“ผมมีสโลแกนของผมว่า ปกครองแบบทหาร ทำงานแบบตำรวจ”

นเวียนใช้ชีวิตอยู่เมืองปากน้ำโพ เติบโตขึ้นชั้นโด่งดังจนหลายคนคิดเป็นถิ่นเกิดของ “นายพลหนุ่มฝีมือดี” คนนี้ไปแล้ว พล.ต.ต.ดำรงค์ เพ็ชรพงศ์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครสวรรค์ ผ่านเรื่องราวมากมายตลอดเส้นทางผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ชื่อเสียงเป็นที่ประจักษ์แก่ชาวเมืองนครสวรรค์

กว่าจะก้าวมาถึงจุดนี้ เกือบเอาชีวิตไม่รอด

เป็นนายตำรวจที่ชาวบ้านรักและศรัทธา บรรดามาเฟียผู้มีอิทธิพลต่างเกรงใจ ขณะที่โจรผู้ร้ายพากันหดหัว เพราะกลัวในความเป็น “มือปราบตัวจริง” ของเขา

แม้ตัวเล็ก แต่ใจใหญ่ ไม่เคยก้มหัวให้ใครที่กระทำผิดกฎหมาย

 

ชอบเป็นผู้นำแบบทหาร แต่พ่อทัดทานให้เลือกเหล่าตำรวจ

ประวัติตั้งแต่เริ่มต้นชีวิต พล.ต.ต.ดำรงค์ เพ็ชรพงศ์ เกิดจังหวัดพิจิตร พ่อยึดอาชีพเกษตรกรรม ส่วนแม่เป็นครู เรียนจบโรงเรียนพิจิตรพิทยาคม สอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหารรุ่น 21 สมัยนั้นยังไม่มีการให้เลือกเหล่า ต้องไปเรียนรวมก่อนแล้วค่อยมาเลือกเหล่าแยกอีกที เหตุมาจากถ้าให้เลือกเหล่าก่อน ลือกันว่าอาจจะมีการขายเหล่าแลกกัน

เจ้าตัวอธิบายว่า ปี 1 ไม่รู้ใครจะเป็นตำรวจ ทหารบก ทหารอากาศ หรือทหารเรือ ต้องสอบกันในกลุ่มไปลุ้นโควตา สมมติว่า 100 คน แบ่งเป็น 10 กลุ่ม ใน 1 กลุ่มจะมีโควตาให้ตำรวจ 4 คน หรือ 2 คน อะไรแบบนี้ ทหารเรือกี่คน แบกเป็นสัดส่วนไป

“ทีนี้ถึงเวลาผมสอบ ผมอยู่ในกลุ่มๆ หนึ่ง ตอนแรกใจอยากเป็นทหารบก เพราะเป็นคนที่ชอบเรื่องอาวุธ ชอบความเป็นผู้นำแบบทหาร ที่เลือกมาโรงเรียนเตรียมทหาร เพราะชอบตรงนี้ ชอบการอยู่ในระเบียบวินัย ปรากฏ พ่อบอกให้เลือกตำรวจ เนื่องจากคนพิจิตรได้สัมผัสกับตำรวจเป็นส่วนใหญ่ พ่อผมเป็นเกษตรกร ตำรวจจะมากินเหล้าที่บ้านประจำ ตัดสินใจเลือกตำรวจเป็นอันดับแรกตามที่พ่อต้องการ”

เกิดปัญหาทางความคิด กว่าจะจูนติดปรับเข้าด้วยกัน

พล.ต.ต.ดำรงค์บอกว่า จริงๆ ตำรวจ กับทหารคล้ายคลึงกัน พอเข้าโรงเรียนนายร้อยตำรวจรุ่น 37  ปัญหาทางความคิดเริ่มเกิด มาจากความฝังใจระหว่างอยู่โรงเรียนเตรียมทหารจะเป็นการอบรมสั่งสอนที่มีภาวะผู้นำ ที่เราสั่งลูกน้อง ต้องทำให้ได้ ไม่ใช่สักแต่ว่าสั่ง สอนให้เป็นผู้นำแบบนั้น แล้วการเป็นผู้นำหน่วย ต้องรัก และดูแลลูกน้อง ไม่ใช่ปล่อยให้ลูกน้องไปตาย สมมติว่า ไปออกรบ มีลูกน้องไป 7-8 คน บางคนมันตาย ถามว่า เราจะเอาศพกลับมาไหม เราก็ต้องเอากลับมา เพื่อให้พ่อแม่พี่น้องเขา แม้ศพจะเน่า ก็ต้องเอากลับมา

ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครสวรรค์เล่าอีกว่า เรียนเตรียมทหารมีไอดอลเป็นผู้กองคนหนึ่ง เวลาสั่งแถวแล้ว สมาร์ทมาก ก็อยากได้แบบเขา พอเรามาอยู่โรงเรียนนายร้อยตำรวจกลับคนละเรื่องกันเลย เพราะสอนเกี่ยวกับเรื่องกฎหมาย เรื่องยุทธวิธี ใช้ความตรงไม่ได้ บางครั้งอะไรบางอย่าง ต้องมีลูกล่อลูกชน ปรับใช้กฎหมายให้เป็น

หลังจากจบโรงเรียนนายร้อยตำรวจมาลงจังหวัดนครสวรรค์ นายพลหนุ่มรับว่า ด้วยที่ตัวเล็ก ตอนแรกตำรวจที่นั่นไม่ค่อยเชื่อถือ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด เรามองว่า มันอยู่ที่ใจ จะทำอย่างไรเมื่อบุคลิกเราเป็นแบบนี้ ก็ต้องใช้ความคิดเรา จำเป็นต้องมีความเอาจริงเอาจัง มีความเด็ดขาด และมีเมตตา ยึดหลักการทำงานมาตั้งแต่เป็นรองสารวัตรโรงพักเมืองนครสวรรค์

 

ยึดหลักปกครองตามชั้นยศ ลดความแข็งกร้าวด้วยหลักรัฐศาสตร์

“ผมมีสโลแกนของผมว่า ปกครองแบบทหาร ทำงานแบบตำรวจ คือ ทหารปกครองตามชั้นยศ เจ้านายต้องเสียสละให้ลูกน้อง เจ้านายต้องรักลูกน้อง ต้องปกครองแบบนั้น ส่วนตำรวจมีรุ่นพี่รุ่นน้อง ถ้าเราเป็นเบอร์หนึ่ง มีอำนาจเต็ม ไม่ว่านั่งเป็นสารวัตร เป็นผู้กำกับ หรือเป็นผู้การ ใครจะมาใหญ่เกินเราไม่ได้ มันต้องตามสายบังคับบัญชา ไม่ใช่ต้องมาเกรงใจกันอ่อนปวกเปียกว่า คนนั้นเป็นรุ่นพี่ อย่างนี้ไม่ได้ อย่างไรก็ตาม เราต้องมีเมตตากับรุ่นน้องๆ ด้วย เพราะน้องๆ จะต้องโตต่อไป ต้องมีความปรารถนาดีต่อเขา”

เขาสรุปความหมายทั้งหมดว่า ปกครองแบบทหาร คือ แบบชั้นยศ แต่การทำงานแบบตำรวจ ก็คือ ต้องทำงานอย่างมีวิจารณญาณตามหลักรัฐศาสตร์ ทำงานอย่างโอนอ่อน บังคับใช้กฎหมายที่เป็นลักษณะของความเป็นไปได้ ไม่ใช่นายสั่งให้จับ ก็จับ กระทั่งเกิดการต่อต้านจากมวลชน มันไม่ได้ เพราะฉะนั้น ถึงมีสโลแกน ตั้งแต่เป็น ร.ต.ต. จะพูดกับลูกน้องแบบนี้ตลอด

“ฉะนั้น ลูกน้องจะไม่กล้ากับเรา จะรู้ว่า เรามีคอนเซ็ปต์แบบนี้ในการทำงาน ผมจบมา นายดาบขับรถให้ บางคนรุ่นพ่อเลย เราเด็กใหม่ แต่เราไปกินข้าวด้วยกัน พูดคุยถามกันว่า ดาบมีอะไรก็มาสอนผม บอกผม  เพราะทุกคนเป็นครูเราหมด” พล.ต.ต.ดำรงค์ว่าถึงหลักการทำงาน

หนีนครบาลมาอยู่ใกล้บ้านเกิด แจ้งเกิดเพราะจริงจังกับการทำงาน

เหตุที่เลือกมาลงบรรจุที่นครสวรรค์ ทั้งที่ความจริงคะแนนสอบดีพอจะเลือกโรงพักในนครบาลได้ นายพลตำรวจภูธรมองว่า การทำงานของตำรวจ ควรจะมีคุณภาพชีวิตที่ดีด้วย ถ้าอยู่นครบาล ด้วยความที่เคยฝึกงานโรงพักบางยี่ขัน งานเยอะ มีคดีรถชน เอาผู้ต้องหาไปทำประวัติ เสียเวลาไป 1 วัน  แล้วนายยังมาตรวจโรงพักกันจนแบบโงหัวไม่ขึ้น ออกเวรก็ต้องมาตรวจสำนวน ยอมรับว่า ตำรวจนครบาลเป็นตำรวจที่ทำงานหนักมาก

“อีกเหตุผลประกอบ เพราะบ้านผมก็อยู่ต่างจังหวัด นครสวรรค์ใกล้บ้านเกิด จะเข้ากรุงเทพฯ ก็ไม่ไกลด้วย ถ้าให้ไปเชียงใหม่ ผมก็ไม่ไป เลยเลือกลงนครสวรรค์ มันเหมือนกับดวงนะ นครสวรรค์เป็นเมืองที่มีปัญหาเยอะ มีนักเลง ซุ้มมือปืน เมื่อมีโอกาสมาอยู่ปุ๊บ ก็ได้เจอพวกนี้ ผมเป็นคนไม่กลัวด้วย ปะทะกันมาเรื่อย ผมคนเดียว ผมไม่ยอมบางคนที่มันแข็งๆ อ้างว่า มีนาย และด้วยความที่เราเป็นคนตรงแบบนี้ ตอนนั้นนายก็มองว่า เราแข็ง อะไรที่ไม่ถูกจะไม่ยอม พยายามดันให้เป็นนายเวรสำนักงาน ผมก็ไม่เป็น ยอมเข้าเวรโรงพัก อยากอยู่ที่ได้ปฏิบัติงาน”

พล.ต.ต.ดำรงค์ว่า อยู่นครสวรรค์ตั้งแต่ร้อยเวร เป็นหัวหน้าสายตรวจ จับทุกวัน เป็นคนที่ชอบจับมาก จับทุกอย่าง สมัยเราเป็นเด็ก จับอาวุธปืน ยาเสพติด และต้องนำหน้าลูกน้องตลอด จะต้องมีดำรงค์ มีชื่อจับ เข้าเวรกลางคืน เห็นสายตรวจไปตรวจ เราก็บอกพอแล้ว ให้ไปดักตามซอกเล็กซอกน้อย เดี๋ยวมีปืนมาแล้ว คือการทำงานแบบนี้ ชาวบ้านส่วนหนึ่งจะกล่าวขวัญถึงว่า ตำรวจเอาจริงเอาจัง จับแล้วไม่ปล่อยด้วย ขอไม่ให้ คนนครสวรรค์จะบอกว่า คุณดำรงค์ดีทุกอย่าง เสียอย่างเดียวจับแล้วไม่ปล่อย คือ ถ้าผิดเราก็หวดเลย ใครจะมาอ้างอะไร ไม่ได้เลย เป็นคาแรคเตอร์เราตั้งแต่ ร.ต.ต.เป็นต้นมา ทว่าสิ่งหนึ่งที่อยู่กับตัวเรามาตลอด คือ ผมเป็นคนที่รักงาน พอนายมอบหมายภารกิจอะไรให้ เราต้องรักษาหน้าที่ตรงนั้นให้ดีที่สุด และที่สำคัญต้องเป็นคนที่อาสาตลอด นายพูดขึ้นมา เราต้องอาสาไปเอง

 

ถูกลากเข้า “ทีมฉลามดำ” นำทางสู่เส้นทางกองปราบปราม

ขยันทำงานจนเตะตานายตำรวจรุ่นพี่อย่าง “สมพงษ์ คงเพชรศักดิ์” ดึงเข้าไปอยู่ในทีมเฉพาะกิจฉลามดำ มี “สมศักดิ์ จันทะพิงค์” รุ่นพี่อีกคนร่วมเคียงบ่าเคียงไหล่ หนุนให้ขึ้นตำแหน่งสารวัตรหน่วยปฏิบัติการพิเศษ เป็นหัวหน้าชุดเฉพาะกิจอำเภอขาณุวรลักษบุรี จังหวัดกำแพงเพชร ก่อนโดนทาบทามไปอยู่กองปราบปราม ตำแหน่งสารวัตรแผนก 5 กองกำกับการ 3 กองปราบปราม สมัย พล.ต.ต.คำนึง ธรรมเกษม คุมทัพ มีมือพระกาฬทั่วสารทิศของกรมตำรวจ อาทิ ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา ประมวลศักดิ์ ศรีสมบุญ อัศวิน ขวัญเมือง พีระ บุญเลี้ยง เฉลิมพันธุ์ อจลบุญ สมภพ พงษ์ฤกษ์ จักรทิพย์ ชัยจินดา

สัมผัสแรก นายตำรวจหนุ่มเมืองชาละวันยอมรับว่า ไม่อยากไป แต่รุ่นพี่กล่อมว่า ทางภาคเหนือไม่มีตัวทำงาน ถึงยอมไปอยู่ แรก ๆ ไม่เคยทำงานกองปราบปรามเลย แถมอยู่กับทีมทำงานชุดใหญ่ สมศักดิ์ จันทะพิงค์ที่ไปอยู่ด้วยแนะนำให้เราขยันอย่างเดียว เพราะเราไม่รู้ว่า ใครเก่ง ไม่เก่งอย่างไหน แต่เราก็ดีกับทุกคน ได้เริ่มทำงานในเซฟเฮาส์ ท่านภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา เห็นว่า เราขยัน ก็เอาไปทำงาน ได้วิชาสารพัดเยอะมาก ไม่ว่าจะวิชาซักถาม แม้กระทั่งวิสามัญฆาตกรรม

“มันภูมิใจมากที่สุด ทำงานกับพี่ ๆ ที่มีประสบการณ์มากมาย เหมือนมีโอกาส เพราะเราเป็นตำรวจบ้านนอก ผมมีความคิดอยู่อย่าง คือ พอถ้าได้รู้จักคนเยอะๆ เรื่องเงินไม่ใช่ปัจจัย การที่เรารู้จักคน เงินมันไม่มีความหมายเลย อยู่นครสวรรค์ไม่ใช่ว่าจะต้องมีเงินทองอะไรมากมาย แต่เรามีโอกาสที่จะช่วยคนได้เยอะ บริษัทใหญ่ๆ ที่เขามีเรื่องมีราว เราได้ช่วย ถ้าไปอยู่จังหวัดที่เงียบๆ เล็กๆ หลบๆ ก็จะไม่มีโอกาสได้ทำงาน ผมจะบอกน้องๆ ว่า อย่าไปมองเรื่องผลประโยชน์ การที่เราได้ทำงาน ได้รู้จักคน จะได้โอกาสที่ดีในวันข้างหน้าเอง”

ประเดิมคดีฆ่าเผา 5 ศพยกครัว รวบตัวมือปืนยิง “แสงชัย สุนทรวัฒน์”    

สารวัตรบ้านนอกน้องใหม่ของกองปราบปราม ประเดิมคดีแรกเปิดตัวผลงานอย่างสวยสด เมื่อลงคลี่คลายฆาตกรรม 5 ศพครอบครัว “หลิมบุญเจียม” ที่จังหวัดกำแพงเพชร เจ้าตัวเล่าว่า เคยทำงานอยู่ขาณุวรลักษบุรี มีพรรคพวกเต็มไปหมด เหยื่อหายไป 7 วันแล้วก่อนจะเจอศพถูกฆ่าเผาทั้งตระกูล ไปสืบสวนสามารถจับกุมผู้ต้องหารายแรกจากประสบการณ์ที่เราเคยทำงานอยู่ตรงนั้น

นายตำรวจหนุ่มผู้พิชิตคดีสำคัญเล่าต่อว่า คนร้ายกำลังจะหนีมานครสวรรค์ เราไปดูที่เกิดเหตุ พอกลางคืนกลับมา ก็มีข่าวว่า คนร้ายหลบเข้าหาพรรคพวกมันที่รู้จักกับเรา ถึงรู้รายละเอียดหมดว่า ชื่ออะไร ใช้รถอะไร เปิดเกมไล่ล่าคว้าตัวสำเร็จ  “ดวงมันจะเจอด้วยแหละผมว่า” พล.ต.ต.ดำรงค์ยิ้มผ่อนอารมณ์ความตึงเครียดคดีดังในอดีต หลังจากนั้น เขาสะสมความรู้จากนายตำรวจมือปราบรุ่นพี่ร่วมทำคดีอีกมากมาย โดยเฉพาะคดีสังหารนายแสงชัย สุนทรวัฒน์ ผู้อำนวยการองค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย ที่เป็นคณะทำงานสืบสวนสอบสวนชุดใหญ่ รวมทีมกับนครบาลและภูธรภาค 1 หลังจากสืบสวนเหนือได้มือปืนชุดแรกที่รับงานแต่ไม่ได้ลงมือไปขยายผล เขารับหน้าที่ไปรวบตัวนายนฤทุกข์ หรือกิต อุ่นตระกูล คนลั่นไกที่บ้านจังหวัดเชียงใหม่

“ถ้าเป็นรุ่นใหม่จะกลัวงาน สมัยผมตอนที่อยู่กองปราบ พอพี่ภาณุพงศ์ ถามว่า ใครจะไปเชียงราย ผมอาสาเลย ไอ้ความที่เราเป็นแบบนี้ ทำให้ผู้บังคับบัญชาชอบ แล้วเราไปจริงๆ เหมือนอย่างเวลาผมขับรถไปกับภรรยา นายโทรมาหาว่า มีคดียิงอย่างนั้นอย่างนี้นะ ผมก็จะไป เพราะผู้ใหญ่โทรมาหา แสดงว่าเขาก็ต้องอยากให้เราไป ไม่ต้องไปถามอะไรมาก ทำแฟนหน้างอเลย ผมทิ้งครอบครัวไปนานมาก สมัยทำงานกองปราบปราม”

 

โดนคนร้ายซัดกระสุนยิงเฉียดตาย จุดประกายล่า “เด็ดหัว” โจรลักรถ

มุมานะทุ่มเทการทำงานขึ้นรองผู้กำกับการ 3 กองปราบปราม แต่เกือบสังเวยชีวิตระหว่างเป็นชุดเฉพาะกิจศูนย์ปราบปรามการโจรกรรมรถ กองปราบปราม อีกหน้าที่ พล.ต.ต.ดำรงค์ย้อนเหตุการณ์นาทีเฉียดยมทูตครั้งนั้นว่า ติดตามแก๊งลักรถรายใหญ่ภาคกลาง สะกดรอยได้เบาะแสเจอรถต้องสงสัยขโมยมาอยู่ย่านบางปะอิน พระนครศรีอยุธยา  ไม่ได้คิดจะไปจับคนร้าย แค่จะไปตรวจรถ พอดีคนร้ายเลี้ยวรถเข้ามาจอด มี 2 คน คนขัยเปิดประตูเดินลงมา เราก็ลงไปไม่ทันระวัง หุ่นก็บ้านนอก คิดว่า ไม่มีอะไร

“มันคงระแวง รู้ว่าพวกผมเป็นตำรวจ พอหันหลังมา มันดึง 11 มม.ออกมายิงเลย เข้าหน้าอกผมอย่างจัง ตั้งสติได้พยายามกัดฟันยิงสวนไปหลายนัดจนคนร้ายตาย อีกคนวิ่งหนี แต่ผมไม่ไหวแล้ว เพื่อนร่วมทีมพาส่งโรงพยาบาล ปรากฏว่า กระสุนโดนเหรียญ 100 ปีโรงเรียนนายร้อยตำรวจงอ ส่วนผมซี่โครงร้าว โชคดีใส่เสื้อยีนส์หน้าด้วย กระสุนเข้านะ แต่ไม่มีแผล แค่เป็นรอยแดง อาจเพราะปืนมันแบบไทยประดิษฐ์ด้วย ไม่อย่างนั้นคงตายแล้ว”

ตั้งแต่วันนั้น เขารู้ทันทีว่า ทำงานภาคสนามประมาทไม่ได้แล้ว ต้องเซฟบ้าง ก่อนเปิดฉากไล่กวาดขบวนการโจรกรรมรถระเนนระนาดจับตายเป็นเบื่อ พล.ต.ต.ดำรงค์ยอมรับว่า สมัยนั้นการทำวิสามัญฆาตกรรมเป็นเรื่องปกติ ไม่รู้สึกว่า เป็นเรื่องบาปกรรมอะไร รู้แค่ว่า เราเป็นตำรวจ เราทำเพื่อสังคม ผ่านชีวิตมา ทำงานกองปราบปราม เป็นอะไรที่ภูมิใจมาก

ถึงเวลาตัดสินใจโบกลาอาร์ม เดินตามยุทธจักรภูธรสายเก่า

ใช้เวลา 8 ปี สังกัดอาร์มกองปราม ไม่มีเวลาเข้าหาผู้บังคับบัญชา แต่งตั้งทีไรพลาดโอกาสเป็นประจำ ทั้งที่ทำงานในเรื่องไม่น่าพิศวงเท่าไรนัก ถอดใจแต่ไม่เคยหยุดทำงาน “ผมจะบอกน้อง ๆ เสมอว่า งานจะเป็นตัวรักษาเครดิตเรา ไม่ใช่งานมันจะเลวร้าย เพราะสุดท้ายนายเขาก็จะดูจากงานที่เราทำอยู่ดีว่า ให้ได้ตำแหน่งได้เปล่า” อดีตนายตำรวจมือทำงานของกองปราบปรามให้ข้อคิด

จำใจย้ายออกในยุคกองปราบปรามหลังเกิดการเปลี่ยนแปลงผู้นำ คืนยุทธจักรภูธรเป็นรองผู้กำกับการสืบสวนตำรวจภูธรภาค 6 เพียง 10 เดือน ตามจับคนร้ายฆ่าฝรั่งนักอนุรักษ์ชะนี ป่าอุ้มผาง จังหวัดตาก “ขึ้นไป ก็ได้ตัว มันดวงด้วยนะ ตอนนั้นเวลาเย็นแล้ว นายตำรวจรุ่นพี่บอกว่า ฝรั่งโดนฆ่า ผมยังอยู่กับแฟน เพราะถ้าผมหลุดจากงานจะให้เวลากับครอบครัวกับการพักผ่อน ให้เวลาเต็มที่ เนื่องจากเวลามีงาไม่รู้ว่า จะต้องใช้เวลาเดินทาง หรือทำงานนานแค่ไหน ไปสืบสวนไม่นานก็ได้ตัว พวกนายที่นี่ก็ยอมรับ บอกว่าน่าจะได้ขึ้นผู้กำกับนะจากผลงานตรงนี้”

สุดท้าย เขาได้ขึ้นผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรขาณุวรลักษบุรี เป็นช่วงรัฐบาลประกาศสงครามต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติดพอดี พล.ต.ต.ดำรงค์บอกว่า มีคดีตัดตอนบาน แต่ทำงานง่าย ปกครองสบาย ลูกน้องรู้มือหมด แถมทำให้ลูกน้องในภาค 6 เข้ามาหาเราเต็มไปหมด ลูกน้องเยอะมาก ทั้งที่เราไม่ใช่คนกินเหล้าเมายา  เราก็จะสอนเขา อย่าไปทำอะไรให้เสียงาน อะไรที่นอกแถว ไม่ใช่เรื่องของผู้บังคับบัญชาอย่าทำ มีส่วนให้ชื่อเสียงด้านนี้ของเราออกไป บางทีคนร้ายรู้ ก็จะไม่กล้ามายุ่ง จะเกรงเรา

 

เผชิญมรสุมย้ายลดชั้นโรงพัก ปัดหลักแยกเขี้ยวฟัดอิทธิพลแหลก

ผลงานมากมายไม่วายเจอมรสุมการเมืองถูกย้ายลดชั้นเป็นผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรชุมแสง จังหวัดนครสวรรค์ แต่เขาเป็นคนมองโลกในแง่ดี เพราะลูกเริ่มโตแล้ว คิดเสียว่า มาอยู่ใกล้บ้านจะได้ดูแลครอบครัว อย่าไปมองว่าการโดนย้ายเป็นเรื่องที่เลวร้าย ทว่าหลังจากนั้นก็โดนย้ายอีกไปโรงพักวชิรบารมี จังหวัดพิจิตร รับผิดชอบพื้นที่ 4 ตำบล

“ผมก็ไม่ท้อนะ ผมก็ทำงานของผมไป มีการใช้เอ็ม 16 ยิงกันตาย ผมก็ตามจับหมด แถวนั้นก็เงียบ นักการเมือง คนของนักการเมือ ก็โดนจับ พอคนของเขาโดนจับแล้วขอไม่ได้ ก็บอกให้ย้ายดำรงค์ไปเถอะ บ่นว่าทำอะไรไม่ได้เลย” นายพลมือปราบหัวเราะเฉลยเหตุผลว่า มันไม่เป็นธรรม อย่างองค์การบริหารส่วนตำรวจ มีพ่อเป็นนายกฯ ไปตีหัวสมาชิกองค์การด้วยกัน อีกคนไม่กล้าแจ้งความ เพราะกลัวบารมี เราก็บอกว่า กลัวทำไม แจ้งความเลยจะจับให้หมด เริ่มจับลูกชายคนก่อเหตุก่อน ต่อมาก็จับพ่อด้วย ทีนี้เงียบเลย

“ผมไม่ได้กลัวโดนย้ายเลย ผมบอกลูกน้อง ตำรวจเรามีอำนาจจับกุม เป็นตำรวจไม่ต้องกลัว คนเรา ถ้ามันทำผิด ไม่ต้องไปกลัวมัน พยายามให้กำลังใจลูกน้อง เราเป็นเสือ ถ้าเราไม่ตะปบเหยื่อ มันก็เหมือนแมว   เป็นเสือถ้าไม่แยกเขี้ยว ไม่กางเล็บ มันก็ไม่น่ากลัว เพราะฉะนั้น มันต้องมีฤทธิ์ ต้องใช้อำนาจให้ได้ ถึงเวลา ถ้าผิดก็ต้องจับ ต้องกล้าบังคับใช้กฎหมาย มันใหญ่ เราลองจับดู ถ้าเรากล้า สุดท้ายที่ผมเห็นมานะ มันไม่มีใครมาอะไรกับผมสักที แต่ผมไม่ก้าวร้าวนะ ถ้าผิดเราเต็มที่ อย่าไม่แกล้งเขาเท่านั้น ผมฟัดหมด”

ฟ้าเปิดขึ้นรองผู้บังคับการ ทะยานติดนายพลส่งคืนปากน้ำโพ

พ้นพายุหลุดจากอำเภอวชิรบารมี ขยับขึ้นรองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดตาก เป็นรองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสุโขทัย ก่อนกลับมาถิ่นเก่าเป็นรองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครสวรรค์ ติดยศ พล.ต.ต.ตำแหน่งผู้บังคับการประจำกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 โยกเป็นผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดพิจิตร บ้านเกิด ไม่นานย้ายเป็นผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดกำแพงเพชร ถึงคืนถ้ำนั่งผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครสวรรค์

นายพลอดีตทีมงานฉลามดำ ปากน้ำโพ รับว่า นครสวรรค์เป็นเมืองที่มีความขัดแย้งเรื่องการเมืองท้องถิ่น นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด 2 คนถูกสไนเปอร์ยิงตาย ยังจับใครไม่ได้ เมื่อกลับมาเป็นผู้บังคับบัญชาที่นี เราถึงต้องมองรากเหง้าของปัญหา คือ ความขัดแย้งของผลประโยชน์จากหลายๆ จังหวัดมาคาบเกี่ยวกันที่นครสวรรค์ ถามว่า คนพวกนี้รู้จักกับเราไหม รู้จักหมด แต่เราก็ไม่ได้ทำให้ทุกคนกลัวเรา ให้ทุกคนเกรงใจเราดีกว่า

“ผมเรียกมาคุยกัน บอกกัน จะทำอะไรก็แล้วแต่ ขออยู่กันให้สงบๆ ก่อนหน้ามีทางอำเภอลาดยาว รับงานยิงกัน ผมมาอยู่ได้สักเดือน ไปหามือปืนแถวอุทัยธานี ทางนั้นโทรมาบอก ผมให้คนไปเช็ก รู้ว่า ใครเป็นมือปืน รู้ถึงตัว พวกนี้กลัวเลย วิ่งมานั่งรอเลย หยุดเลย ผมบอกว่า อย่านะ ถ้าเอาเขามายิง เขาก็ต้องเอาคนมายิงมึง มันไม่จบ มีอะไรให้มาคุยกัน ว่ากันไปตามกฎหมาย ทำให้ผมคิดว่า มันอยู่ที่เราจะสร้างเครือข่ายพวกนี้ให้เป็นพวกเรา หรือเป็นศัตรูกับเรา ต้องสร้างให้กลุ่มที่มีความขัดแย้งกันได้อยู่ร่วมกันให้ได้ ถ้ามีอะไรที่ขัดข้องให้มาบอก อย่าไปตัดสินกันเอง” ผู้บังคับการตำรวจนครสวรรค์ยึดนโยบายกำราบผู้มีอิทธิพล

 

จับมือพันธมิตรทุกหน่วย ช่วยแก้ปัญหารักษามิตรภาพ

พล.ต.ต.ดำรงค์ย้ำวิธีการทำงานหลังจากที่มาเป็นผู้นำอีกว่า พยายามทำงานแบบให้ครอบคลุม ไม่ว่าจะหน่วยงานของราชการที่ทำงานกับเรา เราต้องช่วยกัน ต้องมีพันธมิตรกับหัวหน้าส่วนราชการ อย่าไปทะเลาะด้วย ตั้งแต่ผู้ว่าราชการจังหวัด ทหาร และนายอำเภอ มีอะไรก็ว่ากัน สัมพันธ์กัน จะกำชับหัวหน้าสถานีทุกสถานีว่า ตำรวจมีหน้าที่บริการ แต่ผู้ว่าราชการจังหวัดมีหน้าที่บำบัดทุกข์บำรุงสุข เพราะฉะนั้นเขากว้างกว่าเราเวลาการทำงานจริงๆ เราควรทำงานของเราแล้วได้งานของเขาด้วย

“แล้วการที่นายอำเภอกับเราเป็นพวกเดียวกัน ทำงานแล้วมันดี ผมปฏิบัติมาตั้งแต่เป็นหัวหน้าโรงพัก การที่เราไปทำงานแล้วได้เจอนายอำเภอ วันหนึ่งเขาก็จะโตไปเป็นผู้ว่าราชการจังหวัด เราก็จะมีพวกมากขึ้น จากที่เราได้คบคนมากขึ้น แต่ถ้ามีพวกอะไรที่ค้า หรือทำอะไรผิดๆ ผมก็จับนะ ส่วนปัญหาตำรวจทะเลาะกัน เวลาตั้งด่าน ขอไม่ได้ ผมก็จัดการปัญหา เกิดมาจากตำรวจรับสินบนบ้าง ผมสั่งเลยว่า ต่อไปนี้เลิก ผู้การคนเดียวที่จะขอได้ โดนจับต้องขัง ผู้ว่าฯ ก็ชอบ เหมือนเรื่องผู้มีอิทธิพล ผมคิดว่า ไม่ใช่หมดไป คงต้องขอบคุณทุกคนที่เขาเกรงใจ และคิดว่า ผู้การดำมา ยังไงก็พวกกัน มีอะไรก็มาคุยกันได้”

เมื่อหมดจากปัญหาข้างต้น ทำให้ พล.ต.ต.ดำรงค์ หันมาดูแลป้องกันเรื่องอุบัติเหตุเป็นหลัก เขามองว่า  อุบัติเหตุไม่เหมือนคดีฆ่า ที่คนสองคนมันไม่ถูกกัน คนดีคนเลว คนดีฆ่าคนเลว คนเลวฆ่าคนดี แต่อุบัติเหตุ มันไม่ใช่ บางทีมันคนดีแล้วมาโดนรถชน เราต้องมาแก้ไข พอเราทำงานเรื่องอุบัติเหตุ ให้สวมหมวกกันน็อก 100 เปอร์เซ็นต์ พยายามจับคนที่ไม่สวมหมวกกันน็อก ตั้งด่านตรวจวัดแอลกอฮอล์ ก็โดนใจคนเยอะ แต่คนที่ไม่ชอบก็มี ถือว่า การที่เราจะเปลี่ยนแปลงอะไรสักอย่าง ต้องมีทั้งคนที่ชอบและคนที่ไม่ชอบ ถ้าเราคิดว่าเราทำในสิ่งที่ดี ก็ทำไป

วางแผนแบบโค้ชฟุตบอล สร้างไอดอลให้น้องรุ่นใหม่สืบทอด

ส่วนคดีอาชญากรรมทั่วไป ผู้บังคับการหนุ่มบอกว่า ช่วงหลังไม่ค่อยมีเกิดคดีใหญ่ มีแต่คดีฆ่าเจ้าแม่เงินกู้ ลูกน้องมาบอกว่า หายตัวไป 3 วันแล้ว เรามั่นใจว่า ตายแน่ ก่อนจะเจอศพยัดใส่ถุงดำเอาไปทิ้ง เรียกตำรวจท้องที่หนองปลิง มาถาม ทำเหมือนเราก็เป็นโค้ชฟุตบอล วางแผนให้น้องเล่นกัน กระทั่งตามจับได้ เสร็จแล้วก็เรียกมาประชุม ขอบคุณทุกคน ไปนั่งกินข้าวด้วยกัน เหตุเพราะที่ผ่านมา ผู้บังคับบัญชาไม่ค่อยใส่ใจรายละเอียด ปิดคดีได้ก็เลิก หวยออกคนจับได้ ทั้งที่จริงทำงานด้วยกันหมด ต้องขอบคุณหมด

เหตุผลสำคัญ พล.ต.ต.ดำรงค์อธิบายว่า จะทำให้ลูกน้องทุกคนเห็นว่า นายรู้ว่า ใครทำงาน ทำให้เกิดการทำงานเป็นทีม ตำรวจก็จะไม่ทะเลาะกัน ให้มองดีทุกคน ลูกน้องก็แค่นี้แหละ ขอให้นายรู้ว่า เป็นคนทำงาน แต่บางครั้งนายหลงลืม เราถึงต้องชมลูกน้องให้เป็น ใครดีเราต้องชม ไม่ใช่เอาแต่ด่า ไม่ใช่ว่าชมแค่คนเดียว เพราะคนเดียวทำไม่ได้ เราต้องไม่ไปแสดงว่า เก่งกว่า เราต้องทำงานแบบบริษัท

พล.ต.ต.ดำรงค์ว่า อย่างน้อยเป็นการฝึกเด็กรุ่นใหม่ให้โต ให้กล้าแสดงฝีมือ ตอนเป็นสารวัตร รองผู้กำกับ ต้องรีบทำ เพราะตอนเป็นผู้กำกับก็นั่งบริหารแล้ว อย่าเอาแต่เที่ยวเตร่ เฮฮา มีเมียน้อย ไม่มีหลัก มีเกณฑ์ สุดท้ายจะเอาตัวไม่รอด เวลาสอนตำรวจเรามักจะพูกเรื่องวิธีการดำเนินชีวิตเป็นหลัก ให้แง่คิดการคบหาพรรคพวก ไม่ใช่เอาเรื่องงานอย่างเดียว การอยู่กับสังคมทำอย่างไร การอยู่กับครอบครัวทำอย่างไร

 

อยากสอนหลักการดำเนินชีวิต มากกว่าปลูกฝังความคิดการทำงาน

“ช่วงเวลา 5 ปี ที่เหลือก็คิดว่า วันนี้ ผมมาไกลแล้ว ถามว่ายังมีความทะเยอทะยานไหม มันก็ต้องมีอยู่แล้ว แต่เราก็ต้องดูความเป็นจริงว่า ทำได้หรือไม่ อนาคตเป็นเรื่องไม่แน่นอน ถ้าเป็นรองผู้บัญชาการจะสู้เพื่อเป็นผู้บัญชาการก็ต้องว่า ไป แต่ถ้าเป็นผู้บังคับการไปเรื่อยๆ ก็ต้องดูว่าจะได้ทำอะไร ไม่ได้ซีเรียสอะไร ใจจริงอยากจะอยู่ในจุดที่ได้ทำงาน เพราะว่าช่วงที่ไปเป็นผู้การประจำ ไม่มีงานทำเลย มีความรู้สึกเหมือนอยู่ไปวันๆ ก็เลยต้องไปหาผู้บัญชาการว่า มีคดีโน้นคดีนี้ให้ไปไหม ไปทำงานทุกวัน”

นายพลปากน้ำโพวางอนาคตหลังเกษียณอายุราชการอยากไปบรรยายพิเศษ ถ่ายทอดความรู้เรื่องการบริหาร การอยู่กับคน โดยเฉพาะโรงเรียนตำรวจภูธร เหมือนเคยบรรยายให้ นายร้อย 53 ฟัง ไม่ได้ไปสอนทำงาน จะบอกพวกเขาว่า อีก 7 ปีที่เหลือจะทำอะไร คุณจะแสวงหาอะไร บางคนเจอนายร้อยจบใหม่ แล้วไปข่ม เพราะคิดว่าได้เป็นนายร้อยเหมือนกันแล้ว เป็นความคิดที่ผิด เราต้องมองเป็นลูกศิษย์ลูกหา สอนเขา เพื่อจะจำเรา เพราะวันหนึ่งข้างหน้าเขาก็จะโตต่อไป ต้องไปปรับความคิดเขา จะไปสอนแบบนี้มากกว่า

“เช่นเดียวกับการที่ได้คุยกับเด็กที่มันจบใหม่ บางทีมันบ้าพลัง ทำอะไรไม่ค่อยคิด ทำผิดๆ ถูกๆ ก็จะสอนให้เขาคิดใหม่ สมัยผมอยู่กำแพงเพชร เจอนักเรียนนายร้อยจบใหม่มา ก็จะสอนเขา บางคนไปเที่ยวผู้หญิง ถูกต่อยมา เราก็จวกพวกนั้น แล้วก็สอนลูกน้องเราว่า เรื่องแบบนี้มันไม่ได้ เขาก็ได้ดิบได้ดีไป เพราะอย่างสมัยเราจบมาใหม่ พี่เขาก็ห้ามเราเข้าสถานบริการ 3 เดือน สมัยก่อน ห้ามเที่ยวสถานบริการ นักเรียนนายร้อยจบใหม่ก็อยากเที่ยว แต่โดนให้ทำงานตลอด 3 เดือนอยู่โรงพัก ที่เกิดเหตุยังไม่ได้เข้าเลย เราก็ได้ดีกับตัวเรา จากการอบรมสั่งสอน พอจบมาจะเที่ยวเลย ไม่ได้ ไม่เหมือนคนจบมหาวิทยาลัย”

อาศัยประสบการณ์บวกคำคมนาย ทิ้งท้ายอยากให้ทุกคนเป็นลูกน้องผู้การดำ

นายพลตำรวจตรีมากประสบการณ์เล่าต่อว่า บางครั้งนักเรียนนายตำรวจจบมาใหม่ไม่รู้โลกเป็นอย่างไร เราจะพยายามสอน เป็นความภูมิใจของเรา ของพ่อแม่พี่น้อง ไม่ใช่พอเขาให้เงิน มียาเสพติดมา 1-2 หมื่นก็เอา มีเงินแล้วก็ไปติดผู้หญิง ใช้เงินเก่ง ทีนี้ก็หาเงิน พอมาน็อกก็เสร็จ เราจะสร้างคนได้อย่างไร พนักงานสอบสวนที่นครสวรรค์ก็เหมือนกัน แรกๆ มาเรียกเก็บเงินเขา ก็โดนตั้งกรรมการ โดนขังบานเลย 10-15 วัน โดนกันเป็นแถว ไม่ทำสำนวน หรือสำนวนค้าง เรียกมาปรับใหม่ ก็ดีขึ้น

“บางคนน้อยอกน้อยใจไม่ได้ขึ้นเป็นผู้การ บางคนเป็นผู้การประจำไม่ได้ทำงาน พอตื่นมาก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไร จะเป็นทำไม สมัยก่อนเป็นตำแหน่งโดนดอง ไม่มีอำนาจ ไม่มีลูกน้อง ผมเคยฟังท่านเอก อังสนานนท์พูดไว้ดีมากว่า การเป็นผู้บังคับบัญชา ที่ทำงานเราต้องอยู่ในสนาม อย่าทำงานในเฉพาะห้องทำงาน ให้ออกสนาม ถ้าเรามัวแต่ทำงานในห้อง เราก็จะไม่รู้อะไร นอกจากเซ็นหนังสือ ผมชอบเอาคำพูดของนายหลายๆ คนที่มาพูดกับผม ฟังแล้วดี เอาเป็นแนวความคิด หลักคิดให้เราใช้ได้ อย่างท่านจักรทิพย์ ชัยจินดา บอกว่า นายต้องทำตัวเป็นปุ๋ย ไปที่ไหนก็งอกงาม ไปไหนแล้วลูกน้องเห็นหน้าก็มีความสุข ไม่ใช่เห็นหน้าแล้วก็อยากจะหนี ดุฉิบหาย ต้องเห็นแล้วก็อยากคุยด้วย อยากทักทาย”

ทิ้งท้าย พล.ต.ต.ดำรงค์บอกว่า ที่ผ่านมาไม่ได้เก่งอะไร นักสืบคนอื่นเก่งกว่าเราเยอะ แต่อาจเป็นโชคที่เรามาอยู่ทีมฉลามดำของท่านสมพงษ์ คงเพชรศักดิ์ ทำให้ติดแบรนด์ฉลามดำ ตั้งแต่นั้นมา “ทว่าตอนนี้อยากจะบอกว่า ฉลามดำไม่มีแล้ว ผมกำลังจะทำให้ลูกน้องทุกคนเป็นลูกน้องของผู้การดำต่างหาก” นายพลปากน้ำโพหยอดมุก แต่ให้ความหมายลึกซึ้ง

 

 

RELATED ARTICLES