พ่อไม่ห้ามที่จะเป็นตำรวจ

“หมวดแพร” ร.ต.ท.หญิง ศรีสกุล นันทะยาวงศ์ ผู้ช่วยนายเวรเก่า พล.ต.ท.สมบูรณ์ ตันตระกูล อดีตแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ ลูกสาวคนสวย พล.ต.ต.บวร นันทะยาวงศ์ อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7

เป็นทายาทคนโต มีน้องชายอีกคน วัยเด็กเรียนโรงเรียนเซ็นหลุยส์ ไปต่อเซนต์โยเซฟคอนเวนต์จนจบมัธยมปลาย ไปต่อหลักสูตร Business English from Bangkok University College และปริญญาโท Leadership and HRM from CMMU College of management Mahidol University

ตอนเด็กเธอเล่าว่า ซนมาก ชอบเล่นปืน เล่นเหมือนเด็กผู้ชาย เตะฟุตบอล ถามว่า อยากเป็นอะไร ใจจริงอยากเป็นตำรวจ เห็นพ่อแต่งเครื่องแบบพกปืนตั้งแต่จำความได้มันถึงซึมซับ ครอบครัวส่วนใหญ่ก็เป็นทั้งตำรวจ ทหาร แต่ด้วยความเป็นผู้หญิงเวลานั้นหาช่องทางยาก สมัยก่อนยังไม่มีการเปิดรับนักเรียนนายร้อยตำรวจหญิงด้วย

ทันทีที่เรียนจบปริญญาตรี ลูกสาวนายพลคนดังเข้าทำงานฝ่ายจัดสรรทรัพยากรบุคคล บริษัท ซีพีเอฟ จำกัด ในเครือเจริญโภคภัณฑ์ ตอนนั้นเธอคิดว่า ปิดเส้นทางการสวมเครื่องแบบสีกากีตามรอยพ่อแล้ว แต่พอเรียนปริญญาโทเลือกหน้างานเกี่ยวกับคนเป็นหลักและลาออกจากบริษัทแล้ว เนื่องจากเรียนค่อนข้างหนัก ทำงานไปด้วยจะไม่มีเวลา

จบปริญญาโทได้สักพัก โอกาสที่เคยใฝ่ฝันกลับมาอย่างไม่น่าเชื่อ เมื่อโรงพยาบาลตำรวจเป็นรับวุฒิปริญญาโท เพื่อมาดูแลงานด้านยุทธศาสตร์ ตรงกับคุณสมบัติของเธอพอดี หมวดแพรเลยสอบและเข้าฝึกอบรมเป็น กอศ.รุ่น 36 “ รู้สึกว่า แปลกดี เพราะไม่ได้เคยคิดในจุดนี้จริงๆ ว่าจะเข้ามารับราชการตำรวจ ก็รู้สึกดี รู้สึกใช่ เป็นอะไรที่เป็นตัวเอง แม้ว่าหน้างานจะไม่ใช่การไปจับผู้ร้าย แต่จะทำงานเกี่ยวกับแผน เกี่ยวกับงานบริหารดูแลยุทธศาสตร์ของโรงพยาบาลก่อนโยกมาทำหน้าที่ผู้ช่วยนายเวร”

ผู้หมวดสาวบอกว่า โครงสร้างของโรงพยาบาลตำรวจใหญ่มาก เป็นองค์กของโรงพยาบาลที่ไม่เหมือนโรงพยาบาลรัฐธรรมดา เพราะอยู่ภายใต้สำนักงานตำรวจแห่งชาติต้องรับนโยบายมาอีกทอด เพราะฉะนั้นเวลาทำงานก็มักจะเป็นงานนโยบายที่ส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นนโยบายที่มาจากทุกด้าน ทั้งด้านบริการ  ด้านดูแล โรงพยาบาลตำรวจค่อนข้างจะมีงานเยอะ แต่ก็ภูมิใจ ที่มาอยู่ตรงนี้ได้ เพราะไม่ง่าย ก็ทำได้

“แพรมีโอกาสทำอะไรที่ไม่เหมือนเอกชน มีระบบมากกว่า เป็นระบบที่มีกรอบ ทำให้เราจะฝึกตัวเองได้มากขึ้น แพรแฮปปี้กับการเป็นตำรวจมาก และคงจะรับราชการไปเรื่อยๆ แล้วก็มอง ใกล้ๆ ก่อน ยังไม่มองไกล เริ่มต้นได้อย่างนี้ก็ถือว่าดีแล้ว แฮปปี้แล้ว”

ถามถึงความผูกพันพ่อลูก ลูกสาวคนเดียวของอดีตนายพลภูธรบอกว่า พ่อโตมาจากการเป็นนายเวรมาก่อนแล้วไปโตตามภูธรภาค เห็นภาพพ่อทำงานค่อนข้างชัดเจน พ่อจะสอนเสมอตำรวจจะมีระเบียบวินัย ชนิดที่ว่า ถ้าเรานอนตื่นสายก็โดนตีเลย แกจะเคร่งครัดเรื่องระเบียบวินัยมาก ก็ชินกับภาพตรงนั้น เพราะมันก็ไม่ใช่แค่พ่อเรา น้าเรา อาเรา ก็ทำตัวเป็นแบบอย่างความมีระเบียบ พ่อจะสอนเสมอว่า เราต้องตื่นก่อนนอนทีหลัง ทำให้ซึมซับมา

อดีตผู้ช่วยนายเวรแพทย์ใหญ่ได้เห็นและเรียนรู้การทำงานของพ่ออยู่ตลอด เธอเล่าว่า พ่อจะชอบสอนลูกน้อง ไม่ใช่สอนธรรมดา แต่มีสเต็ป จะมีระเบียบการทำงานที่รัดกุม เวลาลูกน้องอยู่กับพ่อ ค่อนข้างเห็นว่า ลูกน้องจะดูว่า พ่อทำงานยังไง เราก็เห็นจากลูกน้องเขาด้วย เราก็เห็นตั้งแต่อยู่ที่ปกติ จนลูกน้องพ่อมาอยู่ในสำนักงาน ก็ดูว่าเขาปรับตัวยังไง ก็มองคนรอบข้างพ่อด้วย จะว่าไปแล้ว การเป็นตำรวจก็ไม่ง่าย

ถึงกระนั้น เธอบอกว่า พ่อไม่ห้ามที่จะเป็นตำรวจ ไม่เคยตัดสินใจแทนลูก พ่อให้เลือกทางเดินชีวิตเอง ไม่มีห้าม แต่จะคอยแนะนำว่า ข้อดีมีอะไรบ้าง ข้อเสียมีอะไรบ้าง แล้วให้ไปคิดเอาเองว่า เรารับได้กับสิ่งที่ดีกับสิ่งที่เสียขนาดไหน ให้ไปบวกลบเอาเอง จะสอนแบบให้เราคิดเอง คิดให้เป็น ก็เลยคิด ไม่รู้ว่าคิดเป็นหรือไม่เป็น แต่คิดว่า ถ้าเราอยากเดินมาทางนี้ก็ตัดสินใจแล้ว ตัดสินใจเองด้วย ก็ไม่ผิดหวัง

หมวดแพรว่า ตอนแรกกังวล เพราะตอนฝึก ก็ฝึกทั้งร่างกาย และจิตใจ ฝึกความอดทน สำหรับผู้หญิงมันค่อนข้างเหนื่อย ขนาดผู้ชายยังบอกเลยว่า เหนื่อย แต่พอมันผ่านพ้นช่วงนั้นมาแล้ว จริงๆ บอกได้เลยว่า พอมาทำงาน เหนื่อยกว่าอีกเยอะ มันไม่ใช่แค่เหนื่อยกาย แต่มันรับหลายอย่าง เพราะฉะนั้นอะไรที่ฝึกมา ชีวิตจริงข้างนอกจะหนักกว่า

ทิ้งท้ายเจ้าตัวยอมรับว่า ตำรวจก็มีภาพต่อสังคมค่อนข้างไม่ค่อยดีในสายตาคนข้างนอก เราก็ไม่อยากให้ตำรวจมีภาพลบติดอยู่ในหัวของคนข้างนอก แต่ก็เข้าใจนะ ความคิดของแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางทีตัวองค์กร ตัวตำรวจเองต้องค่อยๆ ปรับ ปรับในสิ่งที่ดีที่สุด แล้วเวลามันก็จะบอกเอง คนก็จะมีทัศนคติที่ดีขึ้นอะไรแบบนี้ มันเป็นเรื่องละเอียดอ่อน พูดยากเหมือนกัน

RELATED ARTICLES