เหตุแห่งความชอบธรรม

 

ลงเอยด้วยปฏิบัติการจับตายหนุ่มคลั่งกราดยิง 3 ศพกลางเมืองเพชรบุรี

ใช้เวลาเจรจาเกลี้ยกล่อมนานกว่า 15 ชั่วโมงก่อนตัดสินใจ “ปิดเกม” ด้วย “กระสุนสังหาร” จำเป็นต้องกระทำการวิสามัญฆาตกรรม

พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ บึ่งรถขับไปด้วยตัวเองกลางดึกเพื่อบัญชาการเหตุการณ์ที่ยืดเยื้อข้ามคืน

เจ้าตัวยอมรับตัดสินใจจบ คนร้ายถูกวิสามัญฆกรรม เนื่องจากต่อสู้เจ้าหน้าที่

พร้อมเล่าย้อนลำดับเหตุการณ์ว่า ทราบข่าวเมื่อประมาณ 16.00 น. แต่ติดภารกิจสำคัญอยู่ และได้คุยกับ พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ  มี  พล.ต.ท.ธนายุตม์ วุฒิจรัสธำรงค์  ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 เดินทางไปก่อนแล้ว

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ สั่งการให้เดินทางไปดูสถานการณ์ที่จุดเกิดเหตุ ก่อนเดินทางโดยรถยนต์ แต่จะช้าบริเวณถนนพระราม 2 เพราะมีการก่อสร้างถนน เมื่อไปถึงยังจุดเกิดเหตุ ปัญหาแรกที่เห็น คือ คนที่ถูกยิงเสียชีวิตอยู่หน้าบ้าน ยังไม่สามารถนำศพออกมาได้ ทั้งที่สั่งการตั้งแต่ตอนเย็นอยากให้นำคนเจ็บ หรือผู้ที่เสียชีวิตเอาออกมาให้ได้

ปรากฏว่า รถตำรวจที่เข้าไปโดนยิง ตำรวจโดนยิงที่แก้ม  และรถหุ้มเกราะไม่มี

ในเรื่องนี้ถือเป็นปัญหาในการปฏิบัติหน้าที่ในเรื่องของปฏิบัติการพิเศษ ส่วนตัวรับปัญหานี้มา พล.ต.อ.ต่อศักดิ์บอกว่า จะนำเรียนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติจัดหาอุปกรณ์ช่วย

หลังจากนั้นได้นำรถหุ้มเกราะของหน่วยคอมมานโด กองบังคับการปฏิบัติการพิเศษเข้าไป ใช้เป็น “เกราะกำบัง” ขนาบข้างด้วยชุดปฏิบัติการพิเศษ มีเจ้าหน้าที่มูลนิธิขึ้นท้ายรถจนสามารถนำผู้เสียชีวิตออกจากจุดเกิดเหตุได้ และไม่มีการยิงปะทะต่อสู้ในช่วงที่มีการเข้าไปนำผู้เสียชีวิตออกมาทั้ง 3 ศพ

การสอบสวนทราบว่า ผู้ก่อเหตุกับผู้ที่ถูกยิงเสียชีวิต  2 คนแรก เป็นคู่กรณีกันในเรื่องของการทะเลาะวิวาทและทำร้ายร่างกาย ที่ในวันเกิดเหตุเป็นการสืบพยานในชั้นศาลเป็นครั้งที่ 3  คืนก่อนเกิดเหตุผู้ก่อเหตุรายนี้ได้ไปดื่มเหล้ามาจนเมาพอตอนเช้า มีกำหนดจะต้องเดินทางไปศาล มารดาเดินทางไปรอที่ศาลแล้ว แต่ตัวลูกชายไม่ไป กลับมาก่อเหตุยิงคู่กรณี อีกรายที่เป็นพยานในคดีถูกยิง 15 นัดจนหมดแมกกาซีน ในจังหวะนั้น มีพนักงานขับรถส่งของผ่านมาถูกยิงอีก 8 นัดทั้งที่ไม่มีส่วนรู้เห็นอะไรด้วย.

นอกจากนี้ ยังมี นายกองค์การส่วนตำบลต้นมะม่วง ขับรถผ่านมาถูกยิงกระสุนเฉี่ยวเข้าที่ลำคอได้รับบาดเจ็บ

สถานการณ์ความตึงเครียดผ่านไปถึงเวลา 01.00 น. พล.ต.อ.ต่อศักดิ์เล่าว่า บริเวณบ้านของผู้ก่อเหตุมี 2 ชั้น ผู้ก่อเหตุเหมือนได้รับการฝึกมา และเป็นนักยิงปืนที่ยิงแบบ Double Tap  หรือยิงแบบ 2 นัด ใช้ผ้าม่านปิดหน้าต่างไว้ทั้งหมดไม่ให้เห็นความเคลื่อนไหวภายในบ้าน

ต่อมาได้สั่งให้ทีมปฏิบัติการพิเศษค้นหาตัวโดยการใช้กล้อง termal และใช้ตัวมาร์คแมน ในการส่องกล้องจนรู้ว่าผู้ก่อเหตุอยู่ที่ชั้น 2  เมื่อเวลาผ่านไปเนิ่นนาน และตรวจสอบแน่ชัดแล้วว่าผู้ก่อเหตุไม่ได้อยู่ชั้นล่างแน่นอน เจ้าหน้าที่ตัดสินใจบุกเข้าจู่โจม

“ต้องขอชื่นชมชุดปฏิบัติการของอินทรีของภาค 7 และนเรศวร 261 และตัวที่คัดจากหน่วยคอมมานโดไป รวมถึงกองสืบสวนภาค 7 ที่หัวใจเกินร้อย เดินเข้าหาอาวุธปืนจริงๆ เนื่องจากผู้ก่อเหตุดักรอเจ้าหน้าที่อยู่แล้ว”

“แล้วทุกอย่างเป็นไปตามคาดการณ์” พล.ต.อ.ต่อศักดิ์บรรยายภาพและขยายความว่า   เมื่อเจ้าหน้าที่เข้าเคลียร์ที่ชั้น 1 ได้ พอขึ้นไปชั้น 2 เป็นมุม Dead Zone จังหวะที่จะขึ้นไป ผู้ก่อเหตุยิงสวนมา แต่กระสุนถูกโล่กำบัง   

คนร้ายยิงปืนใส่เจ้าหน้าที่ทั้งหมดประมาณกว่า 30 นัด จากที่เห็นแมกกาซีน ขนาด 9 มม.ตกอยู่ถึง 2 แมก

มือปืนคนที่ก่อเหตุหลบซ่อนตัวอยู่ในห้องพระ โดนกระสุนลูกซอง ยิงตามร่างกาย นอนเสียชีวิตในลักษณะคว่ำหน้า  ในครั้งนี้หน่วยปฏิบัติการพิเศษไม่ได้ใช้ปืนที่เป็น 5.56 เพราะพื้นที่เกิดเหตุเป็นเขตเมือง เกรงว่ากระสุนจะทะลุ ไปถูกพี่งประชาชน

ยืนยันว่า เจ้าหน้าที่ก็บริหารจัดการพื้นที่ เคลียร์คนออก นอกบริเวณพื้นที่เพราะห่วงประชาชนจะไม่ปลอดภัย

ปฏิบัติภารกิจเสร็จเมื่อช่วงเวลาประมาณตี 4 เข้าไปตรวจสอบในห้องสุดท้ายเป็นห้องพระ เห็นคนร้ายนอนเสียชีวิต ก่อนส่งมอบพื้นที่ให้แพทย์เข้ามาชันสูตรพลิกศพ ร่วมกับอัยการและฝ่ายปกครอง

พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ย้ำว่า หากเป็นเคส Active shooter คือ เจอใครจะยิงไปทั่วโดยไม่สนใจ  เจ้าหน้าที่จะต้องเข้าปฏิบัติการตั้งแต่ครั้งแรก ทว่าเคสนี้ไม่ใช่ Active shooter เพราะเลือกยิงคู่กรณีก่อน ส่วนอีก 2 คนมาเห็นเหตุการณ์ก็จำเป็นต้องยิง ไม่ได้ยินแบบมั่วซั่ว  ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องใช้ยุทธวิธีในการเจรจา มีเวลาให้แม่ของผู้ก่อเหตุมาเจรจาต่อรอง แต่ผู้ก่อเหตุไม่ฟัง ตัดการติดต่อสื่อสารทั้งหมดและยิงปืนออกมาเป็นระยะ

เป็นเหตุผลความจำเป็นต้องตัดสินใจบุกเข้าปฏิบัติการ หากทิ้งเวลาเนิ่นนานจะเป็นอันตรายและในช่วงเช้าจะมีปัญหาหลายอย่าง เพราะเป็นวันธรรมดาที่คนจะต้องสัญจรไปมาจะกระจัดกระทบอะไรหลายๆอย่าง

“เจ้าหน้าที่มีการปรึกษา เหตุแห่งความชอบธรรมของกฎหมายแล้วเข้าปฏิบัติการ การปฏิบัติครั้งนี้ประสบความสำเร็จต้องขอบคุณทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง” รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติว่า

เจ้าตัวกล่าวด้วยว่า  อยากฝากถึงสื่อมวลชนว่า เคสที่เกิดไปแล้วอย่าไปตอกย้ำ เพราะเป็นการตอกย้ำความรู้สึกและการไปเปิดวาร์ปของผู้ก่อเหตุ

ทำให้ผู้ก่อเหตุกลายมาเป็น “ฮีโร่” แต่ตำรวจที่เข้าปฏิบัติหน้าที่กลายเป็น “จำเลยของสังคม”   

“เพราะฉะนั้นต่อไปคนที่เป็นโรคซึมเศร้า หรือคนที่เป็นจิตเวช เมื่อเกิดการคุ้มคลั่งจะเป็นพฤติกรรมของการเลียนแบบ หากนับเนื่องจากเหตุการณ์กราดยิงที่เทอร์มินอล 21 ที่จังหวัดนครราชสีมาจนถึงปัจจุบันพบว่ามีเหตุการณ์เลียนแบบในลักษณะนี้แล้วประมาณ 7 ครั้ง”

นายพลคนดังอยากขอให้งดการเสนอข่าวที่เป็นเชิงบวกของผู้ก่อเหตุ เพราะเรากำลังสร้างฮีโร่ของกลุ่มที่เป็นโรคซึมเศร้า หรือกลุ่มที่เป็นจิตเวช

ข้อมูลนี้เป็นข้อมูลการวิจัยในประเทศสหรัฐอเมริกาว่าจะมีการเกิดการเลียนแบบขึ้นมา

ฝากสื่อมวลชนไว้เป็นข้อคิด  

 

RELATED ARTICLES