ยังคง “กัดไม่ปล่อย” เกี่ยวกับรถรรทุกน้ำหนักเกิน พ่วงปมร้อน “ส่วยสติกเกอร์”
นายรังสิมันต์ โรม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล ฐานะประธานคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ เดินทางไปสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เข้าร่วมประชุม พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในเรื่องที่เกิดขึ้น
นักการเมืองหนุ่มคนดังบอกว่า ปัญหานี้สังคมไทยทราบมาตลอด รับรู้ว่า มีมานาน ดังนั้นในรายละเอียดทั้งหมด คณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐจะสอบถามแนวทางแก้ปัญหา มี นายปิยรัฐ จงเทพ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเขตพระโขนง พรรคก้าวไกล เตรียมข้อมูลและหลักฐานมาสอบถามสำนักงานตำรวจแห่งชาติอย่างเต็มที่
รวมไปถึงความคืบหน้าของคดีรถบรรทุกน้ำหนักเกินทำให้ตกหลุมบ่อพักสายไฟที่ถนนสุขุมวิทกระทั่งตกเป็นข่าวเกรียวกราว
การประชุมประมาณ 3 ชั่วโมง พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติระบุว่า มอบหมายให้กองบัญชาการตำรวจนครบาลดำเนินคดีผู้ที่เกี่ยวข้องพระราชบัญญัติจราจรทางบก ร่วมกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชการตำรวจแห่งชาติ
ส่วนประเด็นเจ้าหน้าที่รัฐรู้เห็น หรือได้รับผลประโยชน์เกี่ยวข้องอย่างไร ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มอบดาบให้ พล.ต.ท.ไกรบุญ ทรวดทรง รักษาราชการแทนจเรตำรวจแห่งชาติ เป็นผู้ดูแล
“เบื้องต้นผลการตรวจสอบของกรุงเทพมหานครไม่พบว่ามีเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปเกี่ยวข้อง” พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ว่า กระนั้นก็ตาม เจ้าตัวยืนยันต้องตรวจสอบให้ละเอียดและลึกขึ้นไปอีก เส้นทางการเงินควบคู่ไปด้วย หากพบว่า มีเจ้าหน้าที่รัฐคนใดกระทำความผิด ต้องดำเนินการทั้งทางอาญาและวินัยแน่นอน
“ขอให้สังคมอย่าเพิ่งมองว่าสติกเกอร์ดังกล่าวเป็นสติกเกอร์ส่วยเสมอไป ให้รอผลการตรวจสอบจากทางตำรวจก่อน ไม่ใช่บอกรถบรรทุกติดสติกเกอร์ต้องเป็นเรื่องส่วยสติกเกอร์อย่างเดียว ต้องมีการตรวจสอบ” แม่ทัพปทุมวันฝากข้อคิด
ย้ำด้วยว่า เรื่องนี้ต้องแยกเป็นสองส่วน เรื่องน้ำหนักเกินเป็นการดำเนินการตามพระราชบัญญัติจราจร ทางบกและเรื่องส่วยต้องรอผลการตรวจสอบโดยละเอียดว่า มีเกิดขึ้นจริงหรือไม่ หากมีแล้วใครเข้ามาเกี่ยวข้องต้องถูกดำเนินคดี
การแก้ไขปัญหาในภาพรวม พล.ต.อ.ต่อศักดิ์บอก นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีเรียกประชุมตัวแทนกองบัญชการตำรวจนครบาล กองบังคับการตำรวจทางหลวง กรมทางหลวง และกรุงเทพมหานคร แต่ตำรวจรับผิดชอบปลายเหตุในเรื่องการบังคับใช้กฎหมาย การชั่งน้ำหนักเป็นหน้าที่ของกรุงเทพมหานครและกรมทางหลวง
ว่ากันเรื่องจริงไม่ใช่โยนผิดตำรวจมีเอี่ยว “ส่วย” เสมอ