“สามีภรรยามันต้องเสริมซึ่งกันและกัน”

ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กร ธนาคารอาคารสงเคราะห์

“คุณเจี๊ยบ”สุดจิตตรา คำดี ภรรยา พล.ต.ต.สุภธัช คำดี รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 ทายาท พล.อ.ยุทธนา คำดี อดีตนายทหารคนดังผู้ล่วงลับ

ทั้งคู่สร้างตำนานรักยาวนาน 30 กว่าปี มี “พริมโรส”ธิดาสรวง คำดี เป็นลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนเพียงคนเดียว ปัจจุบันเรียนมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

คุณเจี๊ยบเป็นคนฝั่งธนบุรี เป็นลูกสาวคนโตสุดหวงของพ่อแม่ เริ่มการศึกษาชั้นอนุบาลโรงเรียนสตรีทัดสิงหเสนี ไปต่อประถมโรงเรียนวัดเจ้ามูล และมัธยมวัดประดู่ในทรงธรรม อยากเป็นพยาบาลที่เป็นอาชีพยอดฮิตของผู้หญิงยุคนั้น เจ้าตัวเล่าว่า ตอนเล็ก ๆ ถ้าเจอคนเยอะๆ จะเป็นลมประจำ หมอหลอกต้องอย่างนั้นอย่างนี้จะได้เป็นพยาบาล เราก็ฝังใจว่า เป็นอาชีพช่วยคนดี คิดว่า ตัวเองชอบแบบนั้น พอโตขึ้นมากลับเปลี่ยนแนวคิด

ช่วงก่อนเอ็นทรานซ์ คุณเจี๊ยบบอกว่า แม่ฝังใจกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มาก อุ้มเราไปเดินตั้งแต่เล็ก ๆ อยากให้ลูกเรียนธรรมศาสตร์ พอเอาเข้าจริงเราก็แอบไปเลือกคณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และคณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร แต่เลือกคณะเศรษฐศาสตร์ กับวารสารศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ไว้ด้วย ปรากฏว่า ติดวารสารศาสตร์เป็นคณะที่คนเริ่มให้ความสนใจมากขึ้น คิดว่า อาจเป็นวิถีชีวิตของเรา พอเรียนไปน่าจะเป็นสิ่งที่ใช่สำหรับเรา

เข้าเป็นลูกแม่โดมทำกิจกรรมมากมาย ได้เป็นลีดเดอร์ฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ เข้าตาธนาคารกสิกรไทยถึงขั้นชวนไปทำงานฝ่ายประชาสัมพันธ์ให้กับธนาคารสำนักงานใหญ่ทันทีที่เรียนจบ

แต่ก่อนหน้านั้น เธอได้พบรักกับแฟนหนุ่มนักเรียนนายร้อยตำรวจหมาดเข้มดุจดังเพลงบุพเพสันนิวาส คุณเจี๊ยบย้อนวันหวานว่า ตอนอยู่มัธยม 6 ไปเรียนพิเศษแถวสยาม รู้จักกับมนตรี รอดปาณี เด็กนักเรียนเทพศิรินทร์ที่เข้ามาจีบเพื่อนกลุ่มเดียวกัน พอมนตรีสอบติดนายร้อยตำรวจ ไล่เลี่ยกับที่เราติดธรรมศาสตร์เลยชวนให้กลุ่มเพื่อนไปเที่ยวงานวันตำรวจ 13 ตุลาคมที่โรงเรียนนายร้อยสามพราน ถึงได้เจอเขาเป็นเพื่อนนักเรียนนายร้อยรุ่น 37 รุ่นเดียวกับมนตรี

“เขาเป็นนักร้องวงดนตรีของโรงเรียนนายร้อยตำรวจ เจอกันครั้งแรกไม่ได้คุยกัน ไม่ได้รู้สึกชอบ  ดูหยิ่งๆ ขี้เต๊ะด้วยซ้ำ พอเจี๊ยบกลับมาเขาก็เขียนจดหมายมาที่บ้านเพื่อน ไม่กล้าส่งมาบ้าน เพราะรู้ว่า พ่อแม่หวงมาก ใช้ปากกาสีสะท้อนแสงให้เราอ่านไม่ชัด เขียนบรรยายสารพัด เรามองไม่ถูกชะตาครั้งแรก พอมาเห็นจดหมายเริ่มคิดว่า ผู้ชายคนนี้ประหลาดดี”แม่บ้านนายพลสาวหัวเราะ

การเขียนจดหมายจีบครั้งนั้นเสมือนจุดเริ่มต้นให้ทั้งสองคนสานสัมพันธ์กันในเวลาต่อมา เธอว่าฝ่ายชายส่งจดหมายมาหาเรื่อย ก่อนเข้าบ้านมารู้จักพ่อแม่ ทุกวันศุกร์กลับจากโรงเรียนนายร้อยก็จะแวะมาบ้านเราก่อน วันอาทิตย์ก่อนเข้าโรงเรียนก็แวะมาหาเหมือนกัน เพราะสมัยนั้นสถานีขนส่งสายใต้อยู่สามแยกไฟฉาย ไม่ไกลจากบ้านเรานัก เทียวไปเทียวมาอยู่อย่างนี้ ยิ่งตอนน้ำท่วมใหญ่ปี 2526 บ้านจะย้ายไปอยู่บางขุนนนท์ เขาก็มาช่วย ออกจากโรงเรียนชุดเครื่องแบบ เดินลุยน้ำเอากระเป๋าวางไว้บนหัวมาถึงบ้านเปียกหมด ทำให้ที่บ้านชอบในความสม่ำเสมอของเขา

พอทั้งคู่เรียนจบมาได้ 3 ปีจึงตัดสินใจลอดซุ้มกระบี่จัดพิธีวิวาห์ชื่นมื่น “ชอบความทรหด และคบมาเรียนรู้แล้วว่า เขาไม่มีใครเลยขนาดตอนจบใหม่ย้ายไปลงโรงพักแม่แตง เชียงใหม่ เพื่อนหลายคนขู่ว่า ตำรวจไม่รอดหรอกไปเชียงใหม่มีมีใครเหลือกลับมาสักคน เพราะสาวเชียงใหม่สวยมาก แต่เขาก็ผ่านมาได้ ตั้งแต่คบกันมา เขาไม่เคยวอกแวก เขาเป็นคนไม่เจ้าชู้ สม่ำเสมอ พอเราไปที่บ้านเขา ตอนนั้นคุณพ่อเขาก็ใหญ่ คุณแม่ก็เป็นคุณหญิง เราลูกชาวบ้านธรรมดา แต่คุณพ่อคุณแม่เขาก็เมตตา ไม่ได้รังเกียจเรา เพราะแต่งงานแล้วต้องเข้าไปอยู่บ้านเขา”

ตอนแรกเธอยอมรับว่า การเข้าไปอยู่บ้านเขาหนักใจ เพราะเราขี้เกรงใจวางตัวไม่ถูก โชคดีพ่อแม่เขาน่ารัก รักเราเหมือนลูก เข้าไปอยู่ในกรมทหารก็ได้ช่วยทำงานด้านประชาสัมพันธ์ของทหารบกบ้าง หลังแต่งงานแล้วก็ไม่ค่อยมีปัญหาอะไร ไม่ได้ปรับตัวอะไรมาก อาจเป็นเพราะเราทำงานหนัก ความเป็นแม่บ้านน้อยมาก สามีจะรู้ว่า เราบ้างาน

คุณเจี๊ยบทำงานอยู่ธนาคารกสิกรอยู่ 6 ปี ย้ายไปอยู่บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์สินเอเชีย ปีเดียวย้ายทำบริษัทจุลดิศ ดีเวลลอป จำกัด (มหาชน) นานราว 7 ปี ข้ามเป็นประชาสัมพันธ์สถานีโทรทัศน์ไอทีวี 5-6 ปี ขยับไปบริษัทแคปปิตอล โอเค จำกัด ถึงย้ายกลับมาทำงานธนาคารอาคารสงเคราะห์ไต่ระดับขึ้นนั่งผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กรดูงานด้านประชาสัมพันธ์องค์ตามประสบการณ์ที่ถนัด เธอให้เหตุผลที่เปลี่ยนงานบ่อยว่า วางแผนชีวิตไว้ว่า ทำงานอยู่ทีไหนจะใช้เวลา 5-6 ปีแล้วจะเปลี่ยน เพราะอยากเรียนรู้ธุรกิจใหม่ ๆ เราทำงานประชาสัมพันธ์จะได้มีคอนเนคชั่นหลากหลาย

ด้วยความเป็นคนชอบทำกิจกรรม นักประชาสัมพันธ์สาวมีมุมคิดด้วยว่า เวลารับคนเข้าทำงานเคยถามว่า ทำกิจกรรมหรือไม่ เพราะคนเรียนอย่างเดียวเจอมาเยอะพวกเรียนเก่ง ได้เกียรตินิยม ทำงานไม่ได้ ถึงสอนลูกเสมอ ต้องทำกิจกรรมระหว่างเรียน มันจะฝึกเรา เพราะชีวิตจริงเราไม่ได้มานั่งอยู่กับตำรา มันต้องใช้กิจกรรมในการทำงานร่วมกับคนอื่น บริหารจัดการในทีมจะเป็นประโยชน์ในการทำงานในอนาคต ลูกก็จะมาปรึกษาตลอด

ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กรคนเก่งถ่ายทอดเรื่องราวส่วนตัวอีกว่า สมัยก่อนตอนไม่มีลูก ไม่เคยอยู่บ้านเลย ยิ่งทำอยู่จุลดิศต้องออกต่างจังหวัดหาลูกค้าตลอด วิ่งไปวิ่งมาเขาใหญ่  หาดใหญ่ ช่วงนั้นสามีก็ทำงานของเขา เราก็ทำงานของเขา เป็นกันอย่างนี้มาตั้งแต่ต้น ไม่ค่อยมีปัญหา ต่างคนต่างยอมรับได้ พอมีลูกเราก็เริ่มลดลง มีเวลาให้ครอบครัวบ้าง ลดดีกรีความบ้าระห่ำของเราบ้าง ลูกสาวคนเดียวค่อนข้างห่วง สามีจะระเบียบ ตอนลูกเล็ก ๆ ถ้านอนต้องหลับตาทันที ส่วนเราจะเหมือนเพื่อนลูก ต้องมีคนอ่อนอีกคนแข็งไม่อย่างนั้นลูกจะเครียด

“เขาเป็นพ่อที่ดูแลลูกดี คอยรับส่งลูก เพราะเราไม่มีเวลา เขาทำหน้าที่พ่อ และดูแลครอบครัวดี เสาร์อาทิตย์ก็ทำงานตัดต้นไม้ ชอบจัดบ้าน เวลาเรื่องงานก็คุยกัน เราปรึกษาเขา เขาก็ปรึกษาเราในบางประเด็น บางเรื่องไม่สบายใจ ต่างคนต่างคุยแนะนำซึ่งกันและกัน เราจะถามเรื่องกฎหมาย เพราะเจี๊ยบทำงานเอกชนมาตลอดไม่ค่อยมีในเรื่องระบบจัดซื้อจัดจ้าง มาทำงานอยู่รัฐวิสาหกิจต้องระวัง ต้องศึกษา ตรงไหนไม่รู้ก็จะถามสามี เพราะว่า วัฒนธรรมเปลี่ยน คนเปลี่ยน สภาพแวดล้อมการทำงานเปลี่ยนหมด เราต้องปรับ เอาประสบการณ์ของเอกชนมาใช้ แต่เรื่องระเบียบเราก็ต้องศึกษาและถามบ้าง” สะใภ้บ้านคำดีเผยสายใยรัก

เธอบอกอีกว่า ส่วนสามีจะถามเรื่องงานบ้างเกี่ยวกับงานสื่อ งานประชาสัมพันธ์ เราก็จะแนะนำ เราคนทำกิจกรรมจะบอกสามีว่า บางทีหน่วยก็ต้องออกประชาสัมพันธ์บ้าง ถึงเอาตำรวจไปสร้างจิตอาสาสร้างกิจกรรมในหน่วยของสามี ร่วมกันทำงาน แม้เรามีงานค่อนข้างเยอะ แต่ช่วยได้บ้าง ยินดีอยู่แล้ว เพราะถือเป็นหน้างานถนัดและสามารถไปด้วยกันได้ไม่มีปัญหา “สามีภรรยามันต้องเสริมซึ่งกันและกัน ประกอบกับเราชอบทำกิจกรรมอยู่แล้ว หลายเรื่องที่สามีเครียด เราก็ต้องให้กลังใจกันบ้าง แต่จะห่วงสุขภาพ เพราะทำงานมากเกินไป เขาก็ห่วงเรา เราก็ห่วงเขา ทำงานกันเยอะ สมัยก่อนจะมีบ้างานเกิน ทำงานกลับดึก ออกทุกเสาร์อาทิตย์ แต่ไม่ทะเลาะกัน เนื่องจากเราเป็นคนไม่โวยวาย ถ้าโกรธจะเงียบ เขาจะรู้ ถ้าเราไม่พูดก็ต้องมีอะไร ส่วนถ้าเขาโกรธจะพูด ไม่เก็บ เราเงียบเพราะเรากำลังคิดทบทวน นิ่งนับ 1ถึง100 หายก็มาเคลียร์กัน จะให้เกียรติซึ่งกันและกัน เขาห่วงใยดูแลเป็นหมอประจำบ้าน ยาทุกอย่างเขาจะรู้หมด ดูแลได้หมด”

“เราถือว่า โชคดี เพื่อน หรือคนรู้จักเป็นแฟนตำรวจเจอแต่ละคนวีรกรรมเยอะ ถ้าเป็นแบบนั้นเราเลิกเลย พูดแต่ต้นแล้ว ตัดเด็ดขาด โดยเฉพาะเรื่องผู้หญิง ถ้ามีไม่ต้องอธิบายอะไรกันแล้ว เขาก็รู้ว่า เราเอาจริง ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ให้อภัยไม่ได้ เราเชื่อว่า ถ้าคนใจไม่แข็งพอ มันก็มีเข้ามา มีบ้าง มีวอกแวก ถึงบอกว่า สิ่งนี้เป็นความโชคดี งานเราก็ยุ่งอยู่แล้ว ถ้ามีเรื่องนี้เข้ามาก็แย่ ถือเป็นบุญอย่างหนึ่ง ถ้าเจอแบบนั้นคงแย่” คุณเจี๊ยบน้ำเสียงจริงจัง

คู่ชีวิตนายพลหนุ่มยังพยายามให้คำปรึกษาสามีถึงหลักการทำงานบนเส้นทางผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ที่เต็มไปด้วยขวากหนามสารพัด ด้วยการยึดหลักเหมือนที่เธอทำ 3 อย่าง เริ่มจาก ซีอีโอ ต้องมาบริหารนายได้ ถ้านายไปกับเราต้องคุยกันรู้เรื่องตรงนี้สำคัญ อย่างที่สอง คือ ครีเอทีฟ จะอยู่นิ่งไม่ได้ ต้องคิดโน่นนี่ไปเรื่อย สุดท้าย คือ คอนเนคชั่น เธอมองว่า คอนเนคชั่นจะช่วยทำงานได้เยอะมาก เป็นเรื่องที่ปัจจุบันทุกคนต้องทำ ต้องมีเพื่อน ไม่ใช่อยู่กับตัวเรา อยู่กับครอบครัวอย่างเดียว มันหลีกเลี่ยงไม่ได้ จำเป็นต้องสร้างคอนเนคชั่นเพื่อนฝูงไว้ช่วยกันเพื่อให้ได้ความคิดอะไรใหม่ เปิดตัวเองให้กว้างขึ้น ช่วยกันแชร์ไอเดีย ได้เครือข่าย เขาช่วยเรา เราช่วยเขา

 

RELATED ARTICLES