“อำนาจที่อยู่กับเรา มันไม่ยั่งยืนหรอก เดี๋ยวมันก็หมดไป”

 

ดีตแม่ทัพนครบาล ตำนานนักสืบมือปราบคนดังที่ผ่านสมรภูมิสำนักสีกากีบนเส้นทางชีวิตราชการมาอย่างโชกโชน

วันนี้ พล...คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง อดห่วงลูกน้องเก่าไม่ได้ เนื่องจากสภาพแวดล้อมของสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป ถึงกระนั้นตลอดระยะเวลานานเกินกว่า 2 ปีที่ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เจ้าตัวบอกว่า ยังประทับใจในการทำงานตรงลักษณะเด่นของผู้ใต้บังคับบัญชาทุกคน มีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน สามัคคีกันดี ขับเคลื่อนเนื้องานตามนโยบายที่เน้นย้ำให้ทำเพื่อประชาชน โดยเฉพาะการตั้งด่านลอยจนทำชาวบ้านเดือดร้อน

“ผมบอกไว้ตั้งแต่ตอนมาดำรงตำแหน่ง ขอให้เลิก ยิ่งเวลาช่องจ่ายเงินค่าทางด่วนชอบมีตำรวจจราจรไปจ้องจับรถ รอโผล่ออกกมายืนจับผิด แบบนี้ใช้ไม่ได้ ต้องเลิกให้หมด ตอนนั้นก็ไม่มี เพราะผมเห็นว่า มันทุเรศ ทำลายภาพพจน์ตำรวจไปยืนแบบนั้น”  พล.ต.ท.คำรณวิทย์รำลึกความหลังเมื่อครั้งคุมทัพตำรวจเมืองหลวง

แต่ไม่มีอะไรตะขิดตะขวงใจเท่าการลงไปคลี่คลายปมคดีฆาตกรรมเอกยุทธ อัญชันบุตร นักธุรกิจชื่อดัง ที่กลายเป็นเรื่องที่น่าผิดหวังสำหรับนายพลวัยเกษียณ พล.ต.ท.คำรณวิทย์สีหน้าจริงจังระบายความรู้สึกออกมาว่า ต้องเอาความจริงมาพูดกัน อย่าเอาความรู้สึกมาพูด อย่ามองเป็นเรื่องการเมือง พรรคการเมืองฟากหนึ่งขณะนั้นทำไม่ถูก ไม่ฟังเหตุผลอะไรทั้งสิ้น ถึงกับเรียกกรรมาธิการตำรวจไปชี้แจงในที่ประชุม คิดจะเอาดัง แต่ไม่นึกถึงว่า ผลคดีเสียหายอย่างไร

“เราชี้แจงได้ แต่ถ้าเอาพยานหลักฐานไปพูดในที่ประชุม มันทำให้ผลคดีเสียหาย เราทำไมได้ ในที่ประชุมกลับไม่ฟังเหตุผลจ้องจะจับผิดถึงขนาดนั้น ในที่สุดพอศาลฎีกาพิพากษาตัดสินแล้ว ทำไมเงียบไปล่ะ  ตอนนั้นต้องยอมรับเป็นเกมการเมืองมาเล่นกับการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจจนไม่แยกแยะถูกผิด  คดีนี้เราทำคดีรวดเร็ว ยังเสียดายเลยว่า ถ้าไว้ใจตำรวจตั้งแต่แรกเอกยุทธก็คงไม่ตาย มันไม่ได้สลับซับซ้อนอะไรเลย แต่ลากไปทางการเมือง มาโจมตีตำรวจ ผมว่า ถ้าบ้านเมืองเป็นแบบนี้ไม่ไหวหรอก”

เจ้าตัวยังยอมรับว่า การดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจนครบาลขณะนั้นเป็นยุคที่มีความขัดแย้งทางการเมืองสูง ท่ามกลางผู้ชุมนุมประท้วงกดดันรัฐบาลเต็มไปด้วยความตึงเครียด แต่เราก็ผ่านมาได้โดยที่ไม่มีคดีติดตัว  เพราะถ้าเราปล่อยให้ปะทะกันตอนนั้นต้องบานปลาย  เมื่อเป็นเรื่องของความคิดที่แตกต่างกัน ไม่ใช่เรื่องของโจรผู้ร้ายอุกฉกรรจ์สะเทือนขวัญ

อดีตผู้บัญชาการตำรวจนครบาลย้ำว่า เราเป็นตำรวจ ทำตามหน้าที่ อย่ามองว่า เราอิงฝ่ายพรรคไหน เราจะให้คนไทยมาฆ่ากันเพื่ออะไร แล้วได้ประโยชน์อะไร ที่คนต่างความคิดมาฆ่ากัน เอาม็อบมาเพื่อให้ปะทะกับตำรวจเพื่อจุดชนวนความรุนแรงให้เกิดการบาดเจ็บล้มตายเป็นเหตุผลนำไปสู่การปฏิวัติรัฐประหารอย่างนั้นหรือ “ผมพูดตามความรู้สึกส่วนตัวนะ  ตอนนั้นเรามีหน้าที่ต้องพยายามประคับประคองสถานการณ์ไม่ให้มีการตายเกิดขึ้น วันนั้นผมคิดว่า ถ้าไม่เปิดประตูกองบัญชาการตำรวจนครบาลให้ผู้ชุมนุมเข้าไปน่าจะมีการตายกันเยอะเพราะต้องเกิดการปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่กับผู้ชุมนุม ประคับประคองสถานการณ์กันมาจนถึงวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ทุกคนต้องย้อนคิดว่า ทำเพื่อชาติบ้านเมืองกันจริงหรือเปล่า”

ย้อนประวัติเส้นทางของ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง เกิดอำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี ในครอบครัวครู พ่อเป็นครูใหญ่โรงเรียนปทุมธานี นันทมุนีบำรุง ส่วนแม่สอนอยู่โรงเรียนปทุมวิไล มีพี่น้องชายล้วน 3 คน ผู้เป็นแม่ตั้งชื่อเล่นคล้องจองกันว่า จี๊ด แจ๊ด เจี๊ยบ เจ้าตัวเพิ่งนำเอาชื่อไปตีความหมายเองเมื่อตอนหนุ่มว่า เสมือนเป็น “หยก” ตามคำภาษาอังกฤษที่เขียนว่า “Jade”

นิยมเล่นบทบู๊ตามประสาเด็กบ้านนอก จบประถมโรงเรียนวัดหงษ์ปทุมาวาส ไปต่อมัธยมโรงเรียนปทุมวิไล สอบเข้าโรงเรียนนายร้อยตำรวจรุ่น 30 ระหว่างอยู่ปี 3 ได้ฝึกงานโรงพักแม่กลองสมุทรสงคราม เจอ พ.ต.ต.ยุทธนา ไทยภักดี สารวัตรสืบสวนสอบสวนเป็นครูฝึกต้นแบบนักสืบ ก่อนเริ่มชีวิตผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ตำแหน่งรองสารวัตรจราจร สถานีตำรวจนครบาลบางยี่เรือ สร้างบทนายตำรวจหัวปิงปองคนเดียวที่มีผลการจับกุมคดีอุกฉกรรจ์มากมายของโรงพัก

ต่อมาย้ายไปรองสารวัตรป้องกันปราบปราม สถานีตำรวจนครบาลพระโขนง ตามจับกุมคนร้ายปล้นเชือดคอโชเฟอร์รถแท็กซี่ ชนิดที่ พล.ต.ท.แสวง ธีระสวัสดิ์ ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ประกาศเกียรติคุณให้เป็นผลงานจับกุมดีเด่นของนครบาล แล้วมีคำสั่งให้เข้าโรงเรียนนายร้อยตำรวจเป็นผู้หมวดกองร้อย 2 ทำหน้าที่ครูปกครองสอนรุ่นน้องนาน 6 ปี ขอลงภูธรตาม “ยุทธนา ไทยภักดี” เป็นสารวัตรสืบสวนสอบสวนโรงพักเมืองประจวบคีรีขันธ์ ก่อนโยกเป็นสารวัตรสืบสวนเมืองสุพรรณบุรี จับตายแก๊งโจรปล้นรถแบ็กโฮตายไปหลายศพ เปิดฉากนายตำรวจนักบู๊ปะทะวายรายจับเป็นจับตายนับไม่ถ้วน

ทำงานอยู่เมืองขุนแผนจนมีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับขยับขึ้นสารวัตรใหญ่ สถานีตำรวจภูธรอำเภอดอนเจดีย์ พัฒนาโรงพักเป็นสถานีตำรวจดีเด่นอันดับ 1 ของกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 เลยถูกย้ายไปแก้ปัญหาโรงพักประตูน้ำจุฬาลงกรณ์ ละแวกถิ่นเกิดได้ปีเดียวลงเป็นสารวัตรใหญ่ สถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา จากนั้นเส้นทางวนเวียนอยู่กับการเป็นหัวหน้าโรงพัก ทั้งเมืองสมุทรปราการ โรงพักตำบลเพ จังหวัดระยอง และหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์

คืนบทบาทมือปราบนอกเครื่องแบบอีกครั้งเป็นผู้กำกับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 7 ประเดิมรับงานแรกด้วยการตกเป็นข่าวดังกระฉ่อนเมืองในคดีวิสามัญฆาตกรรม “โจ ด่านช้าง” กับพวกรวม 6 ศพ หลัง ไปรับตำแหน่งผู้กำกับไม่ถึง 2 สัปดาห์ เป็นเหตุการณ์ที่เจ้าตัวอยากถามสังคมว่า พฤติกรรมคนร้ายโหดหรือไม่ที่จับคนพิการเป็นตัวประกัน แล้วยิงตำรวจที่พยายามเข้าไปเจรจาเกลี้ยกล่อม “ภาพที่ออกมาพวกผมถูกมองว่า เอากลับไปยิงทิ้ง ทั้งที่คนร้ายยอมแล้ว  ข้อเท็จจริงมันไม่ใช่ พวกนี้ตอนออกมามอบตัว ปืนยังซ่อนอยู่ในบ้าน อันนี้เราต้องยอมรับ พอผมเอากลับเข้าไปพวกนี้มันถึงไม่ยอม ภาพตามสื่อมันก็มองได้หลายมุม ผมทำตามหน้าที่ สู้ตามวิถีทาง ผลสะท้อนกลับมาแรงมาก”

“ ผมไม่ว่าใคร แต่ถ้าเกิดใครเป็นผู้บังคับบัญชา ถ้าไม่กล้าตัดสินใจ ลูกน้องเสียชีวิตไปก็จะเกิดการสูญเสีย และถ้าเป็นผู้บังคับบัญชาแล้วไม่ได้ลงไปในเหตุการณ์เอง คุณก็จะไม่รู้ ไม่ใช่ดูจากภาพข่าวอย่างเดียว ผมลอยคอเข้าไปเอง ผมรู้สถานการณ์ ถ้าวันนั้น ผมไม่เข้าไปก็ได้นะ แล้วถ้าลูกน้องเป็นอะไรขึ้นล่ะ ขนาดลูกน้องผมขึ้นบุ่มบ่ามไปบนบ้านโดนมันยิงหงายตกลงมา โชคดีที่เอ็ม 79 วงรอบมันไม่ได้ เขายิงตำรวจ ผมถือว่า คนกลุ่มนี้โหดร้ายมาก” อดีตผู้กำกับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 7 ว่า

ต่อมาเป็นรองผู้บังคับการปราบปราม เสริมทัพหน่วยติดอาร์มยุค “อัศวิน ขวัญเมือง”เพื่อนนักเรียนนายร้อยร่วมรุ่นนั่งเป็นผู้บังคับการ คลี่ปมฆาตกรรมนายปรีณะ ลีพัฒนะพันธ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดยโสธรสาวไปสู่กับดำเนินคดี “ผู้พันตึ๋ง” พ.ต.เฉลิมชัย มัจฉากล่ำ แล้วตัดสินใจขอย้ายตัวเองลงภาคใต้ไปทำงานกับ พล.ต.ท.ไพศาล ตั้งใจตรง ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 ลงตำแหน่งรองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสงขลา ใช้เวลาอยู่ 4 ปีเลื่อนขึ้นเป็นผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนราธิวาส

กระทั่งเกิดเหตุการณ์ปล้นปืนค่ายกองพันทหารพัฒนาที่ 4 ตำบลปิเหล็ง อำเภอเจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาส  เขาโดนป้ายผิดเป็นผู้อยู่เบื้องหลังจุดชนวนไฟใต้ลุกลามทั้งที่นั่งผู้บังคับการแค่ 3 เดือน จำต้องย้ายเป็นผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดตราด  ไม่กี่เดือนยังถูกลากพัวพันการหายตัวไปของทนายสมชาย นีละไพจิตรอีก สุดท้ายข้อกล่าวหาโคมลอย เขาใช้เวลาอยู่ชายทะเลภาคตะวันออกอย่างเงียบ ๆ นาน 9 เดือนถึงได้รับคำสั่งเป็นผู้บังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ และเป็นผู้บังคับการปราบปรามการกระทำผิดต่อเด็กเยาวชนและสตรีคนแรก

ขึ้นรองผู้บัญชาการประจำสำนักงาน พล.ต.อ.สมบัติ อมรวิวัฒน์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติในชณะนั้นได้ 6 เดือนย้ายมาลงถิ่นเก่าเป็นรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 และนั่งผู้บัญชาการตำรวจนครบาลแบบไม่รู้ตัวมาก่อน  “ผมถือว่า มันเกินคุ้มแล้ว เรามาทำเพื่อประชาชนดีกว่า เพื่อศักดิ์ศรีของตำรวจดีกว่า ผมไปอยู่ไหนไม่มีจะมาเน้นเรื่องผลประโยชน์ ความสามัคคีในหน่วยจำเป็น”เขาบอกตอนมารับตำแหน่งแม่ทัพเมืองหลวงไม่กี่เดือนก่อนเผชิญมรสุม หลังเกิดการเปลี่ยนแปลงอำนาจทางการเมืองถูกย้ายพ้นเก้าอี้ไปลงกรุประจำสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

พล.ต.ท.คำรณวิทย์ว่า รู้สึกโล่งใจ เพราะทำใจไว้อยู่แล้วว่า ทันทีที่เปลี่ยนขั้วอำนาจทางการเมือง มีอีกพรรคขึ้นมาเป็นรัฐบาล เราลาออกอยู่แล้ว จังหวะมีเหตุการณ์วันที่ 22 พฤษภาคมพอดี อีกไม่กี่เดือนก็จะเกษียณอายุราชการอยู่แล้ว เป็นอะไรที่สบายใจมาก โล่งใจที่ไม่ต้องไปประคองสถานการณ์ “ถ้ามันมีคนตายเกิดขึ้นในช่วงที่ผมทำหน้าที่  มันจะเป็นตราบาปตลอดชีวิต มันลบไม่ได้ เหมือนคดีฆ่ากันตาย ทำอะไรไว้แล้วจะหลุดได้ในกระบวนการยุติธรรม แต่ตราบาปจะติดอยู่ในตัวไปตลอดชีวิต ตายตาไม่หลับ สักวันกรรมก็ต้องตามมาถึง”

“ผมพูดจริงนะว่า เวรกรรมมีจริง หมั่นทำบุญกันไว้ ขนาดผมเกษียณแล้ว สบายใจแล้ว ยังหนีกรรมไม่ได้ ทั้งที่พยายามประคับประคองมาตลอด ยังไปโดนเรื่องที่ญี่ปุ่น ผมถือเป็นวิบากกรรมในอดีตชาติ  แม้จะทำบุญ เพราะผมทำกรรมไว้เยอะ ทั้งที่ไม่ได้กลั่นแกล้งใคร วิสามัญฆาตกรรมคนร้าย ทำตามหน้าที่เรา ไม่ได้มีจิตใจที่จะคิดฆ่าคนอื่น ผมยังเจอขนาดนี้เลย ใครจะเชื่อไม่เชื่อไม่รู้ แต่ผมเชื่อ”

ตำนานมือปราบคนหนึ่งของทำเนียบนักสืบสีกากียังฝากถึงตำรวจรุ่นน้องว่า อยากให้มีอุดมคติ มีอุดมการณ์ อย่ามองอาชีพตำรวจในเชิงพาณิชย์ด้วยการวิ่งเต้น โรงเรียนนายร้อยตำรวจสอนอยู่แล้วถึงระบบเกียรติศักดิ์ มีรุ่นพี่รุ่นน้อง แต่ในยุคปัจจุบัน แทบไม่มีรุ่นพี่รุ่นน้อง นึกจะข้ามหัวรุ่นพี่บางทีไม่ใช่ ระบบถึงพังหมด มีการเสียเงิน ประมูลตำแหน่ง แบบนี้ต้องไม่มี

เขาขอชื่นชมผู้เกี่ยวข้องจากใจถึงการแต่งตั้งโยกย้ายครั้งล่าสุด เสียงครหาต่าง ๆ ที่พูดถึงการแต่งตั้งเรื่องระบบการซื้อขายตำแหน่งหายไปเกือบหมด หลังจากมีการเปลี่ยนแปลงอำนาจ ตั้งแต่นายกรัฐมนตรีลงมาควบคุมด้วยตัวเอง เป็นสิ่งที่น่าดีใจ ส่งสัญญาณดีขึ้น คิดว่า ฟ้าดินเป็นพยาน คนที่ทำชั่วต้องเริ่มหมดไป เพราะเห็นแก่ผลประโยชน์มากไปจนไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น “เหมือนเป็นบทเรียนว่า อย่าทำอย่างนั้น เพราะฉะนั้นน้อง ๆ ที่เป็นตำรวจ ขอให้ดูบทเรียนอันนี้ อำนาจที่อยู่กับเรา มันไม่ยั่งยืนหรอก เดี๋ยวมันก็หมดไป ถ้าอยากมีตำแหน่งที่ยั่งยืน ไปตั้งกรมตำรวจของเองเหอะ เหมือนบริษัท อยากจะแต่งตั้งอะไรว่า ไปเลย”

อย่างไรก็ตาม เจ้าตัวยังมีสิ่งที่ค้างคาใจตอนดำรงตำแหน่งแล้วทำไม่เสร็จเป็นสิ่งที่ตั้งใจไว้ คือ เรื่องสวัสดิการตำรวจชั้นผู้น้อย สวัสดิการตำรวจที่เวลาเสียชีวิตแล้วต้องมีเงินสวัสดิการให้ ครอบครัวพวกเขาต้องอยู่ได้ ไม่ใช่ผู้บังคับบัญชามาเอาหน้าวันเดียวตอนไปงานศพ  เอาเงินสวัสดิการ เงินฌาปนกิจเบิกมาก่อนเพื่อมอบครอบครัว อ้างว่า ช่วยในนามตัวเอง แต่จริง ๆ แล้วไม่ใช่เงินตัวเอง

ครั้งนั้น พล.ต.ท.คำรณวิทย์ตั้งใจว่า จะมีเงินโครงการสวัสดิการช่วยเหลือตำรวจชั้นผู้น้อยที่เสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ ตั้งเป็นกองทุนมอบให้ทันทีรายละ 3 – 5 ล้านบาท เป็นกองทุนที่นำรายได้จากป้ายโฆษณาตามป้อมตำรวจที่มีจำนวนมหาศาลเอามาต่อยอดกองทุนตัวนี้ เสียดายเกิดปัญหามีเรื่องติดขัดระเบียบ พอเกษียณมาเกือบจะกลายเป็นความคิดอีก  โดยไม่คำนึงถึงสวัสดิการของตำรวจชั้นผู้น้อย ไม่คำนึงผลประโยชน์ที่จะได้รับ

“ผมไม่ได้มีเจตนาที่จะทุจริต เอาผิดผมไม่ได้ แต่ผมเสียดายน่าจะเอามาช่วยเหลือตำรวจที่ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่เป็นสวัสดิการแก่ชั้นผู้น้อย ผมถึงอยากฝากไว้ว่า ขอให้ผู้บังคับบัญชาเมตตาผู้ใต้บังคับบัญชา อย่าไปคิดสักแต่ว่า มีอำนาจ เพราะสักวันคุณก็หมดอำนาจ เท่านั้นเอง ไม่มีอะไร” เขาเชื่อแบบนั้น

คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง !!!

RELATED ARTICLES