ก้าวที่ 14  เหล้าขวดเดียว

วันสงครามสมรภูมิเลือดพฤษภาทมิฬสงบแล้ว

กรุงเทพมหานครคืนสู่ความสงบอีกครั้ง แต่กองไฟการเมืองยังคงคุกรุ่นรอวันปะทุไม่วันใดก็วันหนึ่ง ตราบที่นักการเมืองไทยไม่ได้มีหัวใจรักประชาธิปไตย ผู้ยิ่งใหญ่แห่งกองทัพไม่ละกิเลสจากอำนาจมืดที่จะเข้ามาครอบงำ

เวรกรรมจะตกอยู่กับประชาชน

ผมเบื่อข่าวการเมือง ผมไม่ชอบวิธีการใช้ความรุนแรงตัดสินปัญหาความขัดแย้งทางความคิด บทเรียนเฉียดตายจากเหตุการณ์ประวัติศาสตร์เดือนพฤษภาคม 2535 ทำให้ผมรู้ความจริงหลายมุมที่คนส่วนใหญ่ในสังคมไม่รู้

ได้สัมผัสธาตุแท้ของหลายคนในอาชีพนักการเมือง และนักเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตย ผู้จุดชนวนความจัญไรให้เกิดความฉิบหายแก่ประเทศกระทั่งระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาทจนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวต้องทรงใช้พระบารมีดับร้อน

ปากก็บอกว่า “รักในหลวง”

ทำวัยรุ่นอย่างผมเอือมรำอาและสะอิดสะเอียดการเมือง

นักข่าวตัวน้อยด้อยประสบการณ์ถูกเรียกคืนรังกลับเข้าสู่การฝักไข่อีกครั้งที่กองบรรณาธิการชั่วคราวหนังสือพิมพ์สยามโพสต์ในห้องแคนทีน อาคารอื้อจือเหลียง ริมถนนพระราม 4

เที่ยวนี้โครงสร้างของหนังสือพิมพ์น้องใหม่เริ่มเป็นรูปเป็นร่างแล้ว

โรจน์ งามแม้น เจ้าของนามปากกาเปลว สีเงิน ผู้อยู่เบื้องหลังการก่อตั้งปรากฏตัวมาพูดคุยกับพวกเรามากขึ้น หลังจากก่อนหน้าปล่อยภาระหน้าที่ให้ชุ่มชื่น พูลสวัสดิ์ เป็นติวเตอร์พิเศษถ่ายทอดประสบการณ์ในวงน้ำหมึก

“ลูกพี่สงค์หรือ เห็นพ่อพูดอยู่” อดีตคอลัมนิสต์ผู้มากความสามารถจากหนังสือพิมพ์ไทยรัฐทักทาย

“ครับ” ผมยกมือสวัสดีเอ่ยเพียงสั้น ๆ ด้วยความที่เป็นเด็ก

“พ่อเอ็งเก่งนะ เป็นเหมือนอาจารย์ข้าเลยล่ะ”แกชม

“ครับ เห็นพ่อพูดถึงอาอยู่เหมือนกัน”

“อยู่ที่นี่ก็ตั้งใจทำงานล่ะ”

“ครับ”

หนังสือพิมพ์สยามโพสต์กำหนดวางแผนคลอดราวเดือนสิงหาคม เหลือเวลาการเตรียมทีมไม่ถึง 2 เดือนดี พอหมดเหตุการณ์เลวร้ายในเดือนพฤษภาคม ชุ่มชื่นจัดวางนักข่าวที่เข้ามาสมัครแต่ละคนไปตามสายที่เขามองความเหมาะสมแก่ความรู้ความสามารถ

“เธอไปอยู่สายข่าวตำรวจกับคุณอัมพรนะ”

ผมพยักหน้ารับคำ ก่อนสงสัยเล็กน้อยว่า คุณอัมพรเป็นใคร

“คุณอัมพร พิมพ์พิพัฒน์ เขาจะเป็นหัวหน้าข่าวอาชญากรรม” ชุ่มชื่นไขข้อข้อง

ถามว่าตรงใจผมไหมกับการได้เข้ามาเป็นนักข่าวอาชญากรรม ผมว่า เหมาะมากเลยทีเดียว แม้กลุ่มเพื่อนที่สนิทในวงสัมมนาหลายคนจะแยกย้ายกระจายกันไปคนละแผนก โดยเฉพาะพฤกษ์ รัตน์นราทร เด็กหนุ่มลูกแม่โดมศิษย์เก่าอัสสัมชัญกรุงเทพ กับเหน่ง-เรืองชัย ชาญวนิชกุลชัย อดีตนิสิตเกษตรศาสตร์ ศิษย์เก่าวัดสุทธิวราราม ที่ได้ไปอยู่สายกีฬาสมกับทั้งคู่วาดหวัง

“ใครเป็นหัวหน้ามึงวะ” ผมถามพฤกษ์

“แม่งโลกกลมฉิบหาย มาสเซอร์เก่ากูเอง”

“ใครล่ะ”

“อาจารย์ศักดิ์ศรี แสนสุข”

“แบบนี้ก็สบายสิมึง”

เพื่อนผมทำท่าส่ายหัว

ศักดิ์ศรี แสนสุข อดีตครูโรงเรียนอัสสัมชัญกรุงเทพ เจ้าของนามปากกา “4 เอส” คอลัมนิสต์ฝีปากคมของหนังสือพิมพ์สยามกีฬา ถูกดึงมาเป็นแม่ทัพดูหน้าข่าวกีฬาโดยเฉพาะ แถมได้ช่างภาพกีฬามือดีอย่างสนั่น หุนธนเสวี อีกหนึ่งคนเก่งจากค่ายสยามกีฬามาเสริมทีม

“สวัสดีครับพี่ตุ๋ย ผมชอบงานพี่มากครับ ผมอ่านฟุตบอลสยามเป็นประจำ” ผมถือโอกาสเข้าไปแนะนำทำความรู้จักกับช่างภาพมือทอง แกหัวเราะพูดคุยเป็นกันเองดี ผมว่า ข่าวกีฬาของหนังสือพิมพ์สยามโพสต์น่าจะไปได้ไกล

มันเกือบทำให้ผมวอกแวกอยากเปลี่ยนแผนก

ผ่านไปหลายวัน ผมจับเจ่าอยู่บนกองบรรณาธิการยังไม่เห็นหน้าค่าตาหัวหน้าข่าวอาชญากรรม ขณะที่แผนกอื่นฟอร์มทีมแนะนำตัวรู้จักกันเกือบหมดแล้ว ทราบมาว่า แกอยู่ระหว่างเดินสายไปตามหัวเมืองต่างจังหวัด เพื่อคัดเลือกนักข่าวภูมิภาคมาทำงานด้วย

ตกเย็น ผมได้สมาชิกน้ำนรกสีอำพันมาแลกเปลี่ยนบทสนทนากันอยู่ที่ร้านลาบน้ำตกริมถนนในซอยศาลาแดงไม่ห่างอาคารอื้อจือเหลียงมากนัก นอกจากพฤกษ์ เหน่ง ศรัญญู ต้อม ขาประจำแล้วยังมี พี่เชาว์ หนุ่มร่างอ้วนที่ปรับโอนย้ายจากค่ายบางกอกโพสต์เข้ามาเป็นนักข่าวแผนกอาชญากรรมเหมือนกันกับผม รวมถึงแจ๊ค-สุรพล สุประดิษฐ์ ณ อยุธยา

“โต้ง ตกลงใครเป็นหัวหน้า”แจ๊คถาม

“ผมยังไม่เคยเห็นหน้าเลยพี่ แกยังไม่มา รู้ว่า ชื่ออัมพร ไม่เคยรู้จักเหมือนกัน”

“นั่นสิ ยังไม่มาเลย” เชาว์ยกแก้วสนับสนุน

“พฤกษ์ แล้วตกลงอาจารย์ 4 เอสมึงเป็นยังบ้าง” ผมเลี้ยวออก

“อย่าให้เล่าเลย”

“ฮ่า ฮ่า มันมีความหลังกันอยู่ว่ะ” เหน่งกลบเกลื่อนแทน

กระดกกันหอมปากหอมพอรอเวลาการจราจรบนถนนพระราม 4 เบาบาง นักร่ำสุรานักข่าวมือใหม่หัดขับต่างโบกมือลาแยกย้ายสู่บ้าน ผมกลับมานอนคิดหลายตลบกับอนาคตในอาชีพการทำงานข้างหน้าว่า จะไปรอดหรือไม่ในเมื่อยังไม่เจอหัวหน้าของตัวเอง ขนาดพ่อผมที่เคยอยู่ในวงการหนังสือพิมพ์ยังไม่รู้จักด้วยซ้ำ

ผมคิดมากไปหรือเปล่า

รุ่งขึ้นอีกวัน มีผู้อาวุโสคาบบุหรี่หนีบกระเป๋าเข้าตึกอื้อจือเหลียงแต่เช้า ผมเดินตามขึ้นลิฟต์ไปด้วยกันจนถึงห้องแคนทีนฐานบัญชาการชั่วคราว สักพักมีการเรียกนักข่าวแผนกอาชญากรรมประชุม ผมเลยถึงเห็นหัวหน้าเป็นครั้งแรก

ผู้อาวุโสที่เดินขึ้นลิฟต์มากับผมนั่นเอง

“ผมอัมพร พิมพ์พิพัฒน์” แกแนะนำตัว

ผมยกมือสวัสดี

“แผนกเราเดี๋ยวจะมีสุทิน พรหมมา จากสยามรัฐ ไพฑูรย์ เสาสูง จากไอเอ็นเอ็นเข้ามาร่วมงานด้วย” บุรุษสูงวัยบอก “ขอให้พวกเราตั้งใจทำงาน มีอะไรก็มาคุยกัน ถามได้ เวลานี้ทุกคนควรจะออกไปหาข่าวเก็บมาไว้หลาย ๆ ชิ้น เพราะเขาจะทดลองพิมพ์แล้ว ต้องมีข่าวเตรียมพร้อมเสมอ”

“ส่วนข้า นาน ๆ ไป พวกเอ็งก็จะรู้จักข้าเอง”อัมพรย้ำ

ผมนิ่งไม่แสดงความเห็น

“พวกเอ็งโชคดีรู้ไหมที่ได้มาเริ่มต้นข่าวอาชญากรรม นักข่าวสมัยก่อนต้องมาเริ่มต้นด้วยการตระเวนข่าวตามโรงพัก มันเป็นพื้นฐานเลย ถ้าผ่านข่าวอาชญากรรมไปได้ พวกเอ็งก็จะไปทำข่าวอื่นได้สบาย ไม่ว่าจะเป็นการเมือง เศรษฐกิจ บันเทิง กีฬา หรือแม้แต่ข่าวราชสำนัก” หัวหน้าแจงทิ้งท้ายก่อนฝากการบ้านให้ทุกคนในทีมไปทำ

ผมถึงรู้ว่า หัวหน้าอัมพรไม่ธรรมดา ผ่านสมรภูมิรบในวงการหนังสือพิมพ์มาอย่างโชกโชนนับตั้งแต่ก้าวแรกในอาชีพนักข่าวภูมิภาคประจำจังหวัดลพบุรีถิ่นเกิด สังกัดแนวหน้าแห่งยุคเดลินิวส์ ไต่เต้าเกี่ยวเก็บประสบการณ์ขึ้นเป็นรีไรเตอร์จนถึงหัวหน้าข่าวหน้า 1 หัวหน้าข่าวอาชญากรรม หัวหน้าข่าวภูมิภาค หนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่หลายฉบับ อาทิ เดลินิวส์ ไทยรัฐ ตะวันสยาม เสียงปวงชน

ก่อนจะถูกโรจน์ งามแม้น ทาบทามให้มาร่วมสร้างตำนานบทใหม่ในวงการหนังสือพิมพ์

หลายวันต่อมา

“เฮ้ย เดี๋ยวเย็นนี้ไปกินเหล้ากัน กูมีแบล็ก”เชาว์เสนอตัวมวลหมู่สมาชิกรักน้ำนรกสีอำพัน

“ที่ไหนดี”

“ไปแถวรามดีกว่า กูมีร้าน”

“เอาสิ”

จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ สีดำตั้งตระหง่านอยู่บนโต๊ะในร้านอาหารแห่งหนึ่งบนถนนรามคำแหง

“ขอยำปลาสลิด ทอดกรอบ ๆ นะ” พฤกษ์ประเดิมเรียกกับแกล้มประกอบการสนทนา

“ลาภปากโว้ยพวก วันนี้ไปสัมภาษณ์สารวัตรปราบปรามที่ลาดพร้าว แกเลยให้มาว่ะ” เจ้าของขวดวิสกี้รสเลิศบอกที่มา

“ใครหรือพี่”ผมถาม

“พันตำรวจโทสมบูรณ์ พุทธิพงษ์ แกใจดีว่ะ วันหลังจะแนะนำให้น้องรู้จัก”

สนุกสนานตามประสาหนุ่มโสดข้ามราตรีไปหลายยาม พวกเราต่างแยกย้ายกระจายฝูงคืนสู่ที่ซุกหัวนอนหนุนหมอนหลับสบาย

ผมสะดุ้งตื่นตอนเช้ารีบกูลีกูจอนั่งรถเมล์ไปทำงาน ข่าวร้ายก็มาถึงหู

“น้าเชาว์ไม่ผ่านโปร โดนให้ออกว่ะ” แจ๊คกระซิบ

“อ้าว เรื่องอะไรพี่”

“มีคนไปฟ้องว่า น้าแกไปไถเหล้าตำรวจ”

“เฮ้ย อะไรจะขนาดนั้น” ผมตัวชา นึกในใจแบบนี้สมาชิกน้ำนรกที่ไปลิ้มรสจะพลอยโดนหางเลขไปด้วยหรือเปล่า ก่อนพยายามสดับตรับฟังไม่เป็นอันทำงานตลอดวัน

ไม่มีพายุกระแทกแปรปรวนเข้ามา

บทเรียนในชีวิตนักข่าวใหม่ครั้งนี้สาหัสสำหรับผมมาก เหล้าขวดเดียวสามารถทำลายอนาคตของคน ๆ หนึ่งโดยเจ้าตัวจะรู้ไหมว่า ตกเป็นเหยื่อขี้ปากใคร

“ตำรวจเข้าให้โดยเสน่หา แบบนี้เรียกว่าไถหรือ” ผมระบายความอึดอัดให้มวลหมู่สมาชิกวงสุราที่ขาดหายไปคนแล้ว

“พี่แกไปรับทำไม”

“ไม่รู้เหมือนกัน แต่ถ้าไอ้คนให้แล้วไปฟ้องข้างในโรงพิมพ์ กูว่า มันใช้ไม่ได้ ในเมื่อมันยื่นให้เขาเอง” ผมตั้งข้อสงสัย

“หรือน้าไปขอเขา” เหน่งแสดงความเห็น

“หรือว่าคนในกลุ่มที่ไปกินกันวันนั้น มีใครแอบไปฟ้องป๋าโรจน์” ผมว่า

เท่านั้นแหละ ทุกคนต่างมองหน้าระแวงกันทันที

“กูเปล่านะ”

“กูก็เปล่า”

“กูยิ่งไม่เกี่ยว”

“เอาเถอะ แต่กูเซ็งว่ะ ไม่มีการสอบสวนข้อเท็จจริงกันเลย ว่ากันด้วยเหล้าขวดเดียวถึงกับต้องออก ตกงาน แล้วพี่แกเป็นไงบ้างครับพี่แจ๊ค”

“พี่ก็ไม่เจอเลย เห็นว่า เศร้า แกอยากเป็นนักข่าวมาก”

คำว่า หมาล่าเนื้อกับอาชีพนักข่าวไส้แห้ง กลับมาก้องหูผมอีกครั้ง สมัยไปฝึกงานตระเวนข่าวหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ พี่นักข่าวอาชญากรรมหลายคนมักกรอกหูผม

“คิดดีแล้วหรือจะเป็นนักข่าวสายอาชญากรรม”

“ทำไมหรือครับ”

“ไม่มีจะแดกไง พอสนิทสนมกับตำรวจมากก็โดนเพ่งเล็ง เชียร์ตำรวจ ไปกินข้าวกับตำรวจ กินเหล้ากับตำรวจก็หาว่ารับสินบน”

“แล้วเขาจะไม่ให้เราสร้างแหล่งข่าวเลยใช่ไหม”ผมสับสน

“นั่นสิ ไม่รู้มองกันแบบไหน โดยเฉพาะข่าวสายตำรวจถูกมองว่า เลวหมด นักรีดไถตัวฉกาจ แต่สายอื่น การเมือง กีฬา เศรษฐกิจ บันเทิง แม่งยิ่งกว่าเทวดา ปีใหม่ทีกระเช้าของขวัญมาอวยพรเต็มกันไปหมด”นักหนังสือพิมพ์รุ่นพี่ร่ายยาว

“คิดผิดคิดใหม่ได้นะ”เขาฝากปริศนา

ผมลืมบทสนทนาตรงนั้นนานข้ามปีกระทั่งมาเจอกับตัวเอง

“ทำอะไรก็ระวังหน่อยนะเอ็ง” หัวหน้าอัมพรเข้ามาเตือน

แกว่า สยามโพสต์กำลังจะสร้างนักข่าวรุ่นใหม่ที่มีอุดมการณ์ใสสะอาดเป็นเหมือนผ้าขาวไว้ต่อสู้เรียกร้องความเป็นธรรมให้สังคม

เรื่องราวของเหล้าคนเดียว ถ้าเป็นเดี๋ยวนี้ ผมคงสมควรออกเป็นพันครั้งแล้วกระมัง

 

 

 

 

RELATED ARTICLES