“แม่บ้านตำรวจต้องสวย ไม่ได้หมายถึงว่า ต้องเลิศ มานั่งแต่งหน้า แต่ต้องดูดี”  

าวสวยทายาทอดีตปลัดอำเภอเมืองกาญจนบุรี

คุณดิว-ปฐพร สิงหเมธา ภรรยา พ.ต.ท.ชนะภัย วิเชียรเกื้อ สารวัตรสถานีตำรวจทางหลวง 4 กองกำกับการ 5 (เชียงใหม่) กองบังคับการตำรวจทางหลวง นักเรียนนายร้อยรุ่น 57 แม่บ้านคนเก่งที่ประคับประคองครอบครัวผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ได้อย่างดีเยี่ยม

จบการศึกษาคณะนิเทศศาสตร์ เอกประชาสัมพันธ์ มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร  ฝันอยากเป็นผู้ประกาศข่าว ตอนเรียนมหาวิทยาลัยได้มีโอกาสไปเป็นพิธีกรทำข่าวเคเบิลทีวีท้องถิ่น ระหว่างนั้นกลับบ้านเมืองกาญจนบุรีเหมือนโชคชะตาพามาเจอคู่ชีวิต

ทั้งสองรู้จักกันเมื่อบ้านฝ่ายหญิงโดนขโมยยกเค้า เธอพาแม่ไปแจ้งความโรงพัก ฝ่ายชายเพิ่งจบจากรั้วสามพรานเป็นผู้หมวดสอบสวนไฟแรงคอยดูแลคดีให้เป็นอย่างดี ทั้งที่ตัวเองไม่ได้เข้าเวรรับแจ้งความในผลัดนั้น

“ปกติไม่ค่อยคลุกคลีกับตำรวจ ไม่ถึงกับไม่ชอบ แต่ไม่เคยคิดเลยว่าจะมามีแฟนเป็นตำรวจ เพราะจริงๆ ความฝัน คือ อยากเป็นผู้ประกาศข่าวกับแอร์โฮสเตส 2 ทาง ไม่เคยพูดถึงงานราชการ แต่ไปๆ มาๆ เอียงมาทางนี้เลย ทั้งทำงานและได้แฟน” คุณดิวลำดับเรื่องราวรัก เธอว่า จากแค่ของหายก็ต่อยอด เขาไปดูที่เกิดเหตุในบ้านให้ ตามคดีอยู่พักหนึ่ง พอดีบ้านเปิดเป็นร้านอาหาร เขาก็มาอุดหนุน ไปหาบ่อยๆ มันเป็นจังหวะ เขาเลยเข้ามาคุย ไปมาหาสู่ที่บ้าน ด้วยความที่มาดูคดีจึงเข้านอกออกในได้ พ่อแม่ก็ไม่ได้ว่าอะไร

เธอยอมรับว่า ตอนนั้นคนจีบเยอะ เป็นดาว แต่ไม่รู้เหมือนกันว่า ทำไมเลือกเขา รู้จักอยู่ประมาณ 3 เดือนจึงคบเป็นแฟน เพราะเขามาสม่ำเสมอ อาจเพราะพรหมลิขิต ทั้งที่ตอนหลังห่างกันไปพักใหญ่ ตอนเราได้งานทำที่กรุงเทพฯ เลยห่างกันอยู่ปีกว่า เราก็คิดแต่เรื่องงานมากกว่า ไม่ได้ติดต่อกัน และเหมือนว่า เขาก็ฮอตเป็นนายร้อยจบใหม่ มีสาวๆ มารุม คงลืมๆ เรา เพราะทำงานเลิกดึกกว่าจะถึงบ้าน พอวันหยุดก็พักผ่อน ไม่ค่อยมีเวลา สมัยนั้นไม่ได้ใช้โซเชียลเน็ตเวิร์กขนาด โทรศัพท์กันแต่มันไม่สะดวก เลยห่างกันไป

ต่อมาเธอได้งานเป็นนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์ สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทยช่อง 11 ชะตาฟ้าลิขิตให้กลับไปประจำเมืองกาญจนบุรีอีกครั้ง วันหนึ่งมีลูกน้องผู้อำนวยการโดนงัดห้อง ฝ่ายชายเป็นร้อยเวรพอดี “ดิวนั่งทำงานอยู่หน้าห้องผู้อำนวยการ เขาเดินผ่านก็ตกใจ มาเจอกัน เพราะตอนนั้นเลิกกันไปแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ไฟที่กำลังมอดกลับมาจุดติดสานสัมพันธ์กันมาเรื่อย จนดิวเปลี่ยนงานใหม่ไปสังกัดกระทรวงพลังงาน ทำหน้าที่ดูแลงงานประชาสัมพันธ์อยู่โรงไฟฟ้าที่กาญจนบุรี สุดท้ายลงเอยด้วยการแต่งงานกัน” หญิงสาวยิ้มถึงชีวิตรัก

ปีเดียวทั้งคู่ได้พยานรักเป็นลูกสาว 2 คน คือ น้องเนเน่-นาราภัทร วิเชียรเกื้อ และน้องเนญ่า-ณฐพร วิเชียรเกื้อ  สัมผัสกับการเปลี่ยนแปลงชีวิตครั้งยิ่งใหญ่ที่ ภรรยาสารวัตรตำรวจทางหลวงเล่าว่า พอได้แต่งงาน ชีวิตเปลี่ยนเลย บอกตามตรงว่า ต้องอาศัยธรรมะเข้าข่มจนอยู่ถึงทุกวันนี้ คุยกันรู้เรื่อง มันผ่านอะไรมาเยอะ ไม่คิดว่าจะมาถึงตรงนี้  ตอนแต่งงานยิ่งรู้อาชีพตำรวจเยอะขึ้น โดยเฉพาะเวลาที่สามีต้องทำงาน เป็นอะไรที่เหนื่อยมาก เหมือนเราเป็นกองเชียร์ เพราะคนของเราเป็นคนซื่อ ใจสะอาด มองโลกในแง่ดี แต่เรามองโลกตามความเป็นจริงและจะขัดแย้งกันเรื่องนี้

ไม่นานเขาบอกให้เธอลาออก เจ้าตัวตัดสินใจเกือบปีพอท้องเลยลาออก แต่มีเหตุผลหนักแน่นว่า ถ้าไม่ช่วยสามี มาอยู่เป็นกองเชียร์ สามีคงอยู่วงการตำรวจยาก ต้องกระตุกเขา เพราะเขาเป็นคนโลกสวยต้องเป็นแม่บ้านให้เขา ไม่ใช่คุณนายอย่างที่ใครว่ากัน ทำเองทุกอย่างให้สามีและลูก เขาเองก็ไม่ได้มีเงินให้เรา แต่ถามว่าพอใจไหม ก็พอใจ เขามีหลัก ก่อนหน้านี้เราเคยทะเลาะกัน ไม่เข้าใจกัน เราเป็นคนที่ดูแลตัวเองมาตลอด แต่เขาจบจากรั้วโรงเรียนนายร้อย เราทำงานมีประสบการณ์ชีวิตอีกอย่าง เขาก็มีอีกอย่าง จึงขัดความรู้สึกเรา

“เคยทะเลาะกันบ่อยมาก เหมือนว่า ดิวต้องปรับ เราต้องทำอะไรเป๊ะๆ แต่เขาใจเย็น เย็นมากๆ ตอนหลังดิวก็ปรับ เพราะเขามาศึกษาเรื่องพุทธวจน ดิวใจร้อน แต่ว่าทำอะไรละเอียด แต่บางทีใจร้อนอาจมีผลเสียในด้านแบบว่า ทำอะไรตะกุกตะกัก อาจจะโผงผาง เขาก็เอาดิวไปบวช ตอนนั้นท้องอยู่ 5 เดือน ฮอร์โมนก็พุ่งพล่านอีก มีคนท้องบวช แต่ไม่มีใครไปรอดเลยมันเคร่งมากแล้วไม่ไหว พอวันสุดท้ายที่สำเร็จ ดิวเหลืออยู่คนเดียว ได้ธรรมะตรงนี้ ทำให้เย็นมันเย็นนะ มันซึ้งในรสพระธรรม กลับมาก็จับหลักพุทธวจน นำมาใช้ในชีวิตประจำวัน”

คุณดิวรับว่า ตอนออกจากงานใหม่ ๆ ดิ้นรนจะหางานตลอดหาข้อมูลเกี่ยวกับแอร์โฮสเตส เราอยากทำงาน ด้วยความที่เราไม่ชอบอยู่เฉย ไม่คิดว่าจะเป็นแม่บ้านมานั่งซักผ้า ดูแลลูก ชีวิตเรา คือ ต้องหางานทำไปเรื่อยๆ เขาก็เอาพุทธวจนมาสอนว่า หน้าที่ของภรรยา คืออะไร หน้าที่ภรรยา คือ อยู่ดูแลบ้าน ดูแลลูก สามี เก็บทรัพย์ แล้วก็ดูแลญาติข้างเคียงอย่าให้ขาดตกบกพร่อง เขาก็จะมาเป็นข้อๆ เอาธรรมะเข้าข่ม แรก ๆ  เราก็ยังมานั่งเสียดาย เพราะยังมีไฟ ชอบงานนักข่าว แอร์โฮสเตส งานประชาสัมพันธ์ ชอบสังคม พูดคุย ด้วยความที่เพื่อนเยอะ

“แต่เขาจะสอนว่า แม่บ้านตำรวจต้องสวย ไม่ได้หมายถึงว่า ต้องเลิศ มานั่งแต่งหน้า แต่ต้องดูดี ทำอะไรก็ได้ให้สามีเราภูมิใจ ส่งเสริมสามี เขาเป็นตำรวจมีหน้ามีตา การที่เราดูดี เราก็เชิดหน้าชูตาเขา ไม่ใช่โทรมอยู่บ้าน อยู่บ้านจะยังไง แต่พอออกนอกบ้านต้องดูดี ขณะที่ตอนนั้นดิวจะมองว่า ไม่มีอะไรดีในตัวซักอย่างเลยพยายามทำงาน หางานทำ เพราะคิดว่า จะต้องขอเงินเขาเหรอมันก็ไม่ใช่ พ่อแม่ดิวก็สอนมามองว่า เราไม่มีค่าเหรอ” คู่ทุกข์นายตำรวจหนุ่มระบาย

“สุดท้ายพยายามบอกตัวเองว่า เราก็มีค่านะ เราก็ยังสวย คือ ดิวเห็นครอบครัวตำรวจที่มีปัญหากันก็เรื่องเมียน้อย เรื่องนอกใจ คือ ถ้าเมียทำงานในบ้านได้ดี ได้ครบถ้วนทุกอย่าง หน้าตาสดใส มีมารยา จริตจะก้าน มีสีสัน ดูดี ดูแล้วเมียเราน่ากอด ก็ผู้ชาย ดิวเจอมาเยอะนะเรื่องนี้ เราต้องดูตัวเราก่อนว่าเราบกพร่องตรงไหน เราดูไม่ดีตรงไหน ขาดตกบกพร่องอย่างไร จากโทรมก็ให้เป็นสวย มีมารยา ป้อนข้าวป้อนน้ำ ดูแลบ้านคิดว่า ผู้ชายคงไม่ไปไหน”

คุณดิวสีหน้าจริงจังบอกว่า ตอนแรกไม่ภูมิใจเลยว่า เป็นแม่บ้าน แต่พอได้มาทำก็รู้สึกว่า ลูก สามี ขาดเราไม่ได้ เรามีค่ามาก ออกจากงานมา 3 ปีกว่าแล้ว ตอนนี้ปรับได้แล้ว แต่กว่าจะปรับได้ใช้เวลา 2 ปีถึงเข้ามาสู่โหมดแม่บ้าน เพราะต้องเปลี่ยนจากคนทำงาน มีปาร์ตี้ กินข้าวกับเพื่อนทุกเย็น การเป็นแม่บ้าน ถ้าเราไม่ได้ทำงานบ้าน ไม่ได้ซักเสื้อผ้าให้สามี หรือให้ลูกเลย ไม่เคยทำกับข้าวให้สามี ให้ลูกกินเลย คิดว่ายังไม่ใช่ ไม่ครบ เรามีโอกาสได้ทำทุกอย่าง ดูแลทุกอย่างจริงๆ มันมีค่ามาก ต้องตื่นเช้า นอนดึก เพื่อบ้านของเรา มีจุดเปลี่ยนชีวิตตรงเอาหลักธรรมะมาสอน หันมามองงานแม่บ้านของเราในทางบวกก็ได้ชื่อว่าเป็นแม่บ้านจริงๆ

ประคับประคองครอบครัวผ่านสู่จุดที่อบอุ่น คุณดิวฝากหลักคิดไว้ว่า ชีวิตคู่มันต้องปรับ เวลาเราเครียดอยากไปทำงาน เขาจะแย้งว่า อยากทำงานแล้วใครดูแลลูก ต่อให้มีเงิน 10 ล้านบาทมากองแล้วลูกเกกมะเหรกเกเร ยอมได้ไหม เป็นหลักของสามีที่บอกเรา ให้ทำหน้าที่เลยรู้สึกว่า งานแม่บ้านนี่แหละที่สุดยอดแล้ว ข้างนอกอาจได้เงิน แต่ข้างในเราได้ลูก เราได้ครอบครัวจะไปด้วยกันได้ เป็นฐานที่มั่นคง ไม่จำเป็นต้องรวย แต่ขอให้มีความสุข เคยคิดเรื่องแข่งกันทำงาน แข่งกันเก็บเงิน ก่อนมาคิดเรื่องลูก เพราะลูกต้องอยู่กับพ่อแม่ ไม่มีใครเลี้ยงลูกได้ดีเท่าพ่อแม่

 

 

RELATED ARTICLES