“ผมคิดว่า เส้นทางชีวิต เขาลิขิตไว้แล้ว”

 

ดีตผู้บัญชาการตำรวจนครบาลผู้เคยสร้างตำนานเป็นนักบินเครื่องพระที่นั่งของกองบินตำรวจ

พล.ต.ท.อนันต์ ภิรมย์แก้ว บ้านเดิมอยู่บางกอกน้อย ริมคลองมอญ ฝั่งธนบุรี จบชั้นมัธยมโรงเรียนชิโนรสวิทยาลัย หลังจากนั้นสอบเข้าโรงเรียนนายร้อยตำรวจรุ่น 18 จบมาประจำกองบัญชาการตำรวจนครบาล อยู่สถานีตำรวจนครบาลพระราชวัง

ได้ 4-5 เดือนย้ายเป็นผู้บังคับหมวดโรงพักภูธรเมืองจันทบุรี สมัยนั้นทำหน้าที่ทั้งสอบสวน ปราบปราม หน่วยปฏิบัติการพิเศษ ควบคู่ฝึกปกครองตำรวจ ปีเศษมีสอบไปเรียนบินที่ต่างประเทศ พล.ต.ท.อนันต์ย้อนความหลังว่า ตอนนั้นอยากไปเที่ยวเมืองนอกแล้วเป็นนักบินด้วยยิ่งดี เขากำหนดคุณสมบัติ เป็นชายโสด อายุไม่เกิน 25 ปี ไปก็สมัครสอบได้ เป็นรุ่นแรก 10 คน มีเพื่อนในรุ่นที่ไปเรียนด้วยกันอาทิ  ณรงค์วิทย์ ไทยทอง สุพจน์ สิริพูน วินัย กาญจนอาภา สุรศักดิ์ ไชยโกมินทร์ และป้อมเพชร นาคธน รุ่นพี่อีกคนเป็นหัวหน้าทีม

พวกเขาใช้เวลาเรียนภาษาของกองทัพอากาศอยู่รัฐเท็กซัส ประเทศสหรัฐอเมริกา นาน 4 เดือนแล้วถึงไปเรียนบินเบื้องต้นอีก 4 เดือน เป็นเครื่องเฮลิคอปเตอร์ จากนั้นไปต่อที่ฟอร์ดวอเตอร์ รัฐแอละแบมา ฝึกเรียนเครื่องบินรบอีก 4 เดือน กระทั่งจบหลักสูตรการบินเครื่องบินปีกหมุนสำหรับนายทหาร โรงเรียนการบินกองทัพบกสหรัฐอเมริกา พ.ศ.2510

พล.ต.ท.อนันต์เล่าว่า ช่วงนั้นมีสงครามเวียดนาม สถานการณ์ในประเทศไทยไม่ค่อยดี สหรัฐอเมริกาถึงเปิดหลักสูตรให้ไปฝึกอบรมใช้เวลา 1 ปีกลับมาประจำที่กองกำกับการบินตำรวจ ยังขึ้นตรงอยู่กับตำรวจตระเวนชายแดน ยังหนุ่ม ยังโสด ถึงจะเสี่ยงก็โอเค คิดว่า รับใช้ประเทศชาติ ภารกิจมีทั้งส่งกำลัง ส่งอาหาร รับส่งแม่ทัพไปประชุมตามพื้นที่ชายแดน ประจำอยู่สวนสน ที่ตั้งของกองกำกับการพลร่มนเรศวร ประจวบคีรีขันธ์ ในปัจจุบัน ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกาส่งเครื่องเบลล์ หรือฮิวอี้ ที่ทันสมัยที่สุดมาใช้

ต่อมามีโอกาสปฏิบัติหน้าที่นักบินเฮลิคอปเตอร์พระที่นั่งถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ เจ้าฟ้าทุกพระองค์ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี จนได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯพระราชทานพระสมเด็จจิตรลดา และเหรียญราชรุจิทอง เมื่อปี 2511

ภาพความประทับใจถือเป็นเกียรติแห่งความภาคภูมิใจที่มีโอกาสรับใช้เบื้องพระยุคลบาท พล.ต.ท.อนันต์ ไม่เคยลืม เขาเล่าว่า จากเครื่องเบลล์ ตอนหลังมาขับเครื่องซิคอร์สกี เอส 62 สามารถบินลงน้ำได้ ทำให้ได้รับใช้ภารกิจเวลาพระเจ้าอยู่หัวแปรพระราชฐานไปประทับวังไกลกังวล บางทีเสด็จข้ามไปฝั่งตำหนักพัทยา รวมถึงเวลาสมเด็จย่า ช่วงวันประสูติเดือนตุลาคม ท่านจะเสด็จลงเรือตำรวจน้ำไปเยี่ยมราษฎรตามหมู่เกาะต่างๆ แถวภาคใต้ และภาคตะวันออก เราก็จะบินตามไปจอดอยู่บริเวณนั้น

“เครื่องเฮลิคอปเตอร์ที่ผมบินก็ลงได้เลย ไปจอดอยู่ไม่ไกลจากเรือ คอยตามรับส่งเสด็จ หรืออย่างตอนสมเด็จย่าเสด็จประทับวังไกลกังวลปีหนึ่งน้ำท่วมมาก คนและสุนัขต้องขึ้นไปบนหลังคา ผมก็มีหน้าที่ช่วยอพยพไปอยู่ที่ปลอดภัย เสร็จแล้วพาสมเด็จย่าเสด็จขึ้นเครื่องบนเลาะกลับวังไกลกังวลช่วงอากาศมืด ฝนตกเป็นระยะ”

สวมบทนักบินประจำแผนก 1 กองกำกับการ 2 กองบินตำรวจราว 5 ปี เรียนต่อปริญญาโทสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ปรากฏว่า มีเปิดรับสมัครรองสารวัตรจราจรรุ่นแรกของนครบาล  กำหนดคุณสมบัติ อายุ มีความรู้ภาษาอังกฤษ เพื่อให้ไปสอบสวนคดีจราจรเฉพาะท้องที่ที่มีชาวต่างประเทศอยู่เยอะ เขาตัดใจทิ้งหน่วยกองบินตำรวจ สอบเป็นรองสารวัตรจราจร สถานีตำรวจนครบาลลุมพินี 2 ก่อนเป็นรองสารวัตร สถานีตำรวจท่าเรือ ปรับคุณวุฒิปริญญาโทโยกมาเป็นหัวหน้าแผนกสถิติวิจัยและแผนการ กองบัญชาการตำรวจนครบาล

เป็นสารวัตรปกครองป้องกัน สถานีตำรวจนครบาลบางรัก ร่วมจับกุมคนร้ายสวมหมวกไหมพรมก่อคดีขึ้นบ้านข่มขืนสาวเจ้าของบ้านผู้เสียหาย ก่อนขยับเป็นสารวัตรสืบสวนสอบสวน และสารวัตรใหญ่ สถานีตำรวจนครบาลบางรัก จู่ ๆ โรงพักปทุมวันมีปัญหา ผู้บังคับบัญชาให้ย้ายเป็นสารวัตรใหญ่ปทุมวันแทนแล้วขึ้นรองผู้กำกับการนครบาล 9 ช่วยงานสำนักงาน พล.ต.อ.ณรงค์ มหานนท์ อธิบดีกรมตำรวจ เลื่อนเป็นอาจารย์ที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจ

 “ความจริงผมเกือบเป็นผู้กำกับการตำรวจภูธรจังหวัดนราธิวาส” พล.ต.ท.อนันต์ว่า “ช่วงนั้นหลายจังหวัดภาคใต้มีปัญหา ผู้บังคับบัญชาอยากให้ไป ผมก็พร้อมจะไปนะ แต่เมียกำลังท้อง เลยไม่ได้ไป ผ่านไม่กี่เดือนในนครบาลมีปัญหาอีกเกี่ยวกับบ่อนการพนัน เที่ยวนี้ผู้บังคับบัญชาให้มาลงเป็นผู้กำกับการนครบาล 1 แทน”

ได้อาวุโสขึ้นเป็นรองผู้บังคับการตำรวจนครบาลพระนครเหนือ และเป็นผู้บังคับการกองอำนวยการ กองบัญชาการศึกษา เพียง 4-5 เดือน ย้ายกลับมาเป็นผู้บังคับการตำรวจจราจร นายพลตำรวจโทวัยเกษียณเล่าว่า เกิดปัญหาภายในหน่วยจราจรเกี่ยวกับส่วยผลประโยชน์ ท่านประทิน สันติประภพ อธิบดีกรมตำรวจเรียกไปพบ บอกจะให้ไปทำงานสำคัญ เราก็ไม่รู้อะไร แต่บอกขอบคุณท่านแล้วก็กลับ ไม่นานมีคำสั่งออกเป็นผู้บังคับการตำรวจจราจร

อยู่ไม่ถึงปีย้ายอีกครั้งเป็นผู้บังคับการตำรวจนครบาลพระนครเหนือ “ผมก็ไม่รู้ มีคนมองว่า ผมเส้นดี ทั้งที่จริงไม่ใช่ ผู้บังคับบัญชาให้มา เหมือนว่าบุญวาสนา สมัยผมไม่มีวิ่งเต้นนะ เป็นเรื่องที่ผู้บังคับบัญชาจะพิจารณาจากเสียงที่ทั่วๆ ไปจะพูดถึง ถ้าเหมาะสม ผู้บังคับบัญชาจะพิจารณา ก็จบเรียบร้อย ไม่มีเสียงครหานินทา ไปทำงานให้เต็มที่ ผู้บังคับบัญชาก็จะบอกว่าอย่าทำให้เสียชื่อนะ ผมก็ต้องทำให้ดี พยายามรักษาชื่อ ไม่ให้เสียหาย ไม่ให้ถูกกล่าวหาว่าทุจริต มีผลประโยชน์ จะไม่ยอมมาเสียเรื่องอย่างนี้”

เลื่อนเป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจนครบาล รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล จ่อแคนดิแดตเป็นลูกหม้อนั่งเก้าอี้ผู้นำหน่วย สุดท้ายต้องข้ามเป็นผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 ถึงคืนถิ่นกลับมาเป็นผู้บัญชาการตำรวจนครบาล กระทั่งเกษียณอายุราชการ “ผมมองว่า ถ้าเราไปคิดไปหวัง มันมีสิทธิคิด แต่อย่าไปหวังอย่างโน่น อย่างนี้ ผมคิดว่า เส้นทางชีวิต เขาลิขิตไว้แล้ว เหมือนเวลาคุยกับเพื่อนๆ ว่า คนเราเกิดมา เขาก็เขียนใส่ซองปิดผนึกไว้เรียบร้อยแล้ว เพียงแต่เราไม่ได้อ่าน ผมก็คิดไม่ถึงหรอกว่า มันจะเป็นมาอย่างนี้ เอาว่าตั้งแต่ไปเรียนบิน ไปแล้วจะกลับมายังไง มันก็ต้องไปให้ถึง อย่างมากสูงสุดก็เป็นผู้บังคับการกองบิน ถือว่าสุดยอดแล้ว”

อดีตผู้บัญชาการตำรวจนครบาลบอกอีกว่า สมัยหนุ่มตอนไปเป็นนักบิน เครื่องพิมพ์ดีดตั้งแต่เป็นผู้หมวดเมืองจันทน์ เราก็ขาย คิดว่า คนจะแขวนนวม แขวนสตั๊คแล้ว แต่ก็ยังกลับมาอยู่โรงพัก แล้วช่วงที่ไปเป็นผู้การที่กองอำนวยการศึกษา กองบัญชาการศึกษา คิดว่า ไปแล้วยังมีโอกาสก้าวหน้าทางนั้น เลื่อนไหลไปเป็นนายพลถือว่าโอเคแล้ว ก็กลับ

เจ้าตัวมีหลักการทำงาน คือ เปิดความคิดริเริ่ม ทำงานด้วยความถูกต้องรวดเร็วเป็นธรรม และเสมอภาค มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ หมั่นศึกษาหาความรู้และประสบการณ์อยู่ตลอดเวลาตลอดจนมีความพากเพียร ความคิดสร้างสรรค์ พยายามปรับปรุงงาน โดยคำนึงถึงประโยชน์ของส่วนรวมและประเทศชาติ

ขณะดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 วางแผนป้องกันปราบปรามอาชญากรรมอย่างจริงจัง สามารถควบคุมการเกิดของคดีอุกฉกรรจ์สะเทือนขวัญ คดีประทุษร้ายต่อชีวิต ร่างกายและเพศ คดีประทุษร้ายต่อทรัพย์และคดีน่าสนใจได้น้อยลง นับว่า ประสบความสำเร็จในด้านการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมอย่างดีเยี่ยม

เมื่อกลับมาเป็นผู้บัญชาการตำรวจนครบาลตระหนักในหน้าที่รับผิดชอบอย่างเต็มกำลังความสามารถเพื่อประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติ อาทิ นำแนวทางตามพระบรมราโชวาทกระแสพระราชดำรัสและโครงการพระราชดำริต่างไปไปสู่การปฏิบัติให้บังเกิดผลตามพระราชประสงค์อย่างจริงจังและรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็น โครงการบรรเทาปัญหาการจราจรในเขตเมืองหลวง มีโครงการหมอถนนช่วยเหลือปฐมพยาบาลผู้บาดเจ็บ ทำคลอด นำหญิงใกล้คลอด และผู้

เขายังวางแผนอำนวยการปฏิบัติด้านการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมตลอดจนแก้ปัญหายาเสพติดที่เป็นปัญหาสังคมที่รัฐบาลถือเป็นนโยบายหลักในการบริหารประเทศ โดยเฉพาะคดียาบ้าที่มีการแพร่ระบาดอย่างหนักในช่วงระหว่างเดือนตุลาคม 2543 ถึงเดือนกรกฎาคม 2544 สามารถจับกุมยาบ้าได้จำนวนกว่า 13 ล้านเม็ด

กระทั่งถูกสื่อมวลชนยกให้เป็นบุคคลตัวอย่างแห่งปี สาขาผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ดีเด่น ประจำปี 2544

ประสบการณ์ชีวิตผู้พิทักษ์สันติราษฎร์มากมาย พล.ต.ท.อนันต์ มีมุมมองฝากถึงตำรวจรุ่นใหม่ว่า น่าเห็นใจ สมัยก่อนทำงาน ก็คิดว่าอยู่ในสายตาทั้งเพื่อนร่วมงาน ผู้ใต้บังคับบัญชา และโดยเฉพาะผู้บังคับบัญชา เมื่อจะย้ายจากโรงพัก หรือไปลงโรงพัก เขาต้องจับตามองว่า คนนี้เป็นยังไง แม้กระทั่งลูกน้อง ทุกคนถึงต้องตั้งใจทำงานและรักษาสถานภาพตัวเองเอาไว้ “โดยเฉพาะเรื่องของความประพฤติ คนนี้เป็นไง ดีไหม เอารัดเอาเปรียบไหม มีใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ลูกน้องไหม ผลงานเป็นอย่างไร”

“ส่วนเรื่องทำงาน ผมเชื่อว่า ทุกคนทำเป็นทั้งนั้น เพราะไม่ได้แบ่งสายงานเป็นแท่งๆ จนกระทั่งไม่มีโอกาสได้ทำ เมื่อทุกคนรู้จักงานตำรวจ ส่วนว่าจะเด่น ดัง แค่ไหน ก็แล้วแต่ อย่างน้อยเบสิกก็ต้องรู้กันอย่างดี พอที่จะไปเป็นผู้บังคับบัญชา เป็นหัวหน้าหน่วย เป็นครูบาอาจารย์ สอนลูกน้อง ลูกศิษย์ เป็นที่พึ่งได้ มีใจเป็นธรรม”

อดีตนายพลนครบาลย้ำว่า ตอนที่เราเด็กๆ ถ้าเราได้รับความเป็นธรรมมา เรารู้ว่ามันเป็นยังไง ทำยังไง แล้วจะมีความเจริญก้าวหน้า รุ่นหลังๆ ก็จะมองตาม แล้วผู้บังคับบัญชาก็จะดูแล เดี๋ยวนี้ก็แล้วแต่ บางคนอย่างสมมติว่า จบจากที่เดียวกัน จะจบมหาวิทยาลัย หรือโรงเรียนนายร้อย ทำงานไป คิดว่าศักยภาพไม่ต่างกันเท่าไหร่ นอกจากบางคนที่อาจจะเบี่ยงเบนไปเรื่องพฤติกรรม แต่ความรู้ ความสามารถ ความประพฤติ ไม่ได้ต่างกัน

” แต่จะแปลกตรงที่ทำไม พออยู่ไปสักระยะ รุ่นเดียวกัน ห่างกันไปเกือบ 10 ปี บางคนเป็นสารวัตร เป็นผู้กำกับการแล้ว แต่บางคนยังไม่ได้เป็นสารวัตร ทำให้กำลังใจ ขวัญเขาหมดไป ไฟก็มอดไป อย่างนี้ เวลาจะขึ้นที่ว่า 33 เปอร์เซ็นต์ก็ขึ้นไปแบบคนไม่มีคุณภาพ เป็นแบบอะไรก็ไม่รู้ แทนที่จะเห็นว่า เขาเป็นไอ้นี่มาตั้ง 10 ปีนะ ให้เขาขึ้น เขามีประสบการณ์มาก คุณจะเป็นอะไร สังเกตไหม อย่างระดับหน่วยสันติบาล สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองในอดีต คนที่จะขึ้นต้องเป็นลูกหม้อมา ผู้ใต้บังคับบัญชายอมรับ เพราะถ้ายอมรับ ก็ทำงานได้เต็มที่”

“ตำแหน่งหัวหน้าหน่วย ตำแหน่งบริหาร อย่างเหมือนแพทย์ จะไปเป็นเฉพาะทาง ต้องเบสิกนั่นมา ก็น่าเห็นใจน้องๆ ก็ต้องทำต่อไป ยิ่งไปเบี้ยวไปอะไรก็จะยิ่งไม่มีโอกาส เป็นเรื่องดวง เหมือนเขาพับเอาไว้แล้ว แต่ไม่ได้หมายความว่าให้ไปเชื่อว่าตามบุญตามกรรมนะ ให้ทำเต็มที่ ส่วนผลมันจะยังไงก็แล้วแต่มัน”

อนันต์ ภิรมย์แก้ว !!!

RELATED ARTICLES