วงการตำรวจสูญเสียปูชนียบุคคลชั้นดีไปอีกนาย
พล.ต.อ.ชาญชิต เพียรเลิศ อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ถึงแก่กรรมด้วยโรคชราในวัย 72 ปี
ถือเป็นตำนานนายพลยอดสุภาษบุรุษคนหนึ่ง ใช้ชีวิตอย่างสมถะ ไม่มีประวัติด่างพร้อย หลังจากจบโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา สอบเข้าโรงเรียนนายร้อยตำรวจทำคะแนนอันดับ 1 ของรุ่น 19
ทั้งที่ความจริงไม่อยากเป็นตำรวจ เพราะพ่อเป็นทหารยศพันเอกบอกไว้ว่า
“ตำรวจไม่เหมือนทหาร ทหารถือคำพูดเป็นสำคัญ ตำรวจมีหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย คำพูดบางทีต้องดูตามภาษากฎหมาย แต่ทหารจะนับถือคำพูด รักษาสัจจะ”
กลัวลูกชายจะประสบปัญหาในชีวิตราชการ
สุดท้ายทางเดินหักเหหนีพ่อมาสอบเป็นตำรวจจนได้ และเริ่มต้นชีวิตเครื่องแบบสีกากีตำแหน่งผู้บังคับหมวด สถานีตำรวจภูธรอำเภอคำชะอี จังหวัดนครพนม สะสมประสบการณ์ในดินแดนที่ราบสูง 2 ปี กลับเข้าสู่เมืองหลวง
ผู้ใหญ่เห็นฝีมือดึงกลับมาอยู่โรงพักชนะสงคราม และบางซื่อ ที่มีคดีเยอะติดอันดับของนครบาล ทำให้มีโอกาสได้สัมผัสมือสืบสวนสอบสวนระดับอาจารย์ ตั้งแต่ มนต์ชัย พันธุ์คงชื่น จำรัส จันทร์ขจร มนัส ครุฑไชยยันต์ ประยูร โกมารกุล ณ นคร และสนั่น ตู้จินดา
อยู่ในทีมคลี่คลาย คดีเสือปุ้ย-บุญมี เชี่ยวบางยาง ก่อเหตุปล้นร้านทองมาหลายท้องที่
ทำให้เจ้าตัวรู้สึกภูมิใจในความเป็นตำรวจ
ตั้งปณิธานแก่ตัวเองว่า ขอเป็นตำรวจอาชีพที่มีเกียรติ มีความซื่อสัตย์ พยายามลด ละ เลิก ในสิ่งที่ไม่ชอบไม่ควร ต้องภูมิใจที่ประชาชนไว้วางใจเรา ให้เงินเดือนเรามาทำหน้าที่นี่
อย่าไปคิดถึงค่าตอบแทน
พ้นจากโรงพักเลือกทำงานสาย “บุ๋น” ขึ้นเป็นนายเวร พล.ต.อ.สุรพล จุลละพราหมณ์ ตั้งแต่สมัยผู้ช่วยอธิบดีกรมตำรวจถึงอธิบดีกรมตำรวจ พอผู้เป็นนายเกษียณได้ลงนั่งเก้าอี้ผู้กำกับการสำนักงานเลขานุการกรมตำรวจ ผู้กำกับการกำลังพล และเป็นรองผู้บังคับการกำลังพลอยู่ 7 ปี ถึงขึ้นผู้บังคับการกำลังพล
เป็นผู้ช่วยหัวหน้าฝ่ายอำนวยการกรมตำรวจ รองผู้บัญชาการสำนักงานนโยบายและแผน ติดยศ “พล.ต.ท.”ตำแหน่งผู้บัญชาการสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ ผู้บัญชาการสำนักงานกำลังพล ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จวบจนเกษียณอายุราชการเมื่อปี 2547
ทว่าจะได้รับความไว้วางใจจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติให้เข้ามาดำรงตำแหน่งคณะกรรมการปฏิรูป ด้านกระบวนการยุติธรรม (ตำรวจ)
น่าเสียดายที่มาด่วนจากก่อนภารกิจ “ปฏิรูปองค์กรเก่า” จะสำเร็จเสร็จสิ้น
