านอาหารออกตระเวนแข่งขันพูลจนเป็นที่รู้จักของคนย่านนั้น ก่อนเดินทางกลับประเทศไทยหลังจากใช้ชีวิตที่เมืองซิดนีย์นานร่วม 10 เดือน ก่อนเรียนต่อปริญญาโทที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ระหว่างเรียนอยู่ที่ลอนดอน ก็ยังตระเวนเที่ยวในสถานที่ต่างๆ ไม่เว้นกระทั่งผับ บาร์ คาสิโน ควบคู่กับการเรียนไปด้วย แล้วคว้าความสำเร็จจบปริญญาโทในเวลา 2 ปี แล้วกลับมาที่ประเทศไทยก็ใช้ชีวิตกินเที่ยวแบบเดิม

ความผกผันของชีวิตที่ทำให้ชายหนุ่มชื่อต้นผู้นี้เข้ามาสู่ในแวดวงสีกากี ทั้งที่ฝันอยากเป็นนักบิน แม้กระทั่งเคยเรียนนายเรืออากาศ คือ การตระเวนกินเที่ยวกับบรรดาเพื่อนตำรวจที่รู้จัก เป็นก๊วน นรต.รุ่น 51 กระทั่งวันหนึ่งเพื่อนตำรวจบอกเชิงสอนเขาว่า จบเมืองนอกทำไมไม่สมัครเข้าตำรวจ ใช้วุฒิปริญญาโท เพราะสำนักงานตำรวจแห่งชาติยังต้องการตำแหน่งที่มีความรู้เกี่ยวกับด้านภาษาอังกฤษ ทำให้ฉุกคิดแล้วตัดสินใจไปสอบ ผลปรากฏว่าสอบผ่าน ทำให้เขาต้องขอบคุณเพื่อนที่เตือนสติ เพื่อนคนนั้นคือ พ.ต.ท.ณรงค์ อำภาภัย ปัจจุบันเป็น พนักงานสอบสวนที่ บก.ปคบ. และยังจำคำพูดเพื่อนคนนี้ได้จนทุกวันนี้

เริ่มเข้ารับราชการตำรวจในตำแหน่งรองสารวัตรที่กองกำกับการตำรวจสากล (INTERPOL) กองการต่างประเทศ เมื่อปี พ.ศ. 2547 รับราชการเรื่อยมาจนเข้าอบรมหลักสูตรสารวัตร รุ่นที่ 110 ก่อนสมัครใจย้ายเข้ามาประจำการอยู่ที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) ตำแหน่งรองสารวัตรสืบสวนด่าน ตม.จังหวัดนครปฐม ต่อมาผู้บังคับบัญชาให้ความเมตตา เลื่อนขั้นมาดำรงตำแหน่งเป็นสารวัตรสืบสวนด่าน ตม.ทอ.กรุงเทพฯ (สนามบินดอนเมือง) ตั้งแต่ปี พ.ศ.2556

 “หลังจากที่ผมได้รับราชการตำรวจ อยู่ในช่วงที่มีเหตุการณ์คลื่นยักษ์สึนามิซัดเข้าฝั่งไทย ได้รับคำสั่งให้ลงพื้นที่กว่าสามเดือน ไปช่วยราชการเป็นตำรวจประสานงานกับทีมงานนิติวิทยาศาสตร์ของต่างประเทศ เป็นเหตุการณ์ที่ทำให้ถึงกับพูดอะไรไม่ถูก เพราะมีการสูญเสียเกิดขึ้นมากมาย กลิ่นศพลอยคละคลุ้งไปหมด ไปวันแรกถึงอาเจียน แต่สิ่งที่น่าภูมิใจที่สุดของการทำงาน คือ ทีมงานของผมที่สนามบินดอนเมือง  ทุ่มเททำงานทุกวัน จับผู้กระทำผิดได้ไม่เว้นแต่ละวัน การปฏิเสธการเข้าเมือง หรือแม้กระทั่งลักลอบขนยาเสพติด ต้องยกเครดิตให้ลูกน้อง รวมถึงผู้บังคับบัญชาที่ให้ความเมตตา เป็นสิ่งที่น่าภูมิใจที่สุดแล้ว” สารวัตร ตม.ว่าถึงประสบการณ์ที่จำไม่รู้ลืม

พ.ต.ต.โสรัจพูดเสมอว่า เป็นคนมองชีวิตเป็นเรื่องตลกทุกอย่าง มีปัญหาก็ต้องแก้ไข อย่าไปเครียดกับปัญหา ประโยคเดียวที่ทำให้การดำเนินชีวิตไม่เหมือนใครและยากที่จะมีใครเหมือน ประสบการณ์ชีวิตก่อนมาเป็นตำรวจนั้น พูดได้เลยว่า ไม่ธรรมดา กับประสบการณ์ที่ชีวิตก่อนจะมาเป็นตำรวจ ทุกวันนี้เวลาว่างนอกเหนือจากการทำงาน ไปสังสรรค์กับเพื่อนฝูงที่ผับลิซึ่ม(LIZM) ย่านประชาชื่น  ถือได้ว่าเป็นสถานที่ที่ช่วยผ่อนคลาย สังสรรค์ ได้แทงพูลกับเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ทั้งในและนอกวงการ ที่ยังคงแวะเวียนพบปะอยู่เป็นประจำ เพราะเรารวมตัวเปิดร้านนี้ขึ้นมา เสมือนเป็นบ้านที่ให้ทุกคนมารวมตัวกันพูดคุย ดื่มสังสรรค์ ไม่ต้องลำบากนัดเจอกันตามสถานที่ต่างๆ พี่ๆน้องๆ จะมาเยี่ยมเยียนกันทุกอาทิตย์ มากันหมดครบ 4 เหล่า

นายตำรวจมาดเข้มผู้นี้ยังการันตีชีวิตครอบครัวกับคุณนันทลีย์ วิชยสุทธิ์ ที่ครองรักด้วยความเข้าอกเข้าใจกันมานานกว่า 12 ปี มีพยานรักร่วมกันหนึ่งคน ชื่อ ด.ช.ต่อพงศ์พิชญ์ วิชยสุทธิ์ ตอนนี้กำลังเรียนชั้นประถมปีที่ 2 โรงเรียนเซนต์คาเบรียล และทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมาคือชีวิตของผู้ชายสีกากีคนหนึ่งที่มีชีวิตผกผัน ผ่านร้อนหนาวมาจนถึงปัจจุบัน

ด้วยคติที่ว่า คิดบวกสักนิด ชีวิตก็ป๊อป

RELATED ARTICLES