ก้าวที่ 4 สนามข่าวแรก

านต้อนรับน้องใหม่ในมวลหมู่นกน้อยไร่ส้ม มหาวิทยาลัยกรุงเทพที่กำลังจะจัดขึ้นภายในหาดเพชรรีสอร์ต ตำบลปึกเตียน อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี มีอันสะดุดกะทันหัน ทั้งที่เหลือเวลาอีกเพียงแค่ 2 วันจะถึงกำหนดการของงานแล้ว

วีระยุทธ ปทุมเจริญวัฒนา ประธานคณะมีสีหน้าเคร่งเครียดมากกว่าใคร เขาจัดแจงเรียกประชุมคณะกรรมการในบ่ายวันที่ทราบข่าวชายลึกลับขู่จะวางระเบิดสถานที่จัดงานรับน้องในวันเสาร์ที่จะถึงนี้

ผมเป็นทีมเซอร์เวย์เตรียมเดินทางไปสำรวจสถานที่ตอนเช้าวันนั้นอยู่แล้ว พอรู้ภารกิจถูกยกเลิกและทราบเหตุผลที่เกิดขึ้นก็พยายามรอฟังคำตอบด้วยใจจดใจจ่อ พร้อมกับสงสัยว่า ใครอยู่เบื้องหลังป่วนงานของพวกเรา

“มันถึงเวลาแล้วที่พวกเราต้องตัดสินใจ” วีระยุทธบอกกับที่ประชุม

ประธานคณะหนุ่มแสดงความเห็นว่า จะไม่ใส่ใจกับโทรศัพท์ลึกลับที่เข้ามาก่อกวนแล้วจัดงานไปตามปกติก็ได้ หรือจะเปลี่ยนสถานที่จัดงานเพื่อความปลอดภัยของน้อง แต่ถ้าจะยกเลิก หรือเลื่อนคงเป็นไปไม่ได้ เพราะทุกอย่างเตรียมการไว้หมดแล้ว

ในที่ประชุมหลายคนเสียงแตก

“แล้วเราจะเปลี่ยนไปที่ไหนตอนนี้ มันจะทันหรือยุทธ”

“ผมให้พวกเช็กที่จอมเทียนพัทยาอยู่” นักศึกษาผู้กุมอำนาจทำกิจกรรมของคณะแจง

“เอาอย่างนั้นเลยหรือ”

“ก็ต้องลองดูครับ”

วันอันแสนวุ่นวายท่ามกลางความตึงเครียดในมหาวิทยาลัย เล่นเอารุ่นพี่หลายคนชักสีหน้าบอกบุญไม่รับ ผมพยายามหาข่าวถึงเบื้องหน้าเบื้องหลังของชนวนเหตุครั้งนี้จากรุ่นพี่ผู้สัดทัดกรณีความ หลายคนต่างวิเคราะห์เหตุการณ์กันน้ำลายแตกฟองหาหลักฐานมายืนยันความชัดเจนเป็นแก่นแท้ของเรื่องไม่ได้

บ้างก็เชื่อเป็นฝีมือของกลุ่มรีสอร์ตแห่งหนึ่งบนชายหาดปึกเตียนที่รุ่นพี่คณะไปติดต่อก่อนหน้าแล้วยกเลิกเปลี่ยนมาจัดบริเวณหาดเพชรที่อยู่ไม่ไกลกันมาแทน อาจทำให้เกิดความไม่พอใจในฝ่ายที่สูญเสียรายได้และผลประโยชน์

“มันจะเล่นกันแรงขนาดนั้นเลยหรือ” ผมถาม

“ไม่รู้เหมือนกัน อิทธิพลเมืองเพชรบุรีก็รู้กันอยู่” เจ้าของไอเดียเทน้ำหนัก

“เกินไปหรือเปล่าวะ แค่นักศึกษาไปรับน้อง แม่งมาขู่กันแบบนี้” ผมไม่ฟันธงแล้วเปิดประเด็นใหม่

“หรือใครในคณะจะล่อกันเอง”

รุ่นพี่คนหนึ่งหัวเราะ “ก็เป็นไปได้ แต่เราก็ไม่มีหลักฐาน”

“พี่หมายถึงใคร”

“กลุ่มลูกเจี๊ยบ” เขาบอก

ความจริงแล้ว ผมเข้ากับรุ่นพี่ได้ทุกกลุ่มด้วยความที่เคยเป็นนักกิจกรรมมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมรู้ลึกซึ้งถึงหัวอกอุดมการณ์คนทำงานกิจกรรม บางทีความเป็นตัวของตัวเองสูงก็ทำงานกับคนส่วนใหญ่ไม่ได้

“เขาอยากทำ แต่อุดมการณ์เราต่างกัน พวกเขาอาจไม่พอใจก็ได้”

“แล้วเราจะทำยังไงกันดีล่ะ”ผมเริ่มเบื่อ

“ไม่ต้องทำอะไรกันทั้งนั้น ไปกันได้แล้ว” สุดแดน รอตภัย รุ่นพี่ที่เรียนหล่นมาอยู่รุ่นเดียวกับผมโผล่เดินมาตัดบท

“เก็บข้าวของขึ้นรถ เราจะไปจอมเทียน” นักกิจกรรมมากประสบการณ์จี้

ทีมเซอร์เวย์ที่มีผมรวมอยู่ด้วยนั่งรถบรรทุก 6 ล้อออกจากมหาวิทยาลัยกรุงเทพ กล้วยน้ำไท ตอนบ่ายแก่ ๆ  มุ่งหน้าสู่ชายทะเลจอมเทียน พัทยา ชลบุรี ไปถึงรีสอร์ตสถานที่แห่งใหม่ที่จะเตรียมการรับน้องอีก 2 วันข้างหน้าเอาเกือบ 2 ทุ่ม

ผมมารู้ตอนระหว่างเดินทางว่า ที่ประชุมคณะไม่เลือกจะเสี่ยงรั้นเดินไปหาดเพชร แม้จะไม่กลัวคำขู่ แต่เพื่อความสบายใจของอาจารย์ หากเกิดปัญหาขึ้นมาจริง ๆ แล้วจะยุ่งกันใหญ่ พวกเขาถึงเลือกเปลี่ยนสถานที่เบนเข็มทิศมาทะเลภาคตะวันออกแทน

“ชะตาหักเหสู่ทะเลจอมเทียน” ทีมงานวีระยุทธเปลี่ยนชื่องานรับน้องใหม่ทันควัน

ผมใช้เวลาตลอด 2 วันในการเตรียมงานรอคณะใหญ่เดินทางมา เริ่มตั้งแต่ทำเวที สำรวจสถานที่ ทาสี แปะป้าย ชนิดแทบไม่ได้หลับไม่ได้นอน เพราะรู้สึกสนุกกับมัน เสมือนย้อนไปในยุคทำเชียร์และแปรอักษรให้กับโรงเรียนเทพศิรินทร์เพื่อแสดงในพิธีปิดการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ครั้งที่ 13 ณ สนามศุภชลาชัย

ทำกันแบบไฟลนก้นจนวินาทีสุดท้าย

ถึงห้วงเวลารับน้องใหม่จริง ๆ พวกผมทีมเซอร์เวย์กลับหมดสภาพขอนอนหลับสนิทไม่สนอะไรทั้งนั้นเพื่อเก็บแรงไว้ตอนอาหารมื้อเย็นดีกว่า ยิ่งสำหรับผมถือว่า ภารกิจที่ได้รับมอบหมายเสร็จสิ้นแล้ว

งานพิธีตอนเย็นสุดซาบซึ้งเมื่อเพลงประจำคณะก้องกังวานในยามค่ำคืน

“พวกเราสื่อสาร…ขอสาบานจากใจ ไม่ว่าอยู่หนใด มีหัวใจน้ำเงินแดง สีแดงเป็นเลือดเนื้อ นั้นอยู่เหนือสิ่งใด น้ำหมึกอาชีพแห่งใจ นั้นมอบให้สีน้ำเงิน พวกเราสื่อสาร…ขอกล่าวขานจากใจ ชัยพฤกษ์เป็นร่มชัย ที่รวมใจพวกเรา สักวันหนึ่งหนา ยามเมื่อพรากจากจร ขอเพื่อนจงกลับคลอนยามอาวรณ์ถึงกัน ถึงกัน… ถึงกัน”

ผมฟังเพลงพวกเราสื่อสารแล้วแทบจะน้ำตาคลอ รอจนบรรดาน้องใหม่จุดธูปเสร็จก็กวาดเอาก้านธูปไปปักริมต้นไม้ใหญ่ในมุมมืดหลังเวที ไม่ได้อยู่ผูกคอมือกับน้องสักคน ผมถึงแทบไม่รู้จักรุ่นน้อง แต่ดันมารู้จักผูกพันกับรุ่นพี่ที่ทำกิจกรรมด้วยกันมามากหน้าหลายตา

“สนใจมาทำบอร์ดข่าวด้วยกันไหม” สุดแดนเอ่ยปากชวน

“บอร์ดข่าวอะไรครับพี่”

“ข้าอยากจะช่วยไอ้ยุทธมัน ทำกิจกรรมต้องมีการประชาสัมพันธ์ให้ชาวโลกได้รู้กันบ้าง เดี๋ยวจะเสียชื่อคณะนิเทศหมด”

“น่าสนครับ แล้วผมต้องทำอะไรบ้าง”

สุดแดนอธิบายวัตถุประสงค์เพิ่มเติม คือ เขาต้องการสร้างฐานกลุ่มนักศึกษาน้องใหม่ที่มีใจอยากเรียนวารสารมาลงสนามข่าวแห่งนี้ เวลาคณะมีกิจกรรมอะไรก็ไปถ่ายรูปเอารายละเอียดมาติดเป็นบอร์ดข่าวที่จะตั้งอยู่วิทยาลัยเขตรังสิต

ภายใต้ชื่อ CAP ที่ย่อมาจาก “ Communication Arts Press”

ผมฟังแล้วกระเหี้ยนกระหือรือขอโดดร่วมลงสนามด้วยคน เลือกหาข้อมูลเกี่ยวกับมุมข่าวกีฬามาตีแผ่ผลงานของกลุ่มนกน้อยในไร่ส้มให้คณะอื่นได้อิจฉา ขอเปิดคอลัมน์ส่วนตัว “ขอบสนาม” ใช้นามปากกา “มิสเตอร์เพรส” ไว้ซุบซิบคนกีฬาในรั้วเพชรชัยพฤกษ์ที่ยุคนั้นค่อนข้างบูมมาก มีนักกีฬาช้างเผือกนานาประเภทเลือกเข้ามาเรียน และทำชื่อเสียงให้มหาวิทยาลัยกรุงเทพโด่งดังจำนวนไม่น้อย

ประจวบเหมาะกับเป็นช่วงกีฬามหาวิทยาลัยพอดี ผมเลยมีจังหวะลงไปเก็บรายละเอียดความเคลื่อนไหวในการเตรียมทีมนักกีฬาของมหาวิทยาลัยไปในตัวด้วย และจะพยายามเน้นเด็กนิเทศศาสตร์ที่ลงเข้าไปอยู่ในทีม

เป็นยุคทองของทีมฟุตบอลมหาวิทยาลัยที่ไล่ล่ากวาดแชมป์หลายรายการ

ผมถึงมีโอกาสสัมผัสดาวเตะดังที่บางคนโลดแล่นในนามทีมสโมสรโอสถสภาด้วย อาทิ สมชาย ทรัพย์เพิ่ม ศักดิ์ชาย เนตรอาภา นพดล วิจารณรงค์ สมเกียรติ ปัสสาจันทร์ ไพโรจน์ บวรรัตนดิลก ศิริศักดิ์ ยอดญาติไทย กฤษดา พงษ์รื่น อิสมาแอล ช่างคิด วีระศักดิ์ เดชประมวลพล ศุภโชค ลาภเจริญ  และสุดดิพล เกิดพุ่ม ที่เพิ่งประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตไปเมื่อต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ไม่เว้นแม้กระทั่งเพื่อนรักอย่างสัญญา อู่ตะเภา ที่เวลานั้นติดเป็นนายทวารกึ่งตัวจริงลงเฝ้าเสาฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทาน ง มาแล้ว มีอาจารย์บุญเลิศ เอี่ยวเจริญ เป็นกุนซือใหญ่ อาจารย์สมหมาย ดอกไม้ คอยคุมหน้างานบริหาร

วันไหนที่ข่าวขึ้นบอร์ด เห็นมีนักศึกษาไปจับกลุ่มยืนมุงอ่านแล้ว ผมรู้สึกภูมิใจพอสมควร และตั้งมั่นในเส้นทางของตัวเองว่า คงจะเลือกเรียนเอกสาขาวารสารศาสตร์ เพื่อหวังเป็นนักข่าวสมบูรณ์แบบ

ฝันสวมวิญญาณนักข่าวกีฬาท่องไปในสนามแข่งขันทั่วโลก

ผมมั่นใจว่า ผมสามารถทำข่าวได้มากกว่าข่าวฟุตบอลเหมือนที่ผมประลองฝีมือประเดิมความสามารถในนามของ CAP ที่ทำให้ผมสัมผัสกีฬารักบี้แบบใจจดใจจ่อเป็นครั้งแรก หลังมหาวิทยาลัยกรุงเทพส่งแข่งรักบี้อุดมศึกษา

ผมตามไปดูจนรู้กฎกติกามารยาท รับรู้รสชาติเกมชิงลูกหนำเลี๊ยบแล้วรู้สึกสนุกตื่นเต้นไม่แพ้เกมลูกหนัง เกาะติดผลการแข่งขันรวมถึงบรรยากาศของเกมมารายงานในบอร์ดข่าวเกือบทุกนัดที่มหาวิทยาลัยกรุงเทพลงชิงชัย

สุดท้ายไม่วายกลายเป็นผู้สื่อรักในบทของผู้สื่อข่าวสมัครเล่นให้เพื่อนสาวที่ทำเสมือนเป็นบรรณาธิการใช้งานไปตามความเคลื่อนไหวของนักรักบี้คนหนึ่งของทีมโรงเรียนนายเรือ

ผมไม่รู้นึกยังไงอาสาเป็นม้าใช้คาบข่าวจากหญิงสาวไปบอกชายหนุ่มลูกนายพลราชนาวีที่โปรดปรานกีฬารักบี้เป็นชีวิตนับตั้งแต่เรียนอยู่วชิราวุธ

“ไม่มีปัญหา เดี๋ยวโต้งจัดการให้” ผมรับปากทั้งที่ยังไม่รู้จะทำได้เปล่า

เย็นวันนั้น ผมเดินทางไปสนามจุฬาลงกรณ์ในเกมรักบี้อุดมศึกษาที่ทีมนายเรือลงคลุกขี้โคลนก่อนหน้ามหาวิทยาลัยกรุงเทพจะลงสนาม หลังจบเกมผมสูดหายใจเรียกความกล้าระบายความตื่นเต้นเดินเข้าไปในหมู่นายเรือหัวเกรียน

ใจผมสั่นระทึก ขาผมเหมือนจะหมดแรง แต่พอนึกถึงคำฝากฝังของเพื่อนสาวอดไม่ได้ที่จะต้องพิสูจน์ตัวเอง

“หลวงหรือเปล่าครับ”

นักรักบี้หนุ่มหล่อยิ้มพยักหน้า

“เอ่อ คือว่า มีคนฝากความคิดถึงมา พูดอะไรกับเขาหน่อย เขาจะได้รู้ว่า ผมไม่ได้โม้” ผมจัดแจงส่งเทปอัดเสียงให้ เจ้าหนุ่มถึงกับเขินหน้าแดงเมื่อผมแจงความต่อก่อนที่เขาจะหยิบเทปลุกเดินขึ้นอัฒจันทร์หายไปพักใหญ่

“เรียบร้อยไหม” ผมถาม

“ครับ ขอบคุณนะครับ” นักเรียนนายเรือยังเต็มไปด้วยรอยยิ้มมิตรภาพ

“ผมต่างหากที่ต้องขอบคุณ ยินดีที่รู้จักนะครับ” ผมโล่งอกเดินฉากออกมา

วันรุ่งขึ้นผมส่งเทปสื่อรักให้เพื่อนสาว เธอตื่นเต้นแก้มแดงเหมือนจะไม่เชื่อว่า ผมทำได้

“ลองเอาไปฟังดูเองล่ะกันนะ”

ผมสบายใจในฐานะม้าใช้กลับบ้านมานั่งฟังเพลงโปรดของพงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง แล้วหัวเราะอยู่คนเดียว

“เจ็บปวดเท่าไร เท่าไหร่เท่ากัน จะไม่แสดงความชอกความช้ำความขื่นขมใจให้ใครรู้ เจ็บปวดเท่าไร เท่าไหร่ก็ทน ถ้าหากเป็นหนทางที่จะทำให้เธอไม่ไป” ท่อนฮุกของเพลงกลืนกินหัวใจสิ้นดี

ตอนหลังผมเพิ่งมารู้ว่า นิยายรักเก่าของเพื่อนสาวกับนักเรียนนายเรือลูกชายนายพลราชนาวี สุดท้ายไม่ได้คุกรุ่นขึ้นในกองถ่านเหมือนที่ผมเต็มใจเติมสุมไฟใส่เข้าไปให้ เมื่อฝ่ายหญิงกลับไปเลือกเด็กรุ่นน้องนักเรียนเหล่าทัพฟ้ามาเป็นคนข้างกายแทน

ผ่านปี 2 เทอมแรกคะแนนสอบเริ่มกระเตื้องขึ้น มีวิชาเขียนข่าวเข้ามาช่วยให้ผมเข้าใจการเรียนในคณะนิเทศศาสตร์ง่ายขึ้น แถมยังได้เรียนวิชาถ่ายภาพเป็นงานที่รักและถนัดอยู่ก่อนหน้าแล้ว ชีวิตวัยเรียนห้วงเวลานั้นถึงน่าสนใจมากกว่าตอนปรับตัวเข้ามาปีแรก

ผมเรียนพื้นฐานการถ่ายรูป ล้างฟิล์ม อัดรูปขาว-ดำ หมกตัวในห้องมืดได้คัมภีร์เล่มเอกติดหัวมาอีกวิชานอกจากการทำข่าว

ทุกอย่างเหมือนไปได้สวย ผมผ่านภาพกีฬามาอย่างสบายด้วยกล้อง Nikon FA ของพ่อ แถมมีโอกาสไปขึ้นเครนรถกระเช้าดับเพลิงถ่ายรูปพระบรมมหาราชวัง และวัดพระแก้วในมุมสูง เพราะผู้พ่อชี้นำ เป็นวันเดียวกับที่ผมได้มีโอกาสถ่ายภาพพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงเสด็จพระราชดำเนินไปยังวัดพระแก้ว

นับเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวด้วยซ้ำที่ผมมีโอกาสบันทึกภาพในหลวงเป็นประวัติศาสตร์ชีวิตตัวเองแบบใกล้ชิดมากที่สุด ภาพความทรงจำเหล่านี้เกิดมาในวัยนักศึกษาที่คงมีน้อยคนได้สัมผัส

จะว่าไปแล้ว ผมควรจะได้คะแนนเต็มในวิชาถ่ายภาพ หากหลักสูตรวิชาถ่ายภาพของอาจารย์ไม่เน้นให้ต้องถ่ายภาพข่าวอาชญากรรมมาส่งทุกคน

“พวกเธอต้องไปกับรถมูลนิธิร่วมกตัญญู ทางคณะได้ประสานไว้หมดแล้ว”

“เอายังไงล่ะทีนี่” ผมนึกในใจ

“เฮ้ย ถ้ามึงไปถ่ายวันไหนกูฝากขอด้วยนะ” สัญญา อู่ตะเภาเพื่อนในกลุ่มชิงออกตัวแรง

“ทำไมวะ” ผมถามเหตุผล

“กูไม่เอาด้วยหรอก กูกลัวผี”

“ไอ้ห่า แล้วกูไม่กลัวหรือไง” ผมคิดแต่ไม่ได้ตอบออกไป บอกมันแค่ว่า ขอดูสถานการณ์ก่อนยังไม่รับปาก

ผมหนีไม่ออกแล้วกับสังเวียนข่าวละเลงเลือดครั้งนี้