“การมาเป็นตำรวจเหมือนจิตอาสา”

 

ดีตตำนาน “นักรบแห่งเทือกเขาบูโด” ที่เส้นทางชีวิตรับราชการไปไกลถึงขั้นนั่งเก้าอี้รองผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นกระบี่มือ 2 ของทุ่งปทุมวันที่ยังได้ทำหน้าที่รักษาการแทนผู้นำองค์กรสีกากียาวอยู่นาน 6 เดือนเศษก่อนอำลาชีวิตข้าราชการตำรวจ

คงปฏิเสธไม่ได้ว่า พล.ต.อ.สุนทร ซ้ายขวัญ คือ นายตำรวจมือปราบมากประสบการณ์ที่ช่ำชองพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ชนิดทุ่มเทเสียสละเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายในดินแดนสมรภูมิด้ามขวานของประเทศมาไม่น้อย

เขาเป็นชาวพัทลุง เกิดในครอบครัวชาวนา ไปโตเป็นเด็กวัดมหาธาตุ จังหวัดนครศรีธรรมราช เรียนโรงเรียนเบญจมราชูทิศ ก่อนไปต่อสาธิตพิบูลบำเพ็ญ วิทยาลัยการศึกษาบางแสน จังหวัดชลบุรี เพียงปีเดียวก็ย้ายไปโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา แต่ด้วยความที่คะแนนไม่ดีอยู่ลำดับบ๊วย แถมไม่มีที่พักเลยโดนส่งเข้าไปประจำที่เตรียมอุดม สามพราน รุ่น 5 แล้วถึงกลับมาจบโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา พญาไท ในปีถัดมา

พล.ต.อ.สุนทร ย้อนเรื่องราวของตัวเองในอดีตว่า ดิ้นรนต่อสู้ชีวิตมาตลอดตั้งแต่ไปอยู่วัด เคยไถนา หว่านข้าว เก็บเกี่ยวข้าวมากับมือ เรียกได้ว่า หลังสู้ฟ้า หน้าสู้ดิน ทำเอาแดดเผาตัวดำ หลังลอกเป็นแผ่น แต่อยากเป็นเกษตรกร เพราะถนัดทำนา ไม่ได้คิดไปไกล ไม่ชอบอาชีพตำรวจด้วยซ้ำ เนื่องจากที่บ้านมีพี่ชายขึ้นต้นตาลเอามาทำกระแช่ แล้วโดนตำรวจจับ ขนาดเททิ้งใต้ถุนบ้านลงดิน ตำรวจยังดูดเอาไปปรับเป็นเงิน 240 บาท สมัยนั้นถือว่า ไม่น้อย เลยไม่ค่อยชอบตำรวจ มันเป็นธรรมดาของชาวบ้านบ้านนอก

พอจบมัธยม 8 เตรียมอุดมศึกษา พล.ต.อ.สุนทรเล่าว่า ถึงตัดสินใจไปตระเวนสอบสายกสิกรรม สัตวบาล ปศุสัตว์ มุ่งไปแนวเกษตร บังเอิญตำรวจเปิดรับสมัครสอบก่อนเลยมาลองดู จากที่ไม่ชอบก็มาสอบ สอบแบบฉะดะ ตอนนั้นสูงแค่ 161 เซนติเมตร เขากำหนดเกณฑ์ต้องวัดได้ 160 เซ็นติเมตรก็คิดว่าไม่น่ามีปัญหา ปรากฏว่า สอบข้อเขียนผ่าน วันสุดท้ายกลับเจอเรื่องไม่ประทับใจ เริ่มรู้สึกว่าไม่เป็นธรรม

นายพลคนดังบอกว่า แพทย์มาขอตรวจวัดส่วนสูงใหม่ มีแค่ 4 คน ครูไล่ลงไปวัดใหม่ ทั้งที่วัดกันมาแล้วตอนแรกว่า ผ่าน รู้สึกเหมือนว่า มีพวกที่สอบตกรอเสียบแทนตรงนี้ หากพวกเราส่วนสูงไม่ผ่าน เที่ยวนี้ลองไปวัดใหม่ ถูกจับกดลงไปอีก เราก็พยายามยืด คิดว่า เทคนิคแบบนี้มีด้วยหรือ ถ้าไม่ได้คงฟ้องแน่ สุดท้ายสูดหายใจยืดเต็มที่ได้ 160 เซนติเมตร เท่ากับวัดครั้งแรก ผ่านด้วยกันทั้งหมด 4 คน มี วีระ ธุวนุติ สุขุม เทียมกลิ่น และประเสริฐ อิทธิเมธินทร์ นึกแล้วขำ พอเข้าไปเรียน ตอนเรียกแถว พวกเราจะอยู่ท้ายแถวหมด มีสันต์ ศรุตานนท์ หัวแถวโด่เด่อยู่คนเดียว

เข้าเรียนนายร้อยตำรวจรุ่น 20 ได้ 7 วัน พวกสายกสิกรรมที่เขาไปสมัครสอบไว้ประกาศผลว่า ได้ นักเรียนนายร้อยสุนทรยอมตัดใจไม่ไปแล้ว เลือกจะเป็นตำรวจ แม้โดนซ่อมกันจนน้ำหนักลดไปเป็น 10 กิโลกรัม เจ้าตัว ถือว่า โอเค มองว่า เป็นแล้วเป็นยาว ถึงจะฝึกหนักมาก มันก็สร้างความรักใครสามัคคีกันในกลุ่มเพื่อน เขาใช้เวลา 4 ปีที่สามพรานสามารถทำคะแนนดีเป็นที่ 3 ของรุ่นรองจากปิยะ เจียมไชยศรี กับธวัชชัย ภัยลี้ ได้มีโอกาสเลือกลงเป็นรองสารวัตรสืบสวนสอบสวน สถานีตำรวจนครบาลพญาไท

อยู่ได้ 4 เดือนโดนถีบออกนอกภูธรกันหมดทั้งรุ่น มีตัวเขาลงเป็นผู้บังคับหมวดกองเมืองนครปฐม เผชิญวีรกรรมเฉียดตายระหว่างไปจับกุมคนร้ายค้าเฮโรอีน ถูกแทงเกือบตาย พล.ต.อ.สุนทรเผยฉากนาทีระทึกว่า ยังเป็นหมวดใหม่ไฟแรง จ่าตำรวจสายตรวจบอกว่าจับคนร้ายยาเสพติดไว้ 4 คน อีกคนอยู่ในห้องยังจับไม่ได้ เพราะไม่ยอมออกมา ให้หมวดช่วยไปสมทบ เราขึ้นไป จ่าก็ถีบประตูโครม คนร้ายพยายามดันกลับ เราก็ตะโกนห้ามจ่า เพราะทรัพย์สินเสียหาย กำลังเป็นตำรวจใหม่กลัวจะโดนฟ้อง

“จังหวะนั้นผมขยับแซงหน้าลูกน้องไปนิดเดียว จ่าแกพังประตูเข้าไปอีกครั้ง คราวนี้คนร้ายไม่ได้ดันประตูปิดกลับมา ทำผมเสียหลักเข้าไปถูกมันชักมีดสวนเข้าอกข้างขวา แต่ตอนนั้นยังแข็งแรงปล้ำต่อสู้ จับกุมไม่ให้มันมีจังหวะแทงอีกที มีจ่าลูกน้องคว้าปืนมาตีคนร้ายจนหน้าเละเลือดอาบ ผมก็เริ่มรู้สึกว่า ตัวเองหายใจขัด ๆ ลูกน้องจึงพาส่งโรงพยาบาลไปนอนโรงพยาบาลตำรวจราว 45 วัน รอดตายมาได้ แล้วยังกลับไปเยี่ยมคนร้ายที่แทงผม เห็นสภาพมันน่าสงสารมากถูกตีเย็บเป็น 100 แผล มันบอกว่า ไม่ได้คิดจะทำอะไรนายเลย แต่จ่าตำรวจคนนั้นแหละอยู่ที่ป้อม มันต้องจ่ายให้จ่าวันละ 20 บาท วันนั้นจ่าจะเอา 50 บาท ไม่ให้ก็มาจับ ผมมานั่งสะท้อนชีวิต ตัวเองเกือบตาย เพราะเรื่องแค่นี้เองหรือ”นายพลมือปราบบอกอย่างเซ็ง ๆ

ต่อมา ความดีความชอบยังไม่ทันได้ก็ถูกคำสั่งย้ายตูมเข้าเป็นผู้บังคับหมวด โรงเรียนตำรวจภูธร9 จังหวัดยะลา เนื่องจากกรมตำรวจคัดเอานักเรียนนายร้อยที่เรียนดีไปอยู่เพื่อเป็นครูฝึกอบรมนักเรียนพลตำรวจ เจ้าตัวรับว่า ตอนนั้นไม่รู้จักทาง มีคำสั่งให้ไปก็ไป เพราะคิดว่าบ้านอยู่ใต้ วิ่งฝึกทั้งเช้า ทั้งเย็น สถานการณ์ชายแดนภาคใต้เริ่มมีระอุแล้ว เห็น บุญเพ็ญ บำเพ็ญบุญ เพื่อนร่วมรุ่นเป็นหัวหน้าหน่วยปฏิบัติการพิเศษ ตำรวจภูธรจังหวัดยะลา พาลูกน้องไปปะทะขบวนการก่อการร้ายเสี่ยงตายแทบทุกวัน เพื่อนอีกคนคือ ธีรวุฒิ บุตรศรีภูมิ เป็นหัวหน้าหน่วยปฏิบัติการพิเศษ ตำรวจภูธรจังหวัดปัตตานี เริ่มรู้สึกว่า มันดีเหมือนกัน

ผู้หมวดหนุ่มชาวพัทลุงตัดสินใจร่วมอุดมการณ์ปกป้องผืนแผ่นดินเกิดตามเพื่อนด้วยการขอย้ายตัวเองไปเป็นหัวหน้าหน่วยปฏิบัติการพิเศษ ตำรวจภูธรจังหวัดนราธิวาส พล.ต.อ.สุนทรเล่าว่า สมัยนั้นลูกเมียยังไม่มี พาลูกน้องปะทะต่อสู้กันสนุก ไม่มีอะไรต้องห่วง ลูกน้องไปกันตลอดเวลา ด้วยความที่เราเป็นกันเอง สร้างความผูกพันกับลูกน้อง ตรงนี้ ถือเป็นเรื่องสำคัญที่สุด มันต้องเป็นทีม ต้องมีใจสู้ ไปตั้งฐานตามป่า ทำงานลงพื้นที่ด้วยความมั่นใจว่า ไปยิงเขา เพราะอุปกรณ์เราดีกว่า สถานการณ์ทุกอย่างดีกว่าหมด คนกลุ่มนี้จะอยู่บนภูเขา แบ่งแยกชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นเทือกเขาบูโด เขาระแงะ เขาบาเจาะ เขาศรีสาคร

“ปะทะกันบ่อย ไม่ต้องกลัวใคร ได้ขั้นทุกปี นายต้องใช้เรา ไม่ต้องวิ่งเต้น ไม่ต้องทำอะไรเดี๋ยวก็ได้ขั้นแล้ว ไม่เหมือนสมัยนี้ตำแหน่งวิ่งกันหมด ไม่มีแล้วที่จะเอาผลงานมาเสนอ ตอนผมต้องเอาผลงานมาเป็นเล่มกว่าจะได้สักคน ไปทำอะไร ปะทะเมื่อไหร่ วันที่เท่าไหร่ กี่ครั้ง เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้ว มีแต่ ตั๋วใครตั๋วมัน ขอให้โชคดีนะเพื่อนตำรวจ” ตำรวจใหญ่วัยเกษียณชี้ให้เห็นภาพการเปลี่ยนแปลงขององค์กรในยุคปัจจุบัน

อดีตนายพลนักรบสมรภูมิใต้บอกอีกว่า ทุ่มเทเสียสละปฏิบัติหน้าที่ตั้งฐานอยู่ในป่าถึงขนาดไม่มีโอกาสไปดูใจแม่บังเกิดเกล้าเป็นครั้งสุดท้าย วันที่แม่เสีย กำลังลาดตระเวน รู้สึกเหนื่อยมากเลยปิดวิทยุนอนพักในฐาน รุ่งขึ้นเช้ามีวิทยุตามให้วุ่นว่า แม่เสียแล้วที่พัทลุงเป็นเหตุให้ปิดฐานถอนกำลังกลับไปงานศพ เสร็จแล้วก็กลับลงพื้นที่ต่อ ก่อนได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้บังคับกอง สถานีตำรวจภูธรอำเภอรือเสาะ หลังถูกคนร้ายยิงถล่มแล้วผู้กองคนเก่าบาดเจ็บ ผู้หมวดและพลตำรวจตาย ไม่มีใครกล้าไปอยู่ เขาเลยมีคำสั่งให้ไปแทน ทั้งที่ยังไม่ได้เข้าอบรมโรงเรียนผู้บังคับกองด้วยซ้ำ

คร่ำหวอดอยู่ในสนามรบนอกระบบที่รือเสาะหลายปี ผู้กองสุนทรได้ย้ายเป็นสารวัตรใหญ่โรงพักกันตัง จังหวัดตรัง อยู่ไม่นานก็อดรนทนไม่ไหวขอย้ายกลับสมรภูมิเป็นรองผู้กำกับภูธรจังหวัดนราธิวาส จากนั้นขึ้นเป็นผู้กำกับภูธรจังหวัดพัทลุงบ้านเกิด แล้วย้ายเป็นผู้กำกับภูธรจังหวัดพังงา ติดนายพลตำแหน่งผู้บังคับการภูธร 10 สุราษฎร์ธานี เป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจภูธร 4 รองผู้บัญชาการตำรวจภูธร 4 ผู้บัญชาการประจำกรมตำรวจ (ทำหน้าที่รองหัวหน้าตำรวจภาค 9) ขึ้นผู้ช่วยอธิบดีกรมตำรวจ ก่อนปรับเปลี่ยนโครงสร้างเป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กระทั่งเกษียณอายุราชการเมื่อปี 2547 ปีที่ไฟใต้ลุกโชนร้อนแรงขึ้นมาอีกครั้ง

นายพลผู้สันทัดกรณีบนพื้นที่ชายแดนภาคใต้ในอดีตมีมุมมองว่า ข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ถือเป็นเรื่องสำคัญ ส่วนใหญ่จะได้จากพี่น้องชาวมุสลิม อย่าหวังจะได้จากคนไทย ยิ่งถ้าเราดีกับเขา เขาจะเชื่อถือและศรัทธา แบบ จ่าเพียร -สมเพียร เอกสมญา ถือว่า เป็นคนทำงานที่จริงใจ ความจริงใจในการทำงานตรงนี้งานถึงสำเร็จ ถ้าไม่จริงใจ คนไม่เชื่อถือ “เดี๋ยวนี้ย้ายคนเข้าไปอยู่ 2 ปี เก่งจริง อะไรจริงก็แค่นั้น ความเชื่อไม่มี ไม่ใช่แค่รู้จักคนนั้นคนนี้แล้วมีอะไรเขาจะบอกหมด ชาติหน้าบ่าย ๆ เถอะครับ พี่น้องมุสลิมต้องมีศรัทธาเชื่อถือ และไม่ได้ใช้เวลาแค่วันสองวัน มันเป็นปี เป็นชาติ ไม่ใช่ย้ายไป 2 ปี เก่งเป็นมือปราบไปอยู่ภาคใต้แล้วย้ายกลับมาเอาตำแหน่ง ถามว่า ได้อะไรกลับมา 7 -8 ปีก็เหมือนเดิม”

“คนที่ชาวบ้านจะศรัทธาและเชื่อถือต้องอยู่ตรงนั้น ผมเคยบอกผู้ใหญ่ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติต้องให้คนที่อยู่ที่นั่นได้เติบโต ถ้าไม่ดีก็ให้ความรู้เขา อย่าเอาคนอื่นไปนั่งตำแหน่ง 2 ปีแล้วกลับ ควรสร้างคนตรงนั้นให้โตอยู่ในพื้นที่ อย่าไปแย่งเอาความดีบนซากศพของคนตาย ตำรวจทหารต้องคัดเลือกเอาคนมุสลิมไปอยู่ อย่างคนมุสลิมที่พ่อเสียชีวิตจากเหตุการณ์ควรเอาลูกมาเป็นตำรวจทหารไม่ต้องผ่านเกณฑ์อะไรมากมาย เอาคนพื้นที่ ถ้าทุกหมู่บ้านมีตำรวจเป็นญาติพี่น้องเพิ่มขึ้น เกิดตำรวจคนนี้ตาย พี่น้องเขาก็ไม่ชอบคนกลุ่มนั้น มันก็ต้องให้เขาสู้ตรงนั้น ไม่ใช่เราไปสู้แทน” พล.ต.อ.สุนทรมองแบบนั้น

“ทุกวันนี้ มันเหมือนคนพิการตาบอด หูหนวก เป็นใบ้ ตาบอด คือ ไม่รู้ทางไปไหน หูหนวก คือฟังภาษาเขาไม่ออก พูดก็ไม่รู้เรื่องเหมือนคนเป็นใบ้ สรุป คือ ต้องให้คนในพื้นที่ดีกว่า พี่น้องมุสลิมเราอย่าไประแวงเขา เขาก็เป็นคนไทย เป็นคนในพื้นที่ เขาก็มีสิทธิที่จะเป็น เขาจะรู้ว่า หน้าที่เขาต้องทำอะไร อย่าระแวง ถ้าเราหาคนไม่ได้ ก็ยกให้เขาไปเลย ผมก็เคยปะทะหลายกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นบีอาร์เอ็น พูโล บีเอ็นพีพี ได้ค่าหัวมาเหมือนกัน มันชัดเจนว่า เราปะทะ โจรจะตายบนภูเขา มันได้ข่าวจากการมีพวก พวกที่ว่า คือพี่น้องมุสลิม ได้จากสายของโจรที่เราจับได้แลกเปลี่ยนข้อมูล”อดีตนักรบบูโดยกตัวอย่าง

ถามว่า มีจริงหรือไม่ขบวนการแบ่งแยกดินแดง เจ้าตัวฟันธงว่า มี สมัยเขาก็เคยปะทะไปเจอแผนที่ประเทศไทยแบ่งเป็นรัฐปัตตานี พิมพ์เป็นภาษายาวี แต่สมัยนี้มีการปลูกฝังความรู้สึกเพิ่มมากขึ้น ทำให้พวกมันคิดว่า ทำด้วยจิตวิญญาณ ตายไม่กลัว คิดว่า รบเพื่อพระเจ้า ประกอบกับความไม่เป็นธรรม ซึ่งมีทุกแห่งทั่วประเทศไทย ตำรวจรีดไถ เจ้าหน้าที่ปกครองรีดไถ แต่ตรงนั้นมันเป็นเขตพิเศษ ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดน หรือ ศอ.บต. สมัยนั้นช่วยได้เยอะ  การทำงานภาคใต้ถึงต้องเป็นเอกภาพ ทว่าต้องใช้เวลา

ตำนานมือปราบเมืองปักษ์ใต้ให้ทัศนะอีกว่า ต้องใช้คำว่า การเมืองอย่าเข้าไปยุ่งมากใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ พรรคไหน พรรคไหนต้องคิดว่า เราต้องร่วมกันเป็นรัฐบาลเดียวกันที่เข้าไปดูแลแก้ปัญหา ไม่ใช่ใครเข้าไปเพื่อทำให้ได้คะแนนเสียงเป็นของตัวเอง นโยบายพรรคไหนดีก็ต่อเนื่อง ไม่ดีก็ว่ากันใหม่ ระบบผู้แทนพรรคใครพรรคมันใน 3 จังหวัดชายแดนต้องเลิก พี่น้องมุสลิมเขาจะรู้ดีว่า ควรจะทำอย่างไร เขาเจ็บช้ำน้ำใจ เราควรจะแก้อย่างไร ที่สำคัญเพราะพวกเขาโดนปลูกฝังความรู้สึกที่ไม่ดีเอาไว้ ตรงนี้แหละที่ทำให้เราไม่สบายใจ  ผลที่สุดคนไทยพุทธจะเหลือไม่ถึง 10 เปอร์เซ็นต์ เมื่อก่อนทุกตำบลจะมีคนจีนเป็นหลักอยู่ สมัยนี้หมดแล้ว พากันมาอยู่อำเภอ บางอำเภอก็เหลือแบบครึ่งต่อครึ่ง

“ผมอยากเรียนว่า พี่น้องมุสลิมส่วนใหญ่เป็นคนดี มีเพียงกลุ่มน้อยที่หัวรุนแรงและไม่ฟังเหตุผล น่าเห็นใจเจ้าหน้าที่ตำรวจทหารที่เสียสละชีวิตแทบทุกวัน เพราะเขามีหน้าที่ มีมติในการทำงาน พอพลาดก็ถูกด่า ทำให้คนเอนเอียงไม่ชอบ ยิ่งทหารเขาจะไม่ชอบมาก แต่ส่วนใหญ่ทหารก็ทำดี ถ้าเจ้าหน้าที่พลาดต้องจับมาลงโทษให้เขาเห็น เช่น กรณีกรือเซะ หรือตากใบ ต้องหาผู้กระทำผิดมาลงโทษ เราจะช่วยอย่างไรก็เป็นอีกเรื่อง ทำให้พวกเขาเห็นว่า ความเป็นธรรมมี ไม่ใช่ปล่อยเรื้อรังพูดกันไม่จบ กลายเป็นปมคาราคาซังที่ทุกคนหวังจะให้เกิดสันติสุขในชายแดนจังหวัดภาคใต้”

นอกจากนี้ พล.ต.อ.สุนทร ยังไม่สบายใจในระบบการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจยุคปัจจุบันจนอดระบายความอัดอั้นไม่ได้ว่า พูดถึงการแต่งตั้งโยกย้าย ยอมรับว่า สมัยก่อนมีโควต้าชัดเจน การเมือง 25 เปอร์เซ็นต์ ผู้บังคับบัญชา 25 เปอร์เซ็นต์ หน่วยพื้นที่ 50 เปอร์เซ็นต์ ถึงสบายใจกันทุกฝ่าย เพราะฉะนั้นบางทีการเมืองขอมามาก ๆ ไม่ได้ ไม่เหมือนสมัยนี้การเมือง 100 เปอร์เซ็นต์ หรือ 200 เปอร์เซ็นต์ด้วยซ้ำ มีอยู่ 10 คนขอมา 50 คนยังมี ผู้บังคับบัญชาแต่งตั้งใครแทบไม่ได้

“ปัญหาตรงนี้มีทุกรัฐบาล พูดลำบาก ใครมาหาผม ผมยังบอกมึงไปวิ่งการเมืองเถอะ จบเลย เราไม่มีปัญญา ขอแค่ให้การเมืองมีคุณธรรม คนดีจะได้เข้ามาเติบโตในหน้าที่การงานบ้าง” อดีตรักษาการผู้นำองค์กรตำรวจครวญ “ทุกอย่างอยู่ที่ความจริงจัง จริงใจ ให้คิดว่า การมาเป็นตำรวจเหมือนจิตอาสา ต้องเข้าใจว่า การเป็นตำรวจของชาวบ้าน ตำรวจทุกคนต้องมีให้ได้  ชาวบ้านจะเชื่อถือศรัทธา อะไรก็จะสำเร็จ” เขาขอฝากข้อความไปถึงตำรวจรุ่นใหม่

“ผมไม่ใช่คนดี 100 เปอร์เซ็นต์ แต่จะทำอย่างไรให้คนรักเรา เข้าใจเรา เพื่อเป็นเกราะปกป้องเรา ฝากประชาชนด้วยว่า ตำรวจไม่ดีต้องบอกกล่าวให้เขาอยู่ในกรอบในวินัย แต่ตำรวจที่ดีต้องให้กำลังใจส่งเสริมเขา เพื่อนผมบางคนบอกไม่ชอบตำรวจ ผมก็ต้องบอกลูกพี่ใจเย็น ๆ ตำรวจดีมันมีเยอะ ถ้าชั่วหมดมันก็แย่แล้ว เคยถามเพื่อนว่า เจอตำรวจไม่ดีก็คงไม่เกิน 20 คน แต่ต้องไปโกรธคนตั้ง 2แสนกว่าคนหรือมันไม่ใช่ ต้องรู้จักแยกแยะ เราก็ต้องช่วยกำจัดคนไม่ดี ฝากไว้ ถึงอย่างไรจะรักตำรวจ เกลียดตำรวจ ก็ต้องใช้ตำรวจ” นายพลตำรวจเอกคนดังลั่นคำคม

สุนทร ซ้ายขวัญ !!!

RELATED ARTICLES