“ผมทำงานแบบไม่ชอบสร้างภาพอะไร”

นักบินเฮลิคอปเตอร์พระที่นั่งผันตัวเองจนออกมาเป็นนายพลมือปราบ

พล.ต.ท.สุรศักดิ์ ไชยโกมินทร์ อดีตผู้ช่วยผู้บัญชาการสำนักงานแผนงานและงบประมาณ ชาวเมืองกาญจนบุรี เกิดในครอบครัวข้าราชการครู พี่น้อง 5 ชายสวมเกียรติประวัติข้าราชการชั้นดี ตั้งแต่ น.อ.กิติ ไชยโกมินทร์  อดีตหัวหน้ากอง กองบัญชาการทหารสูงสุด น.ท.วันแรม ไชยโกมินทร์ นักเรียนเตรียมนายเรือรุ่น 4 อดีตอาจารย์โรงเรียนนายเรือ พล.ท.รวมศักดิ์ ไชยโกมินทร์ นักเรียนเตรียมนายร้อยทหารบกรุ่น 7 อดีตแม่ทัพภาค 3 นายวัลลภ ไชยโกมินทร์ อดีตอาจารย์โรงเรียนประจำจังหวัดศรีสะเกษ และเขาน้องนุชสุดท้องจบนักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่น 18

เริ่มต้นบรรจุตำแหน่งรองสารวัตรแผนก 3 กองกำกับการ 7  สันติบาล ออกหาข่าวความเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ในยุคสงครามเย็น มีส่วนให้ได้รับการสนับสนุนให้ไปหัดฝึกบินเฮลิคอปเตอร์ที่โรงเรียนการบินกองทัพบก สหรัฐอเมริกา เนื่องจากมีประกาศรับสมัครนายตำรวจที่จบโรงเรียนนายร้อยตำรวจอายุไม่เกิน 25 ปี

เขาสอบผ่านเข้าโครงการรับทุนของสหรัฐอเมริกาไปฝึกรุ่นแรก พร้อมกับ อนันต์ ภิรมย์แก้ว ณรงค์วิช ไทยทอง วินัย กาญจนาภา บุญเจือ นุกูลรัตน์ เพื่อนร่วมรุ่นนักเรียนนายร้อย ผ่านหลักสูตรกลับมาเป็นนักบินกองบินตำรวจอยู่ 5 ปี ได้รับเกียรติให้ขับเฮลิคอปเตอร์พระที่นั่งสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีเสด็จในถิ่นทุรกันดารบ่อยครั้ง กระทั่งไปสอบเรียนปริญญาโทรัฐประศาสนศาสตร์ สถาบันบัญฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ หรือนิด้า จบออกมาพร้อมเพื่อนรักอนันต์ ภิรมย์แก้ว

พล.ต.ท.สุรศักดิ์เล่าว่า นครบาลเปิดตำแหน่งรองสารวัตรจราจร ตัดสินใจออกจากกองบินไปกับอนันต์เข้าพบผู้บัญชาการตำรวจนครบาล จำไม่ได้ว่าเป็นเสน่ห์ สิทธิพันธ์ หรือสุวรรณ รัตนชื่น ทั้งที่ไม่รู้จักมาก่อนเพื่อขอสมัครใจย้ายเข้าเมืองหลวง ได้เป็นรองสารวัตรจราจรลุมพินี 1 ส่วนอนันต์ไปลงโรงพักลุมพินี 2 แล้วขึ้นสารวัตรสอบสวนทุ่งมหาเมฆ เป็นสารวัตรจราจรมักกะสัน เป็นนายเวรรองอธิบดีกรมตำรวจ

หลังจากนั้นพลิกทางเดินชีวิตเข้าไปเป็นรองผู้กำกับการ 2 กองปราบปราม ยุค ณรงค์วิช ไทยทอง เพื่อนร่วมรุ่นเป็นผู้กำกับ อยู่ได้ 6 เดือน ณรงค์วิชถูกเด้ง เมื่อ บุญชู วังกานนท์ ก้าวมาคุมกองปราบปรามอีกระลอก มีการล้างบางตำรวจหลายคนอันเนื่องมากจากพิษคดียิงผู้พิพากษาทางภาคใต้ แต่เขายังอยู่ทำงานปิดทองหลังพระที่กองปราบปราม กระทั่งขยับขึ้นผู้กำกับการ 3 กองปราบปราม ผู้กำกับการ 5 กองปราบปราม และรองผู้บังคับการกองปราบปราม

เจ้าตัวจำได้ว่า ทำงานเกือบทุกคดีที่ได้รับมอบหมาย เพราะเป็นหน้าที่ที่ควรต้องทำ บางครั้งอาจไม่เป็นคดีครึกโครมสำคัญ เช่น คดีสารวัตรปราบปรามถูกยิงพร้อมเมียลูกน้องในม่านรูดจังหวัดอุตรดิตถ์ ตำรวจพื้นที่จับกุมตำรวจชั้นประทวนที่เป็นสามีคนตายกับเพื่อน แต่จริง ๆ แล้วเป็นฝีมือของเพื่อนที่ถูกจับมาด้วยกันซึ่งดันเป็นชู้คนแรกหึงฝ่ายหญิง ทั้งคู่ไปด้วยกันจริง แต่พอเคาะห้องเปิดประตูมา ฝ่ายตำรวจลูกน้องเห็นเป็นสารวัตรก็เผ่นหนี ทว่าเพื่อนที่ไปด้วยหึงกว่าผลักประตูเอาปืนยิงเลย

“พนักงานสอบสวนดำเนินคดีทั้งคู่ ผมไปเห็นสภาพที่เกิดเหตุแล้วมองค้าน น้องสาวไอ้ตำรวจคนนั้นมาหาที่กองปราบขอร้องให้ช่วยเป็นพยานฝ่ายจำเลยด้วย ผมก็มองว่า คนที่เป็นผัวจริงไอ้นี่มันซื่อบื้อ เชื่อเพื่อนที่ชวนไป ผมก็มีความเห็นแย้งเป็นพยานฝ่ายจำเลย เพราะผมเห็นว่าไอ้เพื่อนบงการหมด มันไม่ได้ยุ่ง แค่มันเห็นสารวัตรมันก็หนีก่อนแล้ว” พล.ต.ท.สุรศักดิ์ว่าถึงประสบการณ์ในสมัยสวมเครื่องแบบติดอาร์มกองปราบปราม

“ผมทำงานแบบไม่ชอบสร้างภาพอะไร” นายพลวัยเกษียณบอกหลักการทำงานจนอาจทำให้ตัวเองอาจไม่มีชื่อติดทำเนียบมือปราบพระกาฬเหมือนหลายคน ถึงกระนั้นก็ตาม เขาก็ยังมีบทบาทสำคัญในการคลายปมสังหาร 2 แม่ลูกตระกูลศรีธนะขัณฑ์ ในจังหวะไปช่วยราชการสำนักงาน พล.ต.อ.พรศักดิ์ ดุรงควิบูลย์ ขณะนั้นเป็นผู้ช่วยอธิบดีกรมตำรวจทำหน้าที่หัวหน้าตำรวจภูธรภาค 1 ด้วยการฟันธงว่าคดีที่เกิดขึ้นไม่ใช่อุบัติเหตุ แต่เป็นการฆาตกรรมอำพรางนำไปสู่ฉากคดีประวัติศาสตร์โด่งดังระดับชาติ

ช่วยสำนักงานเพื่อนร่วมรุ่นนักเรียนนายร้อยไม่นาน พล.ต.ท.สุรศักดิ์ยอมรับว่า อึดอัดพอสมควรเมื่อเห็นนายตำรวจรุ่นน้องห่างกันเป็น 10 กว่าปีจะขึ้นมาเป็นนาย เราคิดว่า ไม่ได้สิ้นไร้ไม้ตอกอยู่กองปราบก็มีการมีงานทำเยอะแยะ มาอยู่สำนักงานบาทเดียวยังไม่ได้ พอพรศักดิ์ขึ้นรองอธิบดีกรมตำรวจก็ขอย้ายกลับไปทำงานกองปราบปรามตามจับแมน เตาปูนพกปืนเมาอาละวาดอยู่ในถิ่นบางซื่อ โดยไม่มีปฏิกิริยาต่อต้าน เพราะเราไปเอง จับเอง และไม่ได้มีปัญหาอะไรกันมาก่อน

ปี 2540 ขึ้นเป็นผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดลพบุรี ออกภูธรครั้งแรกในชีวิต พล.ต.ต.สุรศักดิ์ ฝากผลงานไว้มากมายในเมืองลิงถิ่นทหาร เสนอตั้งวงดนตรีตำรวจเปิดยุทธศาสตร์เชิงรุกด้านงานมวลชนสัมพันธ์ ตั้งทีมตำรวจสารพัดช่าง ซื้อเครื่องมือเครื่องไม้อุปกรณ์ให้ตำรวจที่มีความเชี่ยวชาญด้านช่างออกช่วยเหลือชาวบ้าน “ลพบุรีเป็นเมืองกว้าง ผมพาลูกน้องเข้าหาชุมชนเอาข้าวกล่องข้าวห่อไปกิน เย็นก็เล่นดนตรีให้ชาวบ้านฟัง คนบ้านนอกเรารู้ดีว่า เวลาข้าราชการไปหมู่บ้านเดือดร้อนฉิบหายกันหมด ทั้งกำนัน ผู้ใหญ่บ้านก็ต้องมาดูแล แต่ผมไม่มีเลย ไม่มีการรับเลี้ยง เอาข้าวกล่อง ข้าวห่อไปเอง วงดนตรีก็ไม่ได้ร้องอย่างเดียว ผมให้เด็ก ๆ มาร่วมสนุกด้วย อุปกรณ์อะไรที่เสีย ผมก็มีตำรวจซ่อมให้ฟรี”

อดีตผู้บังคับการตำรวจภูธรลพบุรีทำผลงานถึงขนาด “ต้อย ต้นโพธิ์” เอาไปเขียนชมในคอลัมน์เสียบซึ่งหน้าของหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ทิ้งท้ายประโยคเด็ดว่า “ไม่จำเป็นต้องถือปืนเสมอไป ตำรวจถือกีตาร์ก็ปราบโจรได้”

ทว่าปีเดียวย้ายเป็นผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสมุทรปราการเข้าแก้ปัญหาโกงเลือกตั้งท้องถิ่นปากน้ำที่โด่งดังมากในยุคนั้น พล.ต.ท.สุรศักดิ์อธิบายหลักการว่า ตำรวจต้องตรงไปตรงมา ตอนนั้นเอานายตำรวจมาคุมทุกหน่วยเลือกตั้ง ทุกพื้นที่ แม้นายตำรวจไม่ค่อยพอใจเท่าไร หาว่าเป็นงานชั้นประทวน ทีนี้ก็มีเหตุการณ์หนึ่งใช้บัตรประชาชนปลอมมาเลือกตั้ง นายตำรวจที่หน่วยจับได้ก็อธิบาย พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ขณะนั้นเป็นรองนายกฯ ได้อย่างคล่องแคล่ว ว่องไว ตอนนั้นสื่อจ้องจับผิดอย่างเดียว สรุปว่า เราเอาอยู่

  “พวกจัดเลือกตั้งเอางานของสมุทรปราการไปชมในที่ประชุมกระทรวงว่า เราสามารถแก้ปัญหาได้ดี ให้ตำรวจมาดูงาน ผมมองว่า ตำรวจดูแลรักษาความถูกต้องตรงนี้ไม่ได้ อย่าเป็นตำรวจเลยนะ ก็อยากให้เห็นภาพ ปากน้ำสมัยก่อนดังเรื่องโกงเลือกตั้ง แต่ตอนหลังเอาอยู่หมด ถ้าตำรวจไม่เอาสักอย่าง ไม่มีทางหรอก ถ้าไม่แก้ปัญหาบางทีมันก็ลำบาก มันแรงมาก”

ทำผลงานอยู่ปากน้ำ 2 ปีย้ายเป็นผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดระยอง อีกปีย้ายอีกเป็นผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดราชบุรี เกิดคดียิงรถรับส่งนักเรียนบ้านคาวิทยา กลายเป็นเรื่องที่เขาค้างคาใจถึงทุกวันนี้ พล.ต.ท.สุรศักดิ์ระบายความรู้สึกอยากตำหนินายพลบางคนพาจอบิ ที่ถูกมองเป็นแพะไปช็อปปิ้งตามห้างสรรพสินค้า ข้อเท็จจริงเขาอธิบายว่า พอเกิดเหตุ เราตั้งคณะทำงาน 3 ฝ่าย มีทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง ไม่นานเรารู้ว่า พุโคะ กะหร่างที่อยู่แถวนั้นต้องสงสัย ทหารก็ไปได้ข่าวมาว่า จอบิ เป็นลูกน้องเลยวางแผนล่อพุโคะ แต่ตำรวจตระเวนชายแดนไปคว้าจอบิมาก่อน ทำให้พุโคะไหวตัวเตลิดหนี อย่างไรก็ตาม พอได้จอบิมา ก็พาไปชี้ที่เกิดเหตุถูกทุกอย่าง ปืนที่ยิงตอนหลังก็ได้

“คนเราถ้ามันไม่ยุ่งเกี่ยว ไม่มีทางหรอกที่มันจะชี้ได้ถูก มันเป็นลูกน้อง แล้วมันก็ให้ผู้กำกับปากท่อ ไปที่ที่มันไป ออกไปประมาณ 7 โมงเช้า กลับมาเกือบทุ่มหนึ่ง ผมก็บอกตำรวจที่ทำงานว่า เสียสละหน่อยเถอะ ทำคดีก็ทำให้มันสมบูรณ์แบบ ตอนหลังก็ไปได้ปลอกกระสุน อะไรได้หมด  การสอบปากคำ ผมอัดเทปไว้หมด มีล่ามแปล เมียจอบิอุ้มลูกกระเตงยังด่าผัวว่า บอกแล้วอย่าไปคบไอ้พุโคะ ไอ้จอบิมันซื่อ ทุกอย่างมีหลักฐานพร้อม” อดีตนายพลคลี่คลายคดีสำคัญแจง

“เสียดายคดียังไม่เสร็จ ผมย้ายออกมาก่อน รู้ว่า ผู้ว่าฯไม่ค่อยเชื่อ ไปทุ่มเรื่องคนขับรถนักเรียนที่ตายมีประวัติยาเสพติด ทำเอาญาติคนตายเขวไปหมด ต่อมาศาลยกฟ้องจอบิ ญาติยังไม่เชื่อเลย ไม่อย่างนั้นไอ้ที่ผมบันทึกเทปไว้คงเป็นหลักฐานได้ คิดแล้วอยากจะทำเป็นเรื่อง เป็นพ็อกเกตบุ๊กเลย ข่าวออกมาว่าตำรวจจับผิดตัว จับแพะ มันเป็นไปไม่ได้ รูปถ่ายก็มี ที่สำคัญสำนักงานตำรวจไม่เคยสอบถามเลยว่า ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ความจริงเรื่องพรรค์นี้มันสำคัญ การจับผิดตัวมันเป็นเรื่องอิมเมจ เป็นเรื่องภาพลักษณ์ขององค์กรตำรวจ”

พล.ต.ท.สุรศักดิ์ย้ำว่า ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรก็ว่ามา ถ้าจับผิด เพราะจะเอาผลงาน เอาขั้น เอาเงินเดือนก็เล่นงานเลย ดำเนินคดีให้ติดคุกติดตาราง กรณีอย่างนี้เราทำงานเป็นกลุ่ม เป็นหมู่ เป็นคณะ ไม่ถามสักคำ ศาลตัดสินเสร็จ พาจอบิไปช็อปปิ้ง แล้วรู้สึกว่าจะได้บัตรประชาชนคนไทยแล้วด้วย ขอยืนยันว่า จอบิเกี่ยวข้องพันเปอร์เซ็นต์ เพราะปืนของกลางก็ได้

อดีตนายพลตำรวจโทมากเรื่องราวฝากบทเรียนสำคัญถึงตำรวจรุ่นหลังด้วยว่า  จริงๆ ก็เก่งๆ กันทั้งนั้น คงไม่บังอาจไปสอนใครมาก แต่อยากบอกว่า การเป็นตำรวจ ถ้าเราไม่ยึดถือหลักเกณฑ์ในทางข้อกฎหมาย และศีลธรรม บ้านเมืองจะวุ่นวาย ประชาชนจะไม่ยอมรับ

 “ผมยังเคยคุยตอนประชุมกับตำรวจสมัยก่อนเลยนะ ถ้าชาวบ้านเดือดร้อน เขาเรียกหาตำรวจยังโชคดีนะพวกเรา แต่ถ้าตราบใดเขาเดือดร้อนแล้วเขาไปเรียกหาคนอื่นล่ะ เดือดร้อนแล้วพวกเรา”

สุรศักดิ์ ไชยโกมินทร์ !!!

 

RELATED ARTICLES