“ปัญหาองค์กรตำรวจก็มาจากเรื่องการแต่งตั้ง ความไม่เป็นธรรม”

ดีตนายพลตำรวจมากบารมีเปลี่ยนวิถีชีวิตลงสนามการเมือง แต่ทิ้งเรื่องราวมากมายสมัยสวมเครื่องแบบสีกากี

พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ รับราชการวนเวียนอยู่ในเมืองหลวงกระทั่งไต่บันไดก้าวสู่ตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจนครบาล สะสมประสบการณ์สืบสวนสอบสวนคดีสำคัญมาอย่างโชกโชน เกิดอำเภอวิเศษชัยชาญ จังหวัดอ่างทอง ไม่เคยมีความคิดอยากเป็นตำรวจแม้แต่นิดเดียว

เรียนจบชั้นประถมศึกษาโรงเรียนวัดไผ่วง จังหวัดอ่างทอง จบมัธยมปลายโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา เจ้าตัวเล่าว่า เป็นคนเรียนเก่ง สอบได้เลขตัวเดียวมาตลอด ตอนมัธยม 7 อยู่ห้องคิงส์ รุ่นเดียวกับหมอปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ เกษตร โรจนนิล ตอนนั้นอยากเข้าแพทย์ ปรากฏว่า เพื่อนอีกห้องที่เดินกลับบ้านด้วยกันพ่อเป็นตำรวจ สนิทสนมกันเลยชวนไปสอบ ปีนั้นโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้าเปิดเตรียมนายร้อยปีแรก มีเหล่าตำรวจด้วย

“ผมบอกมันว่าไม่ไป กูอยากเรียนหมอ แต่มันก็ยื้อเลยต้องไป ใจจริงคิดว่าไปสอบเล่น ๆ ติดก็ติด ไม่ติดก็ไม่เป็นไร แต่ต้องสอบพละด้วย ผมเป็นคนไม่ชอบ ไม่ได้ออกกำลังกายเลย เช้า ๆ เพื่อนตื่นออกมาชวนผมไปซ้อมวิ่ง ด้วยความเกรงใจเพื่อน รักเพื่อน พอไปสอบ ดันติด ได้ที่ 8 หรือ 9 นี่แหละ จากจำนวน 300 คน ไปสอบสัมภาษณ์ ตรวจโรค สอบพละ เขาให้วิ่ง 1,000 เมตร ที่สนามโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า ตอนนั้นอยู่ที่หน้าสนามมวยราชดำเนิน ไปวิ่ง ไม่ไหว ผมวิ่งไม่ถึง แล้วให้ดึงข้อ ผมก็ดึงได้สองที เขาให้ทำอะไร ผมก็ทำไม่ได้ แต่เขาไม่ได้ถือว่าได้หรือตก นับเป็นคะแนน ข้อเขียนดีเลยผ่าน”

ครั้งนั้น พล.ต.ท.วิโรจน์ ถูกพ่อเพื่อนรักฝังหัวว่า เป็นตำรวจดีแล้ว จบออกมาไม่ต้องวิ่งหางานทำ ลังเลงพักใหญ่ ไปบอกครูที่เตรียมอุดมศึกษาเพื่อขอลาออก กลับถูกตอกหน้าว่า “โง่หรือเปล่า เรียนอยู่ห้องคิงส์ ไปต่อแพทย์ ต่ออะไรก็ได้ จะโง่ไปเป็นทหาร ตำรวจอะไรกัน” แต่เขาก็ยังยืนกรานขอลาออกจนได้ เข้าไปเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้ารุ่น 5 พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ อธิบดีกรมตำรวจสมัยนั้นต้องการนายร้อยตำรวจจบปริญญาวิทยาศาสตรบัณฑิตไปรองรับกองพิสูจน์หลักฐานที่จะตั้งขึ้นใหม่เลยฝากเรียนที่นายร้อยพระจุลจอมเกล้าต่อเพราะมีหลักสูตรวิทยาศาสตร์เพิ่ม

ทำไปทำมาเกิดการปฏิวัติ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ยึดอำนาจ อธิบดีเผ่า ศรียานนท์ ต้องลี้ภัยไปสวิตเซอร์แลนด์ ทำท่าจะสลายรัฐตำรวจลอยแพนักเรียนนายร้อยเหล่าตำรวจ พล.ต.อ.ไสว ไสวแสนยากร เป็นอธิบดีกรมตำรวจแทนขอร้องจอมพลผ้าขาวม้าแดง เหลือโควต้าเหล่าตำรวจแค่ 30 คน มีชื่อ “วิโรจน์” อยู่ในลอตประวัติศาสตร์จำนวนนั้นด้วย บันทึกให้เขาเป็น “เปาอินทร์” คนแรกของตระกูลที่สวมเครื่องแบบผู้พิทักษ์สันติราษฎร์

อบรมที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจอีก 8 เดือน พล.ต.ท.วิโรจน์บอกว่า บรรจุลงเป็นรองสารวัตรสืบสวนสอบสวน สถานีตำรวจนครบาลพลับพลาไชยเขต 1 รับงานสอบสวน หัวยุ่งเลย เพราะเราไม่เคยเรียนกฎหมายเลย เรียนมาด้านวิทยาศาตร์ ด้านไฟฟ้า คำนวณ อะไรพวกนี้ แต่บังเอิญเราได้ครูดี รุ่นพี่ที่เป็นนายตำรวจมาสอนให้ ตอนนั้นต้องไปหาอัยการ ไปหาศาล ไปขอความรู้ฎีกาตัวอย่าง คำชี้ขาดวินิจฉัยของอัยการ ของอาจารย์อะไรต่ออะไร เอามาอ่านหมด เรียนรู้ด้วยตัวเอง อะไรไม่รู้ไม่เข้าใจ ก็ต้องไปเข้าพบศาล อัยการบ้าง ท่านก็สอนให้เยอะ ถึงได้ความรู้ แล้วผู้หลักผู้ใหญ่ ที่เป็นงานแล้วเก่งหน่อย ก็ต้องคอยเข้าไปหา ท่านก็ดี ท่านก็สอน

อยู่พลับพลาไชยหลายปีถึงขึ้นเป็นสารวัตรสอบสวน สถานีตำรวจนครบาลปทุมวันราว 9 ปี เขาเริ่มคล่องทำงานสอบสวนผ่านคดีสารพัด ผู้หลักผู้ใหญ่เรียกใช้ไปเป็นคณะพนักงานสอบสวน “มนต์ชัย พันธุ์คงชื่น” ขณะนั้นเป็นผู้บังคับการตำรวจนครบาลพระนครเหนือ นายตำรวจมือปราบและสืบสวนสอบสวนเริ่มเห็นแววและเรียกไปใช้งานเฉพาะกิจเป็นประจำ มีส่วนทำให้เขาเจริญก้าวหน้าขึ้นนั่งเก้าอี้สารวัตรใหญ่ สถานีตำรวจนครบาลสำเหร่

“ท่านมนต์ชัย เป็นผู้บัญชาการตำรวจนครบาลแล้ว บอกว่า โรงพักสำเหร่มีปัญหามาก สารวัตรใหญ่คนเก่าดื่มแต่เหล้าเมาประจำ ไม่มีผู้ต้องหาในห้องขังสักคนเดียว ก่อนหน้ามีคนหนึ่งก็ดันแหกห้องขังหนีไปอีก ท่านเลยบอกให้ผมลงไปแก้ปัญหา ไปทำให้ดีหน่อยเถอะ ผู้ร้ายเต็มบ้านเต็มเมืองไปหมดเลย ย่านดาวคะนอง สำเหร่ เส้นไปวงเวียนใหญ่ วิ่งอยู่แถวนั้นแหละ ทุกวันทุกคืน โจรพวกนี้ปล้นเสร็จก็วิ่งเข้าไปแถวศาลเจ้าแซ่ซิ้ม โกวบ๊อ ไปจัดการทีเถอะ ไปเอาให้อยู่ คนร้องเรียนมาเยอะแยะ”

พล.ต.ท.วิโรจน์เล่าต่อว่า ไปเป็นสารวัตรใหญ่ ปราบปรามเอาอยู่หมด ผู้ต้องหาเต็มห้องขังเลย ตอนนั้นจับข้อหาอันธพาลได้ด้วย พอท่านมนต์ชัยไปตรวจโรงพัก ท่านชมเชยการทำงาน มีส่วนทำให้ได้ย้ายเป็นสารวัตรใหญ่ สถานีตำรวจนครบาลพญาไท เป็นได้ 2 ปี ขึ้นรองผู้กำกับการนครบาล 4 รองผู้กำกับการนครบาล 3 ผู้กำกับการนครบาล 9 เป็นรองผู้บังคับการตำรวจนครบาลพระนครใต้ ช่วยงานคดีสำคัญกับท่านมนต์ชัยมาตลอด

กระนั้นก็ตาม อดีตนายตำรวจฝีมือดีมีผลงานเด่น ได้นายเกื้อหนุนทำงานนครบาลมาตลอด ยังไม่วายต้องหลีกเส้นทางไปขึ้น “นายพล” เป็นผู้บังคับการประจำกองบัญชาการตำรวจชายแดน ก่อนจะกลับมาเป็นผู้บังคับการตำรวจนครบาลพระนครเหนือ เป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจนครบาล รองผู้บัญชาการตำรวจ และผงาดนั่งเก้าอี้ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เมื่อปี 2533

เพียงปีเดียว เหตุการณ์บ้านเมืองพลิกผัน คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติประกาศยึดอำนาจรัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ นายกรัฐมนตรี เพื่อนร่วมรุ่นนายร้อยพระจุลจอมเกล้า ตั้งแต่ สุจินดา คราประยูร เกษตร โรจนนิล อิสรพงศ์ หนุนภักดี ต่างไปนั่งบริหารประเทศเลยชวนเขาร่วมวงครั้งนั้นด้วยกัน “ ตุ๋ย-อิสรพงศ์ มาบอกว่า ไอ้ห่า มึงจะไม่มาช่วยเพื่อนหรือ เพื่อนเขาเสียสละ สุมันเป็นนายกฯ ชวนให้ผมไปเป็นรัฐมนตรีช่วยมหาดไทย เพื่อดูแลตำรวจ ทั้งที่ไม่เคยคิดเล่นการเมือง คิดว่าช่วยเพื่อนเท่านั้น ตัดสินใจทิ้งเก้าอี้ผู้บัญชาการตรำวจนครบาล แม้อายุราชการเหลืออีก 2 ปี”

“มันเหมือนตกกระไดพลอยโจน พอเกิดวิกฤติพฤษภาเลือดปีถัดมา ผมก็กลับตำรวจไม่ได้แล้ว ถ้ากลับคงเอาผมไปเข้ากรุประจำ เลยเลือกเดินหน้าต่อ บังเอิญพี่น้องที่บ้านวิเศษชัยชาญชวนลงการเมือง จึงเริ่มเล่นการเมืองนับแต่นั้นมา” อดีตผู้บัญชาการตำรวจนครบาลพลิกผันชีวิตสู่เส้นทางนักการเมืองรำพันความหลัง เขาประเดิมสังกัดพรรคประชากรไทย เป็นผู้แทนจังหวัดอ่างทอง แล้วย้ายมาพรรคชาติไทย ก่อนเข้ารังพรรคไทยรักไทย จนปัจจุบันรักษาการหัวหน้าพรรคเพื่อไทย

ประสบการณ์การทำงานสมัยอยู่ในวงการตำรวจ เจ้าตัวสาบานเลยว่า ไม่เคยเสียเงินให้ผู้ใหญ่ท่านไหนแม้แต่บาทเดียว ตำแหน่งแต่ละตำแหน่ง ตั้งแต่เป็นรองสารวัตร จนเป็นสารวัตร หรือเป็นอะไรต่ออะไร ไม่เคยเสียเงินให้ใคร “แล้วผู้ใหญ่คนไหนก็ไม่เคยเรียกสตางค์จากผมแม้แต่คนเดียว ทำให้ด้วยคุณธรรม มีเมตตาธรรม มีความยุติธรรม มีแต่ว่า คุณไปทำได้ไหม เวลานี้มันมีปัญหา ให้คุณไปแก้ปัญหาให้ได้ มันก็มีแต่อย่างนี้ ไม่เคยมีให้ไปเก็บตังค์ แม้แต่ ตอนผมเป็นผู้บัญชาการตำรวจนครบาลมีโอกาสแต่งตั้งครั้งใหญ่ๆ 2 ครั้ง อาศัยที่ผมเคยเป็นรองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ออกตรวจท้องที่ทุกคืน ไปโรงพักทุกคืน เร่งรัดงานสอบสวน มีโอกาสได้พบ รองสารวัตร สารวัตร สารวัตรใหญ่ ทุกคน”

“ผมก็จะเห็นหมดว่าใครฝีมือแค่ไหน ใครขยัน ใครเก่ง ไม่เก่ง ใครเฉื่อยแฉะ ผมรู้หมด พอผมเป็นผู้บัญชาการ ไม่ต้องมาโกหกเลย คนไหนเป็นไงไม่ต้องมาบอก ผมรู้จัก เวลาผมแต่งตั้ง ผมไม่ผิดตัวเลย เรารู้ว่าไอ้นี่ฝีมือแค่ไหน ใครทำงาน ไม่ทำงาน เวลาเจอผู้หลักผู้ใหญ่ที่กรม บางทีรัฐมนตรีมหาดไทย โทรศัพท์มาฝากให้ดูแลคนนี้หน่อยนะ ส่งมาเป็นแถวเลย ผมก็รู้ทั้งนั้นว่า ใครบ้าง คนที่เขาขอมา คนดีก็มี เราก็ต้องให้ แต่คนนี้มา ผมก็ให้ แต่ให้เฉพาะคนที่ผมให้ คนที่ไม่ได้ ผมก็ชี้แจงเขาได้” พล.ต.ท.วิโรจน์ว่า

“เด็กพวกนี้ผมดูเขามาไม่ใช่แค่วันสองวัน ผมรู้จักเขา นายทุกคน ที่ขอมา ก็ชี้แจง ไม่มีใครติดใจ ผิดกับเดี๋ยวนี้มันไม่ใช่ เวลาแต่งตั้งตำรวจเขายี้กันไหม ไปดูได้เลย ใช้ฝีมือวัดกันว่า ไอ้นี่ได้เพราะมันฝีมือ เขายอมรับ ไม่มีแบบพลิกล็อก มาแบบไหนยังไง คนด่ากันฮึม ไม่มี เพราะฉะนั้นเวลาผมแต่งตั้งก็จะยึดหลักแบบนี้ ผมถึงอยากแสดงความเห็นว่า ปัญหาองค์กรตำรวจก็มาจากเรื่องการแต่งตั้ง ความไม่เป็นธรรม น่าห่วง แล้วตอนหลังๆ มีลูกน้องเก่าๆ มาเล่าให้ฟังว่า บางคนเสียตังค์ด้วย หมดท่าเลยนะ”

ตำนานผู้นำนครบาลให้เหตุผลด้วยว่า พวกวิ่งเต้นต้องไปไขว่คว้าหาเงิน ไปกู้หนี้ยืมสินมา พอมีตำแหน่ง ก็ต้องไปหาชดใช้หนี้ ทุกคนจะยอมตายได้อย่างไร เรื่องแต่งตั้งไม่เป็นธรรมก่อผลกระทบเยอะมากสมมติว่า คนที่เสียเงินแล้วได้ คนที่ไม่เสียเงินแล้วก็จะคิดมากใหญ่ คิดว่าอย่างนี้ไม่ต้องทำงานดีกว่า หาเงินเตรียมไว้ ไม่ใช่กระทบแค่เฉพาะคนที่ต้องไปหาเงินหาทองมา แต่คนที่รู้มันกระทบจิตใจ ขวัญกำลังใจหายหมด ใครก็ตามที่รู้ว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมก็จบ ไม่เอาแล้ว

พล.ต.ท.วิโรจน์ย้ำว่า ทีนี้ผู้บังคับบัญชาจะพูดว่าอะไร สั่งการอะไร ลูกน้องไม่เชื่อแล้ว และพอไม่เชื่อ อุดมการณ์ก็เสีย อะไรมันก็เสียไปหมด ไม่ใช่แค่กับคนเสียเงินกับคนไม่เสียเงิน มันกระทบหมดเลย พังทั้งระบบ ฉะนั้นเรื่องคุณธรรม ความยุติธรรมต้องมาก่อน

“ทั้งหมดจะโทษการเมืองไม่ได้ เพราะสมัยผม จะไปห้ามไม่ให้การเมืองมาขอ ไม่ต้องไปห้าม เหมือนห้ามไม่ให้ฝนตก ไม่มีทางหรอก เพราะระบบอุปถัมภ์สังคมไทยเรามันเป็นอย่างนี้ มันธรรมดา เป็นวัฒนธรรมแล้วที่ไปหาผู้ใหญ่ แล้วเห็นว่าช่วยได้ก็ช่วย แต่ไม่ได้บังคับ แค่ให้ช่วยดูหน่อย เราก็ดูว่า ถ้าได้ก็ได้ ถ้าเด็กมันดี เราก็ต้องให้ แต่ถ้าคนที่ไม่ไหว ก็ต้องไม่ได้ เราก็ชี้แจงให้เขาเข้าใจ ก็ไม่เห็นมีใครว่าเลย แต่ทีนี้บางคนมันสมอ้าง ได้โอกาสเลย อยากช่วยเด็กของตัว นี่จำเป็นต้องให้ อย่างนี้ มีอะไรก็บอกน้อง บอกหลานตลอด อย่าทำแบบนี้ เพราะเรื่องแต่งตั้งสำคัญที่สุด กระทบขวัญกำลังใจของคนทำงาน” อดีตนายพลตำรวจคนดังฝากไว้

วิโรจน์ เปาอินทร์ !!!

 

RELATED ARTICLES