งานวันเด็กแห่งชาติปีนี้ไม่คึกคัก ต้องหยุดชะงักเพราะวิกฤติสถานการณ์ลุกลามของวายร้ายไวรัส “ไข้หวัดโควิด” เป็นพิษระบาดหนักเป็นระลอกใหม่
เด็กหลายคนถูกกลืนหายไปอยู่ใน “โลกออนไลน์” ไม่ได้เจอเพื่อนวัยเรียน แทบไม่ได้เจอบทเรียนของชีวิตในรั้วสถาบัน
ไม่รู้ด้วยซ้ำ “คำขวัญวันเด็ก” ปีนี้ว่าอะไร
“อย่าร้องไห้นะ เดี๋ยวเรียกตำรวจมาจับ” หมดยุคประโยคโบราณที่ผู้ใหญ่ชอบเอาตำรวจมาขู่เด็กให้หวาดกลัว หรือเพียงเพราะผู้ใหญ่เองนั่นแหละที่เกรงกลัวอิทธิพลของผู้ถือกฎหมายในอดีต
ตำรวจจำนวนไม่น้อยเคยสร้างแรงบันดาลใจวัยเด็กของหลายชีวิต เป็น “ต้นแบบ” บรรดาเด็กน้อยอยากเจริญรอยตามล่าหาความฝันไปสวมเครื่องแบบ “ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์”
พ่อผู้เสียสละดูแลปกป้องรับใช้ประชาชนเสมือน “ไอดอล” ของลูกวัยเยาว์
ทว่าพ่อหลายคนไม่ต้องการให้ลูก “ติดบ่วงกรรม” เผชิญวิบากกรรมปัญหาชีวิต
ครอบครัวแตกกระสานซ่านเซ็นเซ่นสังเวยคำสั่งแต่งตั้งโยกย้าย แถมเงินเดือนไม่พอใช้ หนี้สินพะรุงพะรัง จบลงด้วยความแตกแยก
“นี่หรือ คือ ชีวิตตำรวจ” เด็กหลายคนถอดใจ
แต่เด็กหลายคนยังมุ่งมั่นตามแรงบันดาลที่อยากสานงานเป็น “ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์” ตามแบบฉบับไม่โกง ไม่กิน ยึดหลักกฎหมายบนความท้าทายเพื่อปัดเป่าเก็บกวาด “ขยะสังคม”
หารู้ไม่ว่าโลกของความจริง ไม่ได้สวยงามอย่างที่วาดฝันไว้
ขณะที่เด็กหลายคนดำดิ่งสู่ “โลกยุคใหม่” ย่อไว้ในจอโทรศัพท์มือถือ เอาแต่ก้มหน้า ไม่เงยขึ้นมามองธรรมชาติของคน ด้วยความเชื่อมั่นว่า โลกของพวกเขากว้างเกินกว่าผู้ใหญ่จะเข้าใจจนทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางความคิด
มองพ่อสวมเครื่องแบบตำรวจเป็นศัตรู
เกลียดภารกิจ ควบคุมฝูงชน ทำร้ายประชาชนที่ออกมาชุมนุมเรียกร้องสิทธิตามความคิดของเด็กยุคปัจจุบัน
ถึงขั้นไม่มองหน้ากันในครอบครัวก็มี
“พ่อทำตามหน้าที่” เจ้าตัวพยายามอธิบายและแจงเหตุผล
น่าเสียดายแรงบันดาลใจวัยเด็กของหลายคนหายไป ท่ามกลาง “โลกดิจิทัล” พัดพาความเปลี่ยนแปลงทางความคิด แถมเจอไข้พิษโควิดระบาดซ้ำเติมเข้ามาอีก
“วันเด็ก” วันสุขวัยเด็กยังคงก้มหน้าอยู่กับจอโทรศัพท์มือถือ ไม่ฮือ ไม่อือ รบเร้าให้พ่อแม่พาไปเที่ยววันเด็ก
ตำรวจต้องปรับตัวพร้อมกันกลับมาสร้างแรงกระตุ้นแรงบันดาลใจของพวกเขา
“โตขึ้นหนูอยากเป็นอะไร”
“ผมอยากเป็นตำรวจครับ”
คำนี้จะกลายเป็นความภาคภูมิใจแก่อาชีพตำรวจทุกคน
แม้โลกความจริงในยุทธจักรสีกากีไม่ได้สวยงามแบบที่วาดฝัน