“ บางครั้งการเป็นแฟนนายตำรวจ เราต้องเข้าใจ และไว้ใจ”

าวสวยแอร์โอสเตสสายการบินไทย

คุณลูกแอ-ศิริภัสสร คำทอง ภรรยา พ.ต.ต.ปณิธิ ชาอุ่น สารวัตรกองกำกับการ 4 กองบังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์ นักเรียนนายร้อยรุ่น 58

“ลูกแอ แปลว่าลูกคนเล็กค่ะ” เจ้าตัวยิ้มบอกคลายข้อสงสัยในความหมายของชื่อเล่น เธอเกิดกรุงเทพมหานคร พ่อเป็นวิศวกร ส่วนแม่ทำงานธนาคารแห่งประเทศไทย ปู่เคยเป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ย่าเป็นอาจารย์คณะสังคมศาสตร์ อาเป็นอาจารย์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เรียกว่าเกิดในแวดวงครู ทำให้ได้ไปเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หลังจบอนุบาลที่โรงเรียนวัฒนาวิทยาลัยจนถึงชั้นมัธยมปีที่ 6

ถึงกระนั้นก็ตาม แอร์สาวบอกว่า ไม่ได้รู้สึกอยากเป็นครู แต่เคารถในอาชีพครู ตัวเองรู้สึกชอบทางด้านภาษา แต่ด้วยความที่ปู่ กับอาเรียนสายวิทยาศาสตร์ เรายังไม่ค่อยรู้จะไปทางไหนเลยเรียนสายวิทยาศาสตร์ไปเลย ตั้งใจว่า ถ้าสมมติตอนจบไป ถ้าเราชอบอะไรไม่เกี่ยวกับสิ่งที่เรียน ก็เรียนทางนี้ไปก่อนถึงสอบต่อคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สุดท้ายก็เลยกลายมาเป็นแอร์โอสเตส

เจ้าตัวยอมรับว่า ไม่เคยใฝ่ฝันมาก่อน บังเอิญช่วงปี 3 เริ่มโตพอที่จะรู้ว่า สิ่งที่เราต้องการ คือ อะไร คือ อยากทำงานที่มีอิสระสูง เพราะเริ่มเห็นตัวตนของตัวเองว่า ไม่ชอบอะไรที่อยู่ในกรอบมากเกินไป เราเรียนวิทยาศาสตร์ โอเคเราเรียนได้ ชอบ แต่ด้านปฏิบัติค่อนข้างไม่เจอใครเลย ทำงานในห้องแล็ป เรียนได้ แต่ไม่เหมาะกับเราเลยหันไปหาอาชีพนี้ และเริ่มหาข้อมูลตั้งแต่ตอนนั้นว่า มีอาชีพอะไรที่เรารู้สึกว่า เดินหน้าจึงตั้งใจไปสมัครที่การบินไทย

พอจบปริญญาตรี คุณแอเตรียมตัวทันที ทว่าตอนแรกการบินไทยยังไม่เปิด เธอจึงเลือกไปทำงานฝ่ายบุคคลโรงพยาบาลพญาไท 2 แม้ไม่เกี่ยวกับหน้างานที่ร่ำเรียนมาอยากลองใช้ความสามารถที่ไม่เกี่ยวกับสิ่งที่เรียนมา ไปอยู่ 9 เดือนการบินไทยเปิดเลยไปสมัคร ตั้งแต่นั้นมา ทำงานที่นี่เข้าสู่ปีที่ 7 แล้ว

เมื่อถามถึงคู่ชีวิต เธอย้อนเวลาหวานว่า มาเจอกับแฟนได้เพราะความบังเอิญ พอดีตอนนั้นเลิกกับแฟนเก่าได้สักเป็นเดือนแล้ว เพื่อนสนิทก็เกรงว่า จะคิดมาก ไม่สดชื่น พยายามชวนออกไปโน่นนี่นั่น เป็นเพื่อนสนิทมากๆ และคงเป็นพรหมลิขิต เพื่อนพาไปร้านกาแฟที่กำลังเปิดใหม่ มีเขาหุ้นส่วนด้วย ไปเจอกันพอดี เป็นวันที่เช้ามาก ไม่คิดว่า มีใครไปเปิดร้านกาแฟ วันนั้นเพื่อนสนิทจะพาไปนั่งรีแล็กซ์ที่ร้าน จะพาไปช่วยโปรโมตร้านใหม่ของเขา ไปเปิดร้าน 8 โมงเช้าเลย เขานั่งอยู่ก่อนแล้ว มาจากสระบุรีเพิ่งมาถึง อยากมาดูกิจการ

“บังเอิญมาก ก็เลยได้เจอกันที่นั่น ก็ยังเฉยๆ ยังไม่ได้ทำความรู้จักกัน จนอีกอาทิตย์หนึ่ง ก็เหมือนกับเขาจะมาเห็นอีกที ในรูปที่ถ่ายรับปริญญาก็ยังไม่ได้คุยกับใคร ลูกแออยู่กับตัวเอง เหมือนว่า เขาก็ได้รู้จักตัวตนเรามากขึ้นว่า เราไม่ได้เป็นคนที่หยิ่ง เขาก็เลยขอเพื่อนอยากทำความรู้จัก ยอมรับว่า ตอนแรกลูกแอไม่ได้สนใจใครเลยคุยกับเพื่อนอย่างเดียว ไม่รู้ด้วยว่าเป็นตำรวจ นึกว่าเป็นทหารอากาศเพื่อนเพื่อนที่รู้จักกัน”

สาวการบินไทยเล่าต่อว่า ตอนหลังได้คุยกันถึงรู้ว่าเป็นตำรวจ ไม่ใช่ทหารอากาศ ถามว่า ชอบตำรวจไหม ก็เฉยๆ ไม่เคยรู้จักตำรวจเลย ลึก ๆ ไม่ชอบด้วย รู้สึกว่า เขาจะเป็นแบบไหน เก๊กๆ ดุๆ ดูดุมาก ประกอบกับตามภาพลักษณ์ที่เราเคยเห็น เขาต้องแข็งมากๆ ถึงไม่เคยคิดอะไรเกี่ยวกับตำรวจเลย ชีวิตนี้ ทว่าสุดท้ายก็มาคุยกัน สัมผัสได้ว่า เขาเป็นคนนิสัยดี มีความจริงใจ ไม่เสแสร้ง แถมไม่โรแมนติก แต่ประทับเขาตรงที่เป็นคนตรงๆ จริงใจ ที่ผ่านมา เราจะเจอแบบประเภท มีโปรโมชั่น คือ เอาใจตอนแรก

เรียนรู้ดูกันไม่นาน ทั้งคู่ตัดสินใจคบกันเป็นแฟน ผ่านครึ่งปีฝ่ายชายพาไปหาพ่อแม่ ครอบครัวต้อนรับเธออย่างอบอุ่น ยิ่งทำให้เชื่อมั่นว่า ผู้ชายคนนี้แหละคู่ชีวิต แล้วก็ลงเอยตกลงแต่งงานกัน เรียกว่าปุ๊บปั๊บเจอ ปุ๊บปั๊บแต่ง ตั้งแต่เจอเธอก็รู้เลยว่า คนนี้อยู่กับเธอได้ เหมือนมีเซ้นท์  ตั้งแต่ตอนคบกันลำบากแค่เวลาเจอ ตอนนั้นฝ่ายชายเป็นพนักงานสอบสวนอยู่โรงพักพระพุทธบาท สระบุรีต้องขับรถมาหา แต่ถ้าต้องการรักษาความสัมพันธ์ จะให้ผู้หญิงเป็นฝ่ายรออย่างเดียวก็ไม่ใช่

“ก็เต็มที่ต่างคนก็ต่างช่วยกันเพื่อให้ได้เจอกัน เวลาบินไปต่างประเทศลูกแอจะปิดโทรศัพท์ ไม่รับโทรศัพท์เลย เพราะจะไม่สบายใจ หากรับรู้อะไร ฉะนั้นก็จะตัดเลยกลับมาค่อยมาดู เราทั้งคู่จะได้คุยกันตอนที่กลับมาแล้ว ตัดสินใจเดี๋ยวนั้นว่า ตอนนี้ว่างไหม ถ้าไปเจอได้ก็ไปเจอ ถ้าลูกแอมีแรงเหลือบางทีก็ขับไปที่สระบุรี ไม่อย่างนั้นก็ไม่ได้เจอ กระทั้งเขาก็เข้ามาอยู่กรุงเทพฯ แต่งงานกัน”

แม่บ้านสาวสารวัตรปราบปรามการค้ามนุษย์บอกว่า การแต่งงานเปลี่ยนชีวิตพอสมควร ต้องปรับตัวในแง่ของความเข้าใจ เรานึกว่าเราเข้าใจแล้ว แต่ว่ามันยิ่งกว่า มันต้องอดทน ต้องเข้าใจ ต้องคิดให้ยาว ใช้อารมณ์ไม่ได้เลย ต้องทิ้งไปเลย คำว่า อารมณ์ เพราะเขาเป็นคนมีสังคมเยอะ เขาเป็นคนที่ด้วยอาชีพ นิสัยส่วนตัว ก็ดีที่ว่าเขาไม่ค่อยมีสังคมส่วนตัว จะมีก็สังคมที่เป็นไปตามหน้าที่ โชคดีตรงนี้ ก็เข้าใจเขาให้มาก เขาทำงานเหนื่อยแล้วยังต้องแบ่งเวลาเข้าสังคม ก็ตามความเหมาะสม บางครั้งกลับดึกบ้าง เราก็ต้องเข้าใจ และบางทีก็ไม่ได้กลับเข้าบ้านทุกวัน เราก็ต้องเป็นหลักในครอบครัวได้

คุณลูกแอว่า เราต้องเป็นทั้งผู้หญิง และผู้ชายในตัวคนเดียว เพราะฉะนั้นก็จะยิ่งหนักกว่าเดิม แต่ว่า จริงๆ ลูกเป็นความสุข เรื่องความเหนื่อยในการเลี้ยงลูก มันเป็นธรรมดาอยู่แล้ว ถ้าเรามีลูกเราก็ต้องเข้มแข็งขึ้น อย่าใช้อารมณ์ต้องควบคุมอารมณ์ตัวเองให้ดีขึ้น ยิ่งตอนนี้มี 2 คน โชคดีที่ลูกเข้าใจไม่โยเย เป็นภาระ เราก็ต้องให้ความอบอุ่นกับเขาให้พอ ให้กำลังใจตัวเองและลูก เพราะเด็กเป็นผ้าขาวบาง หนักตรงที่ว่าเราจะทำยังไงให้ลูกเราสมบูรณ์ พอมีลูกแล้วจะคิดแต่เรื่องลูก ทำยังไงให้ลูกเราสมบูรณ์ แม้ว่าบางทีอาจจะไม่ได้มีกิจกรรมที่พร้อมหน้ากัน 4 คน แต่ทำยังไง ให้เขาเข้าใจ มีความสุขได้ตามปกติได้

ครอบครัวเธอ มีพยานรัก 2 คน คนแรก น้องลูกหม่อน – ทัศน์พล ชาอุ่น อายุ 4 ขวบครึ่ง อีกคน น้องลูกไหม – สวรินทร์ ชาอุ่น วัย 4 เดือนเศษ ตัวเธอยอมรับว่า ตอนลูกคนแรก ต้องบินไปด้วย แต่พอลูกคนที่ 2 ต้องเรียกว่า ลด ละ เลิก แต่เดิมเคยชอบค้าง ไปบินไกลๆ ก็ไม่ไป อยากให้เวลากับลูก เลี้ยงลูก ให้ดี และอยากให้เวลาอยู่พร้อมหน้าพ่อแม่ลูก โชคดีที่ช่วงแรกสามีก็ยังอยู่กรุงเทพฯ จะเจอกันทุกวัน มีความสุข เมื่อได้กลับมาเจอลูก เจอสามี

“ บางครั้งการเป็นแฟนนายตำรวจ เราต้องเข้าใจ และไว้ใจ เมื่อเราตัดสินใจเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว คิดว่าต้องมีความไว้ใจให้เขา 100 เปอร์เซ็นต์ ไม่เช่นนั้น เขาจะทำงานไม่ได้เลย เขาจะไม่มีพลัง เขาเองก็ต้องต่อสู้กับงานเยอะมาก เราเหมือนกับเป็นแบล็กให้เขา ไม่อยากเพิ่มภาระให้เขา” คุณลูกแอว่า ถึงหลักคิดประคองชีวิตคู่ แต่พอรู้ว่า สามีถูกคำสั่งย้ายไปไกล เธอยอมรับว่า ใจหาย ตอนแรกร้องไห้เลย จากที่เป็นสารวัตรอยู่กองกำกับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจต้องไปอยู่ทางหลวงจังหวัดแพร่  ตกใจเหมือนกัน ไม่คิดว่าจะไปไกลขนาดนั้น แอบร้องไห้พยายามไม่ให้ลูกเห็น ไม่อยากให้ลูกคิดว่า ต้องเป็นปัญหา แต่เป็นเรื่องการทำงานเป็นเรื่องธรรมดาที่สามีจะต้องเพิ่มบทบาทให้ตัวเอง เราก็ไม่เคยห่างกันขนาดนี้

สะใภ้บ้านชาอุ่นว่า ทำใจอยู่แล้วว่า อาชีพนี้ก็ต้องมีบ้าง เลี่ยงไม่ได้ แต่ไม่คิดว่า วันนี้จะมาถึงแล้ว สุดท้ายก็ผ่านไปด้วยดี ตอนแรกก็ร้องไห้ แต่ก็สู้ มาคิดว่า โอเค เราทำได้ เพียงแต่ว่า เราอาจจะต้องปรับตัวบ้าง ตอนนี้ก็เริ่มลงตัวมากขึ้น เขาเองก็ปรับตัว ลูกก็ปรับตัวได้บ้าง อยากฝากเกี่ยวกับหลักการดำเนินชีวิตคู่ ก็คิดว่า คงไม่มีอะไรเกินไปกว่าความไว้ใจ การเข้าใจ คือ ถ้าสมมติมีเรื่องที่ไม่เข้าใจ ถ้าอารมณ์ร้อนอยู่ ไม่ควรโผงผาง ควรจะค่อยๆ พูดคุย ช่วยเหลือกัน เวลาที่ใครอารมณ์เย็นก่อนได้ก็ค่อยเข้าหาอีกคน ตรงนี้ เป็นเรื่องที่ดีต่อครอบครัว

“แล้วผู้หญิงเราก็ควรอยู่ได้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องพึ่งผู้ชายตลอดเวลา ไม่อย่างนั้นเราจะมีอารมณ์มากมาย ลูกแอมีทะเลาะกันบ้าง เป็นธรรมดา แต่เป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ มันไม่มีเรื่องใหญ่แล้ว ส่วนใหญ่มาจากเรื่องในชีวิตประจำวัน เป็นเรื่องที่บางทีจริงๆ เราก็รับได้อยู่แล้ว แต่เป็นเรื่องรำคาญใจบ้างเท่านั้นแหละ ก็ค่อยๆ คุยกันไป” แอร์สาวสายการบินไทยทิ้งท้าย

RELATED ARTICLES