“สามีภรรยาควรเคารพซึ่งกันและกัน”

ติมเต็มความหวานประคับประคองรักสร้างครอบครัวที่แสนอบอุ่น

คุณตู่-วิลาวัณย์ เลิศพรเจริญ ภรรยา พ.ต.อ.ธรากร เลิศพรเจริญ ผู้กำกับการฝ่ายอำนวยการ กองบังคับการตำรวจนครบาล 1 นักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่น 50 ที่กำลังมีอนาคต

เธอเกิดในครอบครัวพ่อแม่ค้าขายในเมืองชลบุรี พอจบชั้นประถม 6 ละแวกบ้านถูกส่งเข้ากรุงมาอยู่กับญาติเรียนระดับมัธยมโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ฝันอยากเป็นนักข่าวภาคสนามคอยรายงานสดออกหน้าจอโทรทัศน์ถึงขั้นมุ่งมั่นสอบติดคณะวารสารศาสตร์ เอกวิทยุโทรทัศน์ คว้าวุฒิปริญญาตรีเกียรตินิยมอันดับ 1

ก่อนหน้าได้มีโอกาสฝึกงานสายข่าวกีฬาช่อง 9 อสมท ตอนที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพมหกรรมการแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์ครั้งที่ 13 พอดี แต่โชคร้ายไม่มีตำแหน่งพนักงานว่าง ประกอบกับเป็นช่วงวิกฤติฟองสบู่แตกเลยตัดสินใจเปลี่ยนสายงานไปทำอยู่ฝ่ายประชาสัมพันธ์ บริษัทไทยประกันชีวิต แค่ 4-5 เดือนไปอยู่บริษัทเอเจนซี่วางแผนกลยุทธ์โฆษณา แล้วโยกไปวางแผนสื่อ อาศัยความรู้ที่เรียนวิทยุโทรทัศน์มาใช้ประโยชน์ ก่อนถูกดึงตัวไปดูเรื่องการสื่อสารให้บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด ปัจจุบันกินตำแหน่ง Training&Learning Manager Human Resources ของเนสท์เล่

ความรักของเธอกับสามีเริ่มต้นเมื่อ 10 กว่าปีก่อน เมื่อคุณตู่เลือกไปลงเรียนคณะนิติศาสตร์ ภาคบัณฑิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ตอนค่ำ ผู้จัดการสาวเล่าว่า เรียนมาแล้วปีแรก รู้สึกไม่มีเวลาเลยของพักเรียนเพื่อไปลงเรียนปริญญาโทนิด้าให้จบก่อน เสร็จแล้วเริ่มกลับมาเรียนต่อใหม่ถึงเจอกับเขา เมื่อมีรุ่นพี่มาฝากเข้ากลุ่มเดียวกันเพื่อให้ช่วยกันติวถึงได้รู้จักกัน

คุณตู่บอกว่า เจอกันตอนแรกมรู้สึกอะไร รู้ว่าเป็นตำรวจ เป็นรองสารวัตรสืบสวนโรงพักยานนาวา  เขาก็อยู่กับเพื่อนหลายคน เราแจกนามบัตรเขาก็งงว่า แจกนามบัตรทำไม ส่วนเราก็เฉย ๆ ไม่ได้คิดอะไร ยอมรับว่าที่บ้านอาจมีภาพไม่ดีกับตำรวจ แต่เราไม่ได้คิดว่าจะมาคบกันพอปรึกษากันบ่อยครั้ง เพราะเราไม่ค่อยมีเวลาต้องถามเขาตลอด ตอนหลังก็มีไปกินข้าว ชวนไปดูหนัง เริ่มรู้ว่าเขามาจีบเลยศึกษากันไป

“ปกติเราไปไม่ค่อยทัน เรียน 5 โมงครึ่ง กว่าจะเลิกงานก็ 5 โมงครึ่งแล้ว ต้องไปตามเขาว่า วิชานี้ถึงไหนแล้ว นิติศาสตร์มีสอบตอนจบอย่างเดียว เน้นติวมากกว่า คุยกันรู้ว่า ไปกันได้ พัฒนากันจนเป็นแฟนตอนใกล้จบ เขาเป็นคนเรียนเก่ง ประคับประคองช่วยให้เราเรียนจบ ประทับใจตรงทีคุยกันรู้เรื่อง ไลฟ์สไตล์เหมือนกัน กินข้าวเหมือนกัน ไม่ชอบกินอาหารฝรั่ง ง่าย ๆ สบาย ๆ เป็นคนตั้งใจเรียนเหมือนกัน ชอบดำน้ำ ชอบเที่ยวผจญภัย ชอบทะเลเหมือนกัน”

เมื่อถึงเวลาที่ฝ่ายชายต้องไปแนะนำตัวบ้านฝ่ายหญิง คุณตู่เล่าว่า ความจริงพ่อแม่ไม่ถึงขนาดเกลียดจะมองแค่ว่า ตำรวจเป็นอาชีพที่เจ้าชู้ แต่เรามาเจอกันตอนเวลาโตแล้ว ทำงานมาพักหนึ่งแล้ว ไม่ใช่เด็ก ที่บ้านจะรู้ว่า ปกติเราจะตั้งใจเรียน ไม่เคยทำอะไรให้ผิดหวัง ไม่เคยพาผู้ชายคนไหนมาแนะนำ เพราะไม่คิดว่าจะใช่ มีคนนี้แหละที่คิดว่าใช่ถึงมาบอกพ่อแม่ ตอนเรียนมหาวิทยาลัยก็ไม่มีแฟน เราเป็นเด็กเรียนอย่างเดียว ไม่มีอะไรให้พ่อแม่กังวล ทั้งเรื่องเรียน เรื่องงานเราโอเค พอพาไปรู้จัก พ่อแม่ก็ไม่ได้ว่าอะไร

คบกัน 3 ปี ทั้งคู่ลอดซุ้มกระบี่ลั่นระฆังวิวาห์หวานในทันทีที่เจ้าบ่าวก้าวขึ้นเป็นสารวัตรฝ่ายการประชุม สำนักงานเลขานุการตำรวจแห่งชาติ “เขาบอกจะแต่งงานตอนเป็นสารวัตร” ฝ่ายเจ้าสาวย้อนอดีตปนเสียงหัวเราะ ชีวิตคู่เริ่มต้นขึ้นถามว่าเปลี่ยนไปมากน้อยแค่ไหน แม่บ้านนายตำรวจหนุ่มยิ้มแซวว่า “เปลี่ยนตรงที่เมื่อก่อนเรานอนคนเดียว” ก่อนปรับน้ำเสียงจริงจังว่า ปกติงานยุ่งเหมือนกันทั้งสองคน แต่จะคุยกันว่า เวลาโทรศัพท์ต้องรับสาย ต้องติดต่อได้ตลอดเวลา ถ้ารับสายไม่ได้ให้โทรกลับ เราจะออกแนวเป็นห่วง ยิ่งอาชีพเขาค่อนข้างเสี่ยงแบบนี้จะห่วงมากกว่า ไม่ได้คิดว่า ไปอยู่กับใคร ห่วงแค่ว่าจะเป็นอะไรหรือเปล่า

เธอว่า จริง ๆแล้ว ตัวเธอเองจะออกแนวเป็นหลังบ้านมากกว่า จะไม่ยุ่งกับงานของสามี คิดว่า งานคนละอย่างกัน แต่ถ้ามีอะไรก็ปรึกษากัน ระบายกันได้ สามีอาจจะมีแนวมาบ่นให้ฟัง แต่ไม่ได้บ่นอะไรเยอะ เพราะงานไม่เกี่ยวกัน เราอาจจะช่วยบ้าง อย่างตอนไปเป็นรองผู้กำกับป้องกันปราบปราม โรงพักพหลโยธิน ต้องทำงานกับชุมชน เราสามารถให้ไอเดียในแง่ที่เราเป็นประชาชนคนหนึ่ง และทำงานสื่อสารมวลชนมาก่อน สามารถแนะได้ว่า ตำรวจควรจะเข้าไปทำอะไรแบบไหน  เป็นมุมมองในแง่ของประชาชนว่า ชาวบ้านมองหาอะไรจากตำรวจ

หญิงสาวย้ำว่า ได้ช่วยในมุมคิดของสามี แชร์ไอเดียในสิ่งที่เรารู้ แต่ถ้าเป็นเรื่องงานจะไปสืบ ไปจับใคร เราไม่รู้เรื่องด้วย รู้แค่ว่า ตอนแต่งงานกันใหม่ๆ ยังไม่มีลูก บางวันออกตรวจกลับมาเช้า บางทีชิน เขาก็จะบอกว่า เป็นเมียตำรวจต้องอดทน ก็เข้าใจ ดีที่ยังอยู่บ้านเดียวกัน ไม่ใช่เขาไปรับราชการที่อื่น ต้องแยกกันอยู่ ยังเห็นหน้ากันทุกวัน อาจจะไม่รู้สึกอะไร ยิ่งปัจจุบันเทคโนโลยีทางการสื่อสารมันโอเค ตั้งแต่มีโทรศัพท์มือถือ มีไลน์ วอทแอพ ติดต่อได้  มีบางทีเขาไปกินข้าวแล้วหายไป ก็ไม่เป็นไร แค่เป็นห่วงว่าจะขับรถกลับบ้านปลอดภัยหรือไม่ถึงจะเป็นตำรวจก็เถอะ อุบัติเหตุมันเกิดขึ้นได้

สะใภ้บ้านเลิศพรเจริญระบายว่า ห่วงมากกว่า ยิ่งยุคนี้สถานการณ์บ้านเมืองมีความขัดแย้ง ตำรวจก็เป็นองค์กรหนึ่งที่ถูกเกลียดชัง ถ้าถาม เราก็อยู่ในครอบครัวตำรวจ รู้ว่า มีแรงกดดัน บางอย่างสามีอาจจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ผู้ใหญ่สั่งก็ได้ เราก็จะไม่พยายามทำตัวให้เขาอึดอัด แต่ในครอบครัวเป็นประชาธิปไตย ถ้าเขาจะชอบฝั่งไหน เราจะชอบฝั่งไหนคุยกันได้ “บางวันก็ขำ ขำ เป่านกหวีดใส่กัน มันมีบางมุมที่บางทีไม่ตรงกัน แต่มันเป็นสิทธิที่ทุกคนสามารถแชร์ความเห็นของแต่ละคนได้ ไม่ถึงกับทะเลาะกัน จริง ๆ อยากคุยกันเรื่องนี้มากกว่า ความจริงมันเป็นไปได้ว่า เราชอบคนนี้ เขาไม่ชอบ  ถามว่า คนเหล่านี้มีบทบาทอะไรกับชีวิตขนาดที่เราจะมาทะเลาะกัน เรื่องในชีวิตครอบครัวมันเยอะมากแล้วจะไปทะเลาะกันเรื่องนี้อีกมันไม่เวิร์ก”

“สามีภรรยาควรเคารพซึ่งกันและกัน ทุกคนมีหน้าที่ มีความรับผิดชอบ ถ้าไม่เคลียร์กันแต่แรก คุยกันดีกว่า คุยให้ชัดว่า งานเขาต้องทำอะไรจะมีอะไรที่จะส่งผลกระทบต่อครอบครัว อย่างสามีจะเปลี่ยนงานไปอยู่ตรงนั้นตรงนี้ สิ่งที่ตามมา คือ จะมีเวลาน้อยลง ถ้าถามว่า เราชอบไหม บางอย่างเราไม่ชอบอยู่แล้ว แต่มันคืองานของเขา อย่างถ้าวันไหนที่เรากลับบ้านดึก เขาก็ไม่ชอบ แต่มันคืองาน มันเลือกไม่ได้ ควรจะคุยกันตั้งแต่ต้นดีกว่าเคลียร์กันตรง ๆ ไปเลย เราจะได้รู้ว่า สิ่งที่ตามมาเราจะรับได้หรือไม่ อย่างที่บอกว่า ติดต่อได้ไม่ได้ให้โทรกลับจะได้ไม่ต้องห่วง” หลังบ้านผู้กำกับนครบาลฝากมีมุมคิดไว้ให้ครอบครัวตำรวจได้ศึกษา

ทุกวันนี้บ้านเลิศพรเจริญ มีพยานรักเป็นเด็กสาววัย 3 ขวบเศษ “น้องครีม” ธัญจีรา เลิศพรเจริญ เข้ามาเสริมสายใยความอบอุ่นในครอบครัว คุณแม่ยังสาวเล่าว่า  สามีมีเวลามากขึ้น แต่ติดลูกประมาณหนึ่ง เราก็อยากให้ลูกติดเขา ไม่ใช่ลูกไม่เอา เพราะไม่มีเวลาอยู่กับลูก ถามว่า ให้ทิ้งพ่อกับลูกทั้งวันสองคนคงไม่ได้ ผิดที่เราไม่ได้ปล่อยให้เขาลองดูลูกเองบ้าง ถ้าวันไหนพี่เลี้ยงลาหยุด เราจะเหนื่อยก็พยายามบอกเขา ถ้าไม่ต้องมีงานอะไรอยากให้มาช่วยกันเลี้ยง

“เราต้องช่วยกันคอยประคอง เคยคุยกันกับเขาว่า ที่เลือกเรา เพราะเขาต้องมั่นใจว่า ถ้าเกิดเขาไม่อยู่ มีอะไรเกิดขึ้น เราจะดูแลลูกได้ เขาเลือกผู้หญิงที่เข้มแข็งประมาณหนึ่ง ไม่ใช่ผู้หญิงที่ทำไม่ได้ ทำไม่เป็น ทั้งที่ความจริงเราก็มีบางสิ่งที่ทำไม่ได้บ้าง แต่ถ้าถามเขา เขาก็จะรู้สึกว่า เราต้องแข็งแรง แม้บางเรื่องเราก็ไม่ได้แข็งแรงทุกอย่าง”

 

ถามว่าคิดถูกหรือผิดที่เลือกครู่ครองเป็นตำรวจ คุณตู่ยิ้มสารภาพว่า จริง ๆไม่เคยมีแฟนเป็นตำรวจ แต่เพื่อนมีแฟนเป็นตำรวจหลายคน ส่วนใหญ่เลิกกันไปเพราะตำรวจแฟนเยอะ โชคดีที่สามีไม่มี เราเคยคุยกันแล้ว เรามั่นใจในตัวเขา ถามว่า เตรียมใจไว้บางไหม ลึก ๆ ก็ไม่อยากบอกว่า หากมีอะไรเกิดขึ้นก็กลัวจะเสียใจเหมือนกัน กลัวรับไม่ได้ แต่ก็คุยกันแล้ว ถ้ามีแบบนี้เข้ามาก็คงจบ ที่ผ่านมาก็ไม่เคย

“วันแต่งงานเขาก็พูดให้คำมั่นกับพ่อแม่เราว่า จะดูแลเรา คิดว่า ผู้ชายต้องยึดมั่นในคำพูด ยิ่งตัวเองเป็นตำรวจด้วย เราจะเชื่อในการรักษาคำพูด เพราะเราก็เป็นคนรักษาคำพูด เรื่องนี้สำคัญ”คุณตู่ทิ้งท้าย

 

RELATED ARTICLES